บทที่ 290 เนี่ยอิ่ง
บทที่ 290 เนี่ยอิ่ง
“เจ้าหนู ตายซะ!”
อูโจ้วยื่นมือทั้งสองข้างออกไป สัมผัสกับปลายนิ้วของลู่หยวน
หึ่ง!
ฟ้าดินพลันหยุดชะงัก เมื่อมือของทั้งสองประสานกัน สายลมหยุดพัด ทุกสิ่งเงียบสงัด
อักขระที่อยู่รอบฝ่ามือของอูโจ้วสั่นอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นอักขระก็หมุนและระเบิดพลังเหมือนหมาป่าและเสือที่หิวโหย พวกมันพุ่งเข้าล้อมอีกฝ่ายไว้อย่างสมบูรณ์
ลู่หยวนขมวดคิ้ว และขยับปลายนิ้วเล็กน้อย
“วิถีคุณธรรม ผนึก!”
ขณะที่ลู่หยวนเอ่ย อูโจ้วที่อยู่ใกล้ ๆ ก็เย้ยหยันอยู่ในใจ
ก่อนหน้านี้เจ้าเด็กคนนี้ตะโกนผนึกวิถีคุณธรรม แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมิใช่หรือ?!
หึ ตอนนี้ดูท่าแล้วคงแค่ขู่เท่านั้นเอง!
ผนึกวิถีคุณธรรมไม่ใช่ของที่ใครก็ใช้ได้!
อูโจ้วคิดยังไม่ทันเสร็จ เขาก็ตระหนักว่ามีแสงสีขาวสว่างวาบที่ปลายนิ้วของลู่หยวน ซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม อักขระรอบ ๆ พลันหยุดลงราวกับถูกขัดขวาง ไม่ขยับไปข้างหน้าอีกแม้เพียงนิด!
หึ่ง!
เสียงของมหาวิถีดังขึ้นอย่างบ้าคลั่งจากทางด้านหน้าของลู่หยวน มีจุดสีทองสี่จุดที่กะพริบไหว จากนั้นเส้นขอบสีทองที่เป็นแนวตั้งและแนวนอนก็ก่อตัว อักขระของตราประทับวิถีคุณธรรมอันทรงพลังปกคลุมขอบสีทองทั้งสี่ด้าน
ลู่หยวนขยับนิ้วเข้าหากัน ด้วยการเคลื่อนไหวปลายนิ้วของลู่หยวน อักขระสีทองที่ไม่เคยเห็นมาก่อนได้รวมตัวกันบนปลายนิ้วของเขา ในชั่วพริบตา มันก็ประทับลงไปบนผนึกเบื้องหน้า
หลังจากผนึกเสร็จสิ้น ลู่หยวนก็เหลือบไปมองและแสยะยิ้ม “อูโจ้ว นี่คือผนึกแห่งวิถีคุณธรรมที่แท้จริง!”
ก่อนที่อูโจ้วจะได้พูดอะไร เขาก็เห็นอักขระที่ลู่หยวนสลักไว้ตรงหน้าเขากะพริบไหว แสงสีขาวปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน
วิถีคุณธรรมสูงสุดปะทุขึ้นในทันที ปกคลุมทั่วทั้งร่างของอูโจ้ว
ในขณะนั้น อูโจ้วรู้สึกได้ถึงการยอมจำนนที่อยู่ในกายเนื้อและหยดโลหิต ซึ่งมองข้ามไม่ได้!
วิถีคุณธรรมที่เจิ้งชิงเทียนแสดงออกมาก่อนหน้านี้ อูโจ้วยังฝืนต่อต้านได้ แต่พลังที่เล็ดลอดออกมาจากลู่หยวนในตอนนี้ สำหรับอูโจ้วแล้วก็เหมือนเผชิญหน้ากับจักรพรรดิยุทธ์สูงสุด
และเขาเป็นเหมือนข้ารับใช้ที่จะหมอบกราบต่อหน้าจักรพรรดิยุทธ์!
ช่วงเวลาแห่งการสะกดกลั้นนี้ทำให้เขาไม่สามารถเรียกใช้อักขระใด ๆ ได้
แสงสีขาวปกคลุมและบดขยี้อักขระทั้งหมดของอูโจ้ว
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้น ในขณะที่อูโจ้วจมอยู่ในนั้น!
หึ่ง!
เมื่อแสงสีขาวระเบิด ฟ้าดินก็มีเสียงหวีดร้องดังขึ้น
ลู่หยวนเดินออกมานอกแสงสีขาว และที่ปลายนิ้วยังมีพลังวิถีคุณธรรมที่แข็งแกร่งโคจรอยู่
ตอนนี้เจิ้งชิงเทียนได้มอบพลังวิถีคุณธรรมที่บริสุทธิ์ที่สุดในร่างกายของนางให้แก่ลู่หยวนแล้ว บนร่างของนางมีเพียงพลังวิถีคุณธรรมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
กล่าวได้ว่าพลังที่ลู่หยวนครอบครองในเวลานี้ได้ล้ำหน้าเจิ้งชิงเทียนไปแล้ว ซึ่งอาจเป็นถึงจ้าวยุทธ์แห่งวิถีคุณธรรม!
นอกค่ายกลวิถีคุณธรรมของเจิ้งชิงเทียน จักรพรรดินีถอดอาวุธวิเศษเกราะป้องกันออก พลางจ้องมองก้อนเมฆบนท้องฟ้า
นางขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย
หากนางจำไม่ผิด สตรีที่เพิ่งปรากฏตัวและยอมจำนนต่อบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ หาได้มีพลังวิถีคุณธรรมที่ธรรมดาไม่!
เศษเสี้ยวของพลังวิถีคุณธรรมนั้น เข้าใกล้จุดสูงสุดของวิถีคุณธรรมเสียยิ่งกว่าชิวสิงที่ซ่อนตัวอยู่ในตระกูลชิวเสียอีก!
ในประวัติศาสตร์ของดินแดนหยวนหง มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถไปถึงสถานะดังกล่าวได้
นั่นคือจ้าวยุทธ์แห่งวิถีคุณธรรม — เจิ้งชิงเทียน!
แต่…เจิ้งชิงเทียนถูกธาตุไฟเข้าแทรก จึงเสียชีวิตในสงครามเมื่อสามแสนปีก่อนไม่ใช่หรือ?!
ไยจึงมาปรากฏที่นี่ได้ แม้กระทั่ง…ยอมจำนนต่อบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่?!
หรือว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่พบกับยอดฝีมือแห่งวิถีคุณธรรมคนใหม่แล้ว?!
หากเป็นเช่นนั้น ด้วยความผันผวนของพลังวิถีคุณธรรมของสตรีนางนี้ หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ไม่ถึงร้อยปี นางอาจจะเหนือกว่าทุกคนในตระกูลชิว
ถ้าอย่างนั้น ชิวชิงหลีอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไป!
หากพวกเขามีชีวิตอยู่อีกสักหน่อย พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับชิวสิงเพื่อประลองวิถีคุณธรรม และไม่ตกเป็นรองแน่!
คนระดับนี้…มีค่าพอที่จะฝึกฝนจริง ๆ!
ก่อนที่จักรพรรดินีจะคิดเรื่องนี้ นางก็ได้เห็นสตรีนางนี้อีกครั้ง และต้องการสนทนาสักสองสามประโยค
แต่นางรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยที่ข้อมือของนาง เมื่อก้มมอง ก็ได้เห็นสร้อยข้อมือที่นางสวมติดกายมากว่าสิบปีสั่นไหว และมีจุดแสงสีเขียวกะพริบอยู่ตลอดเวลา
เสียงเบา ๆ แว่วมาจากสร้อยข้อมือเข้าหูจักรพรรดินีเพียงคนเดียว
เสียงนั้นฟังดูชรามาก และแหบเล็กน้อย แต่ก็สงบอย่างยิ่ง
“ฝ่าบาท ต้องการให้กระหม่อมรับหน้าหรือไม่”
จักรพรรดินีก็ตกใจเช่นกันเมื่อได้ยินเสียงนี้ นางไม่ได้ยินเสียงนี้มานานแล้ว
เจ้าของเสียงนี้คือเนี่ยอิ่ง ซึ่งอยู่ในวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม มีฐานการฝึกบำเพ็ญที่เทียบเคียงได้กับมู่พ่านซาน!
คนผู้นี้อยู่อย่างสันโดษมากว่าสิบปี เหลือเพียงสร้อยข้อมือเพื่อใช้ติดต่อกับจักรพรรดินี
จักรพรรดินีเกือบลืมการมีอยู่ของคนคนนี้ นางในตอนนี้ตกตะลึงไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเสียงนี้อย่างกะทันหัน
ต้องเป็นคลื่นอากาศสองสามลูกนั้นที่กระแทกโล่ของนางจนแตก และสัมผัสสร้อยข้อมือนี้ ทำให้เนี่ยอิ่งรู้สึกได้
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จักรพรรดินีได้ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ตรัสว่า “ไม่จำเป็น”
จู่ ๆ จักรพรรดินีก็นึกอะไรบางอย่างได้และตรัสถามอีกครั้ง “มู่พ่านซานอยู่ที่ไหน? ยังไม่กลับมาอีกหรือ”
เนี่ยอิ่งตอบอย่างเย็นชา “ขยะนั่นถูกสตรีนางหนึ่งหลอกเข้าให้ ขยะเช่นนี้สมควรอยู่เคียงข้างฝ่าบาทแล้วหรือ!”
“แต่ตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงความคิดของหญิงสาว และได้ต่อสู้กับนางไปหนึ่งยก ก่อนจะกลับมา”
จักรพรรดินีขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน “เขาฆ่าคนผู้นั้นหรือ?”
จักรพรรดินีรู้เพียงว่ามีคนพามู่พ่านซานออกไป แต่นางไม่รู้ว่าใครเป็นคนพาไป
แต่พวกเขาก็เป็นคนของบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ ถ้ามู่พ่านซานฆ่าคนคนนั้น เกรงว่าจะเกิดปัญหาใหญ่!
ตอนนี้ลู่หยวนมีโชคชะตามากเกินไป จึงไม่ใช่เรื่องดีที่จะสร้างปัญหาให้กับเขา!
ราวกับเข้าใจจิตใจของจักรพรรดินี เนี่ยอิ่งจึงกล่าวว่า “ฝ่าบาทโปรดทรงอย่ากังวล ผู้ที่พามู่พ่านซานไปคือ ชิวชิงหลีจากตระกูลชิว”
“แม้ว่ามู่พ่านซานจะเป็นขยะ แต่ก็ยังพอมีสมองอยู่บ้าง เรายังทำอะไรคนจากตระกูลชิวไม่ได้!”
“เขากลับมาหลังจากประมือเพียงไม่กี่กระบวนท่า คิดว่าชิวชิงหลีคงไม่บาดเจ็บมากนัก กระหม่อมเห็นว่าฝ่าบาทดูจะมีกิจธุระอื่นอยู่ ดังนั้นกระหม่อมจึงห้ามเขาไม่ให้มาต้อนรับเสด็จชั่วคราว!”
จักรพรรดินีคลายคิ้วที่ขมวดและพยักหน้า “เช่นนี้ย่อมดีที่สุด”
“ฝ่าบาท กระหม่อมให้ความสนใจกับฝ่าบาทตลอดเวลา ถ้าฝ่าบาทต้องการ เรียกหาได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ!”
จักรพรรดินีพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
จุดแสงทั้งหมดบนสร้อยข้อมือจางลง ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ
บนท้องฟ้า กลุ่มเมฆที่รวมตัวกันก็เริ่มพังทลายในทันที!