บทที่ 383 แผนการของชิวสิง
บทที่ 383 แผนการของชิวสิง
ไม่มีใครมีคำตอบสำหรับคำถามนี้
พวกเขาทราบเพียงว่าหากกู่จินเจากับลู่หยวนต่อสู้กัน ไม่เพียงแค่แดนมัชฌิมเท่านั้น แต่แดนเหนือก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ส่งผลให้สถานการณ์บนแผ่นดินหลักเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน!
ลู่หยวนกับกู่จินเจามองหน้ากัน พวกเขาต่างเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
ทั้งสองคนจึงได้ข้อสรุปในทันที
หากกู่จินเจาอยากสู้กับลู่หยวนจริง นางอาจจะแผ่จิตสังหารออกมาทันทีที่เขาปรากฏตัว เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายต้องตรงเข้ามาสังหารพร้อมกระบี่ใหญ่แน่นอน
แต่กู่จินเจากลับไม่ทำเช่นนั้น แสดงว่าเรื่องราวไม่เรียบง่ายอย่างที่ตาเห็น
เมื่อลู่หยวนคิดถึงตรงนี้พร้อมกับครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็ทราบทันทีว่านางจะสื่ออะไร
ยามนี้กู่จินเจากวาดสายตามองไปยังมุมหนึ่งของแดนมัชฌิม
จากนั้นนางก็เบนสายตามองไปอีกทาง ไม่ช้าจึงกลับมาจ้องลู่หยวน
ครั้งนี้ลู่หยวนเข้าใจ ก่อนดวงตาจะเผยรอยยิ้มออกมา
เขาลอบสื่อสารหากู่จินเจาว่า “กู่จินเจา ถ้าเจ้าอยากให้ข้าช่วยเอาเส้นชีพจรจักรพรรดิจากแดนมัชฌิมก็ต้องจ่ายมาก่อน เจ้าสามารถจ่ายได้มากแค่ไหน?”
แม้กู่จินเจาจะอยู่ในดินแดนลับที่พังทลาย แต่นางก็ยังทราบว่าเส้นชีพจรจักรพรรดินี้ได้ถูกพิชิตแล้ว
คนเดียวที่สามารถทำเช่นนั้นได้ก็คือลู่หยวน
คนอื่นไม่มีพละกำลังและความกล้าถึงขนาดนี้!
คนผู้นี้เป็นคนเดียวที่ไร้ศีลธรรม!
กู่จินเจายังคงต้องการเส้นชีพจรจักรพรรดิ!
แม้นางจะหลอมรวมกับวิญญาณของจิ่วเฟิ่งไปแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะแยกตัวออกจากตระกูลได้
ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่อยู่ใต้แดนมัชฌิมแห่งนี้คือซากปรักหักพังจำนวนมากซึ่งเป็นของเผ่าวิหคเพลิงดั้งเดิม หากสถานที่นี้ถูกยึดครองไป ย่อมยากจะหามรดกของมันได้!
เมื่อคำนึงถึงทุกอย่างแล้ว กู่จินเจาจะต้องชิงเส้นชีพจรจักรพรรดิกลับมาให้ได้!
แต่มันยอมรับเจ้าของไปแล้ว ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงไม่เหมาะสม นางไม่ทราบว่าต้องรอโอกาสให้มาถึงอีกนานเท่าไหร่
หากฝืนชิงเส้นชีพจรจักรพรรดิกลับมาก็ต้องมีใครสักคนที่สามารถต้านทานวิถีสวรรค์ได้!
หากลู่หยวนรอดจากภัยพิบัติอัสนีไร้ขอบเขตมาได้ เขาก็น่าจะสามารถทะลวงวิถีสวรรค์ได้เช่นเดียวกัน!
ต่อให้กู่จินเจาควานหาทั่วทั้งแดนมัชฌิมก็คงไม่มีใครที่เหมาะสมไปกว่าเขาอีกแล้ว!
การผนึกกำลังกับลู่หยวนจึงเป็นทางเลือกเดียวของนาง!
ลู่หยวนก็คิดแบบเดียวกัน
เสียงของกู่จินเจาที่มีเพียงลู่หยวนเท่านั้นที่ได้ยินก็ดังขึ้น
“ขอเพียงเจ้าช่วงชิงเส้นชีพจรจักรพรรดิมาได้ ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นราชันแซ่อื่นที่มีสถานะเดียวกับจักรพรรดิ!”
ลู่หยวนยิ้มขณะร่องรอยจิตสังหารปรากฏในดวงตา
“กู่จินเจา คิดว่าข้าโง่หรือไร? วิญญาณของเจ้าหลอมรวมกับจิ่วเฟิ่งแล้ว ทำให้ทราบถึงตัวตนของข้า หากยื่นมือเข้าช่วยจนได้รับผลประโยชน์ตามที่หวังขึ้นมา เจ้าก็จะหันมาแว้งกัดข้า”
“เผ่าวิหคเพลิงรังเกียจเผ่ามารมากที่สุดไม่ใช่หรือ?”
ลู่หยวนจำได้อย่างชัดเจนว่าแม้แต่ตอนที่เศษเสี้ยววิญญาณของจิ่วเฟิ่งกำลังสลายไป นางยังตรงเข้ามาเพื่อพยายามสร้างบาดแผลร้ายแรงแก่เขา
เขายังคงแค้นไม่หาย
กู่จินเจาต้องทราบว่าลู่หยวนคือเมล็ดพันธุ์มารเป็นแน่ ถ้าอย่างนั้น นางคิดจะควบคุมเขาอย่างนั้นหรือ?!
เกรงว่าเมื่อใช้ประโยชน์จากลู่หยวนแล้ว นางจะต้องสบโอกาสเพื่อแทงข้างหลังแน่นอน!
กู่จินเจาย่อมทราบถึงความกังวลของอีกฝ่ายเช่นกัน มันต้องเป็นเรื่องตัวตนของเขาไม่ผิดแน่
เดิมทีนางอยากหาสถานที่เพื่อสนทนากับลู่หยวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยามนี้ดูจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่
สำหรับกู่จินเจา เส้นชีพจรจักรพรรดิคือสิ่งสำคัญที่สุด
ในเมื่อลู่หยวนกังวล เช่นนั้นก็หาทางทำให้เขาวางใจก็แล้วกัน!
กู่จินเจาพลันยื่นมือซ้ายออกไปเพื่อสร้างค่ายกลแปลกประหลาดขึ้นมา จากนั้นลู่หยวนก็สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งอยู่ในมือ
เขาสัมผัสมันอย่างแผ่วเบาจนรู้ว่าสิ่งนี้คล้ายกับเป็นค่ายกลขนาดเล็ก โดยมีกลิ่นอายของอีกฝ่ายอยู่ภายใน
ลู่หยวนออกแรงบีบ
กู่จินเจาผู้อยู่ฝั่งตรงข้ามพลันเปลี่ยนไป ใบหน้าของนางซีดเซียวและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
คราวนี้ลู่หยวนเข้าใจแล้วว่านางได้รวบรวมเส้นชีพจรของวิหคเพลิงเข้าไปในค่ายกลก่อนจะมอบให้!
กู่จินเจาคือลูกหลานของเผ่าวิหคเพลิง เหตุการณ์ในวันนี้เปรียบได้กับการนิพพานเพื่อเกิดใหม่ ทำให้สายเลือดที่สูญเสียไปได้รับการเติมเต็ม ซึ่งสายเลือดดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับเผ่าวิหคเพลิง!
ส่วนเส้นชีพจรของวิหคเพลิงคือสิ่งที่คอยรักษาทุกอย่างของนาง
การที่กู่จินเจารวบรวมสิ่งนี้เข้าไปในค่ายกลแล้วมอบให้ลู่หยวน ย่อมไม่ต่างกับการมอบชีวิตให้อีกฝ่าย
ขอเพียงลู่หยวนต้องการ เขาย่อมบดขยี้ค่ายกลจนแตกสลายได้ ถึงตอนนั้น นางจะถูกสังหารทันที!
“สมกับเป็นฝ่าบาท ช่างหาญกล้าไม่เบา”
ลู่หยวนรับค่ายกลมาขณะดวงตามืดมนพลันกระจ่างชัด
เขาไม่คาดคิดว่ากู่จินเจาจะพยายามอย่างหนักถึงเพียงนี้!
เส้นชีพจรของวิหคเพลิงย่อมเป็นของจริง มันมีความหมายว่านางมอบชีวิตให้กับลู่หยวนแล้ว!
แต่การกระทำนี้กลับไม่สอดคล้องกับความคิดของเขา
กู่จินเจาไม่ได้รังเกียจมารหรอกหรือ?!
นางไม่ได้อยากจะฆ่าเขาหรือ?!
ขณะลู่หยวนกำลังสงสัย กู่จินเจาก็เอ่ยว่า “ลู่หยวน เจ้าคิดว่าเมล็ดพันธุ์มารคือบาปหรือ? เหอะ… บาปยิ่งใหญ่ที่สุดได้ปรากฏขึ้นแล้ว เป้าหมายของมันก็คือเจ้า!”
“เจ้าสัมผัสได้หรือไม่? ยิ่งทรงพลังก็ยิ่งรู้สึกปั่นป่วน! เจ้าเลยกลายเป็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของมัน!”
“ขอเพียงเจ้าตกอยู่ในกำมือของมัน ทั่วทั้งแผ่นดินก็จะถูกสังเวย!”
ลู่หยวนขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็ลืมตาขึ้นแล้วมองไปทางหนึ่ง
เขาเห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ในอากาศไกลออกไปกำลังจ้องมองมา
บริเวณใบหน้าของอีกฝ่ายมีหมอกบดบังอยู่ ทำให้ลู่หยวนมองเห็นไม่ชัด
ข้างกายชายผู้นั้นมีกลุ่มคนสวมหน้ากากสีดำ ซึ่งมีอยู่หนึ่งคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
คนผู้นั้นคือชิวเสวียน!
ลู่หยวนเพียงหรี่ตาก็ทราบทันทีว่าอีกคนเป็นใคร!
‘ชิวสิง…’
ลู่หยวนเอ่ยชื่อนี้อยู่ในใจ
เหอะ… เดิมทีเขาวางแผนจะหลอกให้ตระกูลชิวเข้ามาพัวพัน จากนั้นจึงค่อยสบโอกาสแทรกซึมเข้าไป
แม้ตระกูลชิวจะเคลื่อนไหว แต่ผ่านไปสักพักก็ถอยกลับมาราวกับตัดใจจากเส้นชีพจรจักรพรรดิ
ลู่หยวนจึงคิดว่าต้องมีใครบางคนคอยสั่งการอยู่เบื้องหลังเพื่อป้องกันไม่ให้ตระกูลชิวถลำลึกไปกว่านี้ แต่คาดไม่ถึงว่าชิวสิงจะเป็นคนออกโรงด้วยตัวเอง!
เขารู้สึกมาตลอดว่าอีกฝ่ายมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
คนผู้นี้จะต้องซ่อนไพ่ตายบางอย่างเป็นแน่!
ตระกูลชิวแห่งวิถีคุณธรรมมักเกี่ยวข้องกับเผ่ามาร
ยิ่งกว่านั้น ชิวเสวียนในฐานะลูกหลานของตระกูลชิวจะต้องได้รับการปกป้องจากชิวสิงถึงสามารถมีชีวิตอยู่รอดมาได้หลายปี
เขามีจุดประสงค์ใดถึงได้เลี้ยงเมล็ดพันธุ์มารไว้?!
ตอนนี้เองที่ชิวสิงผู้อยู่ไกลออกไปพลันเคลื่อนไหว เขาหันหลังแล้วเดินไปทางหนึ่ง
ส่วนคนอื่นก็เดินตามอีกฝ่ายไป
เสียงชราซึ่งเป็นของชิวสิงดังขึ้นในหูของลู่หยวน “บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ หวังว่าท่านจะมาเยี่ยมเยือนตระกูลชิวแห่งวิถีคุณธรรม”
เมื่อสิ้นคำ ร่างของคนทั้งหลายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ลมหายใจของลู่หยวนยิ่งหนักอึ้ง แล้วความคิดทั้งหลายก็ผุดขึ้นมาในใจ
ทุกสิ่งคล้ายกับกำลังรวมตัวกันอยู่ในใจของเขา!