บทที่ 362 พายุเริ่มก่อตัว
บทที่ 362 พายุเริ่มก่อตัว
เวลาสำหรับการชุมนุมดาวรุ่งเริ่มใกล้เข้ามาทุกที เมฆลมพาพัดมารวมตัวกันที่ราชวงศ์ซ่งจากทั่วทุกสารทิศ
ผู้บ่มเพาะจากนิกายและเผ่านับไม่ถ้วนทั้งจากแดนเถื่อนทางตอนเหนือ ดินแดนทางใต้ ทะเลตะวันออก ที่ราบตอนกลาง และผู้ฝึกตนอิสระอีกมากมายต่างก็พากันมุ่งหน้าไปยังนครหลวงธารสายไหมอย่างพร้อมเพรียง
ทว่าก็ยังมีตระกูลและกองกำลังเล็ก ๆ บางกลุ่มที่ถูกลิขิตให้ไม่มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมที่ยิ่งใหญ่นี้ เพราะอย่างไรเสียนครหลวงธารสายไหมก็ต้องอยู่ที่ใจกลางของที่ราบตอนกลาง ไม่ต้องพูดถึงระยะทางอันห่างไกล เพียงถนนหนทางล้วนเต็มไปด้วยอันตรายต่าง ๆ อาทิ การโจมตีของสัตว์อสูร โจรปล้นสะดม ฯลฯ ก็มากพอที่จะฝังผู้อ่อนแอเอาไว้บนเส้นทางที่มุ่งมายังนครหลวงธารสายไหมแล้ว
ดังนั้นผู้ฝึกตนทั้งหมดที่สามารถไปยังนครหลวงและเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งได้ จึงมาจากกองกำลังที่ทรงพลังและมากอำนาจเสียส่วนใหญ่ ยิ่งกว่านั้นกลุ่มของพวกเขายังมีผู้เยี่ยมยุทธ์เป็นผู้นำกลุ่มอย่างแน่นอน
ส่วนผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นเหมือนนกกระเรียนป่าและเมฆที่ล่องลอยไปทั่วทุกทิศ หากพวกเขาต้องการเป็นสักขีพยานในการชุมนุมนี้ อย่างน้อยความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ต้องอยู่ในขอบเขตแกนทองคำขึ้นไป พวกเขาจึงอาจจะสามารถมาถึงนครหลวงธารสายไหมได้อย่างปลอดภัย
และเพื่อไม่ให้พลาดงานที่ยิ่งใหญ่นี้ กองกำลังจำนวนมากจึงเลือกที่จะออกเดินทางล่วงหน้าถึงหนึ่งเดือน เพราะในท้ายที่สุดการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้แล้วก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ และหาดูได้ยากในรอบพันปีที่มีอัจฉริยะนับไม่ถ้วนได้เข้าร่วม หากพวกเขาพลาดงานนี้ พวกเขาคงจะเสียใจไปตลอดชีวิต
ขณะที่ผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินซ่งกำลังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เฉินซี ย่าชิง เหยียนเยียน อวิ๋นน่า และนายน้อยหวังเจิ้นเฟิงแห่งจวนจ้าวอัสนีก็ได้เดินทางออกจากนครอสนีบาต และมุ่งหน้าไปยังนครหลวง
สาเหตุที่การชุมนุมดาวรุ่งสามารถดึงดูดสายตาจากทั่วโลกมาได้นั้น ประการแรกก็เพราะมันเป็นงานชุมนุมอันยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นโดยราชวงศ์เอง หากสามารถคว้าชัยชนะในการชุมนุมนี้ได้ พวกเขาก็จะโดดเด่น มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และได้รับเกียรติยศสูงสุด
ประการที่สองคือหากผู้เข้าร่วมติดอยู่ในสิบอันดับแรกของการแข่งขันนี้ได้ คนเหล่านั้นก็จะได้รับสิทธิ์ให้เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลที่เชื่อมไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน สถานที่ซึ่งใกล้กับมิติเซียนมากที่สุดอย่าง ‘แดนภวังค์ทมิฬ’!
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่านอกเหนือจากการแข่งขันเพื่อจัดอันดับแล้ว พวกเขายังแข่งขันกันเพื่อชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลที่นำไปสู่แดนภวังค์ทมิฬด้วย
นิกายกระเรียนพิสุทธิ์
ยอดเขาสูงเรียงรายตัดไขว่เป็นรูปกากบาท ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกหนา กลุ่มนกกระเรียนขาวขาแดงบินเรียงเป็นแถวพลางส่งเสียงขับร้องที่ก้องไปถึงสวรรค์ทั้งเก้าชั้น ทำให้ที่นี่ดูเหมือนสวรรค์บนดินก็ไม่ปาน
ฮึ่ม!
จู่ ๆ คลื่นแห่งความผันผวนที่รุนแรงจนสะเทือนสวรรค์และปฐพีก็ระเบิดออกมา ราวกับเสียงสะท้อนของมหาเต๋าที่ดังก้องอยู่ในโลกนี้ ทันใดนั้นแสงสวรรค์พร่ามัวมากมายหลายสายก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือยอดเขา ช่างดูเหมือนปราณมงคลประหนึ่งดอกบัวลอยลงมาจากสวรรค์ ก่อตัวเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาด
ภาพนี้ทำให้ทั้งนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ตื่นตระหนกในทันที
“นั่นยอดเขาเสน่ห์น้ำค้าง เป็นไปได้หรือไม่ว่าศิษย์พี่ใหญ่จะออกมาจากการเก็บตนฝึกฝนแล้ว?”
“ศิษย์พี่ใหญ่ปิดประตูฝึกตนอยู่ตลอดเลย นับตั้งแต่ที่กลับมาจากห้วงทะเลทรายมรณะครานั้น ยามนี้เมฆลมปั่นป่วน และจู่ ๆ ก็มีนิมิตสวรรค์ปรากฏขึ้น บางทีความแข็งแกร่งของนางคงจะเพิ่มขึ้นมากเป็นแน่!”
“นั่นสิ เหลือเวลาเพียงหนึ่งเดือนก็จะถึงงานชุมนุมดาวรุ่งแล้ว ด้วยระดับการบ่มเพาะที่น่าภาคภูมิใจในนามของเซียนสวรรค์อวตาร นางก็สามารถโค่นล้มผู้เข้าแข่งทั้งหมดและกลายเป็นผู้ชนะอันดับที่หนึ่งได้!”
ริ้วแสงจำนวนมากฉีกผ่านท้องฟ้ามาจากยอดเขาต่าง ๆ ในนิกาย ขณะที่พวกเขาจับจ้องไปยังยอดเขาเสน่ห์น้ำค้างจากที่ห่างไกลด้วยความประหลาดใจและความคาดหวัง
หลังจากการปิดประตูฝึกฝนเป็นเวลาสามปี วันนี้ชิงซิ่วอี้ผู้เป็นศิษย์คนโตของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์และผู้เป็นเซียนสวรรค์อวตารได้ทำให้เกิดแสงมงคลปกคลุมลงมาจากท้องฟ้า พร้อมกับเสียงบทสวดแห่งเต๋าปรากฏขึ้น เมื่อนางได้เผยโฉมของตนกลับมาให้โลกได้ยลอีกครา!
ณ หอหยกนภา
หอหยกนภาเป็นนิกายที่อยู่กันอย่างสันโดษ ศิษย์ของนิกายนี้เองก็แทบจะไม่ค่อยปรากฏตัวออกมาให้ผู้คนได้พบเจอ ทำให้พวกเขาลึกลับและไม่โดดเด่นนัก แต่ทั่วทั้งโลกแห่งการบ่มเพาะก็ไม่มีใครกล้าดูถูกความแข็งแกร่งของพวกเขาเลย
เหตุผลนั้นง่ายมาก นั่นเพราะจักรพรรดิฉู่องค์ปัจจุบัน กษัตริย์แห่งมหาราชทั้งสี่องค์ และผู้เยี่ยมยุทธ์ส่วนหนึ่งของราชวงศ์ ที่ไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องของโลกภายนอกต่างก็เคยได้รับการฝึกฝนจากหอหยกนภาแห่งนี้ไม่มากก็น้อย!
จากจุดนี้เพียงอย่างเดียว ก็เห็นได้ว่ากองกำลังของหอหยกนภาแห่งนี้น่ากลัวเพียงใด
เพราะหากพวกเขาไม่มีทรัพยากรและเงินสำรองที่มากพอ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะดึงดูดผู้คนจำนวนมากจากราชวงศ์ให้มาฝึกฝนที่นี่
ณ ห้องลับภายในหอหยกนภา คลื่นความร้อนพลุ่งพล่านขึ้นสูงไม่หยุด อุณหภูมิที่สูงจนน่าสะพรึงกลัวราวกับว่ามันสามารถแผดเผาทุกสิ่งได้
ปุด! ปุด!
หม้อน้ำทองแดงขนาดใหญ่ที่มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ข้างใต้ได้ถูกตั้งอยู่ในห้องลับนี้ ตัวหม้อได้สลักเป็นรูปนก สัตว์ แมลง และปลาเอาไว้ นอกจากนั้นยังมีแผนภาพที่แสดงให้เห็นถึงผู้คนในสมัยโบราณที่ถวายเครื่องสังเวยแก่สวรรค์ ซึ่งให้บรรยากาศราวกับอยู่ในสมัยโบราณ
น้ำในหม้อน้ำร้อนดุจไฟ มันมีสีแดงเลือดและเหนียวข้นอย่างมาก ทว่าที่แปลกก็คือเลือดเหล่านี้กลับไม่มีกลิ่นเลือดเลยแม้แต่น้อย ทว่ามีกลิ่นน้ำหอมลอยออกมาขณะที่มันเดือดเป็นฟอง ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังหลับตานั่งขัดสมาธิอยู่ภายในหม้อราวกับเขาไม่ได้รู้สึกถึงความร้อนที่แผดเผาของหม้อเลย ใบหน้าที่เย็นชาของเขานิ่งสงบไร้กังวล
โฮก!
ทันใดนั้น ภาพหลอนที่มีขนาดมหึมาของเทพอสูรก็ปรากฏขึ้นภายในห้องลับและยึดพื้นที่ทั้งหมด ทันทีที่มันปรากฏขึ้น มันก็แหงนหน้าขึ้นฟ้าและคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ในขณะที่มันต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายประหนึ่งว่ามันต้องการที่จะดิ้นรนให้เป็นอิสระ
“เจ้าเป็นเพียงเศษเสี้ยวของแก่นโลหิตและวิญญาณเท่านั้น! ยังไม่รีบยอมจำนนแก่ข้าอีกรึ!” เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องพร้อมกับที่ชายหนุ่มลืมตาขึ้น ก่อนเขาจะเปล่งเสียงตะโกนออกมา
ทันใดนั้น ภาพลวงตาของเทพอสูรก็ราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส และกลายเป็นเส้นแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งเข้าสู่ร่างของชายหนุ่มอย่างไม่เต็มใจ
ครืน!
ร่างกายที่กำยำและได้สัดส่วนของชายหนุ่มส่งคลื่นเสียงที่ดังกึกก้องราวกับท่วงทำนองแห่งเต๋า ปราณโลหิตเป็นเหมือนก้อนเมฆลอยอยู่เหนือหัวของเขา ขณะที่เขาปล่อยกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่และเก่าแก่ออกมา
“ช่างเป็นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งนัก! ด้วยความแข็งแกร่งของข้ายามนี้ การจะขึ้นสู่สามอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งก็ง่ายเหมือนเพียงแค่หยิบออกมาจากกระเป๋า!” ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ความแข็งแกร่งที่ปั่นป่วนไปทั่วร่างกายทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเชิดหน้าขึ้นกู่ร้องให้ดังสะเทือนก้องไปถึงชั้นสวรรค์
“ฮ่า ๆๆ! ชิงเหอ เร็วเข้า รีบออกเดินทางไปยังนครหลวงธารสายไหม แล้วแสดงถึงความยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเทียบได้ของเจ้าเสีย!” เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุขของนักพรตเฒ่าผู้เสเพลดังก้องขึ้นจากด้านนอกห้อง
ในวันนี้จ้าวชิงเหอศิษย์ของหอหยกนภาได้หลอมรวมและควบคุมแก่นโลหิตของเทพอสูร และก้าวออกจากการปิดประตูฝึกตนแล้ว
ณ ตำหนักจ้าวปัญญา
ภายในวังสีดำสนิทที่สูงตระหง่านและงดงาม ราชันผู้ปรีชาที่แข็งแกร่งนั่งอยู่บนบัลลังก์กลาง กลิ่นอายที่ลึกลับและลึกล้ำปกคลุมรอบกายของเขา เมื่อมองจากระยะไกล ทั้งตัวของเขาดูราวดวงอาทิตย์ที่พร่างพราย ซึ่งทำให้คนอื่นไม่กล้ามองเขาตรง ๆ
“การชุมนุมดาวรุ่งครานี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ฉางเทียน เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าเจ้าจะติดหนึ่งในสิบอันดับแรก” เสียงดังก้องราวกับฟ้าร้องดังกึกก้องภายในห้องโถงอันกว้างใหญ่
ชายหนุ่มสองคนยืนเคียงข้างกันอยู่ที่บริเวณด้านล่างของห้องโถง ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำทางด้านซ้ายตอบกลับอย่างใจเย็น “ท่านพ่อ ข้าเคยทำให้ท่านผิดหวังด้วยหรือขอรับ?”
เขามีรูปร่างสูงใหญ่ เคร่งขรึม คิ้วเหมือนหมึกสีดำ ท่าทางน่าเกรงขามและสง่างาม แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะสงบนิ่งและดูไม่แยแส แต่มันก็เผยให้เห็นถึงความมั่นใจในตนเองอย่างยิ่ง
นี่คือ หวงฝู่ฉางเทียนผู้บ้าคลั่งที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เขาเป็นผู้ยอดฝีมือของเหล่าคนรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ ทั้งความสามารถในการเข้าใจและความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา!
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ราชันผู้ปรีชาหัวเราะเต็มเสียงและพยักหน้า “ดีมาก เรื่องของเจ้าเอาไว้ก่อน เจ้าล่ะฉงหมิง? หลังจากฝึกฝนในทะเลเพลิงอสูรมาสามปี เจ้ามีความมั่นใจว่าตนจะโดดเด่นเหนือใครในการชุมนุมดาวรุ่งนี้หรือไม่?”
หวงฝู่ฉงหมิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้ ข้าจะแสดงผลการเลี้ยงดูอันทุ่มเทของท่านพ่อตลอดหลายปีที่ผ่านมาให้ได้เห็นอย่างแน่นอนขอรับ!”
“ดีมาก! หากตำหนักเจ้าปัญญาของข้าสามารถครองตำแหน่งสูงสุดสิบอันดับแรกในการชุมนุมครั้งนี้ได้ถึงสองตำแหน่ง ไม่ว่าพวกเจ้าสองคนจะขอสิ่งใด ข้าก็จะตกลงตามนั้น!”
ราชันผู้ปรีชายืนขึ้นจากบัลลังก์ เอามือไพล่หลังในขณะที่เขามองลงไปที่ด้านล่างของห้องโถง เสียงของเขาก็ดังกึกก้องเหมือนระฆัง การแสดงออกที่กล้าหาญได้ปกคลุมใบหน้าที่เคร่งขรึมและสง่างาม
ทะเลตะวันออก ณ หอวารีหมอก
เกาะนี้เป็นเกาะเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ แต่มีทิวทัศน์ค่อนข้างสวยงาม มีภูเขา แม่น้ำ น้ำตก ต้นสนเขียวขจี ต้นไม้ที่ผลิดอกออกผล และพุ่มไผ่สูง ดูทั้งเงียบสงบและโดดเดี่ยว
เวลานี้พระอาทิตย์กำลังตกดินและย้อมสีขอบฟ้าให้ดูราวกับเปลวไฟ
ที่จุดสูงสุดของภูเขาบนเกาะเล็ก ๆ มีต้นสนเก่าแก่ต้นหนึ่งที่มีรากที่ขดไหวคล้ายมังกรอยู่ข้างกระท่อมหลังเดียวและสวนผักเล็ก ๆ ใต้ชายคาของกระท่อมแขวนพริกแดงจำนวนหนึ่งเอาไว้เพิ่มกลิ่นอายชีวิตให้กับสถานที่นี่
หญิงสาวที่มีรูปลักษณ์งดงาม ใส่ผ้าคาดผมแต่งตัวเหมือนหญิงชาวนา ถกแขนเสื้อขึ้นเดินเท้าเปล่าก้มเก็บผักและผลไม้จากสวนผัก
มะเขือยาวสีม่วง ถั่วเขียว กะหล่ำปลีฉ่ำน้ำ… พวกมันทั้งหมดเป็นผักธรรมดาทั่วไป หากมีอะไรพิเศษกว่า ก็คงจะเป็นผักและผลไม้ที่นี่อาจสดกว่าและมีชีวิตชีวากว่าอย่างเห็นได้ชัด
การเคลื่อนไหวของหญิงสาวคล่องแคล่วอย่างมาก และเห็นได้ชัดว่านางทำสิ่งนี้อยู่บ่อยครั้ง นางผละตัวออกจากสวนผักในยามใกล้ค่ำ จากนั้นก็ถือตะกร้าผักและเดินเข้าไปในกระท่อมอย่างมีความสุข
ไม่นานนัก กลุ่มควันจากการปรุงอาหารก็พวยพุ่งออกมาจากกระท่อม ทักทายดวงดาวสว่างไสวจำนวนมากที่แขวนอยู่บนท้องฟ้า พวกมันดูกลมโตและสุกใสอยู่เหนือท้องทะเลที่ไร้ขอบเขต
หญิงสาวเดินออกจากกระท่อม วางชามและตะเกียบคู่หนึ่งลงบนโต๊ะหน้าต้นสนชรา จากนั้นก็วางจานสี่ใบที่เพิ่งเตรียมมาเพิ่มเข้าไป นางผายมือออกจากนั้นน้ำเต้าสีฟ้าอันมันวาวก็ปรากฏขึ้นบนโต๊ะ
“อาจารย์ ได้เวลาทานอาหารแล้ว นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ท่านจะได้กินอาหารที่ข้าทำ ทำไมท่านไม่รีบไปออกมาทานเสียล่ะ!” หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จ หญิงคนนั้นก็ยกมือขึ้นเคาะต้นสนเก่าแก่ พลางยิ้มและบอกกล่าว
“ข้าไม่อยากกินอะไรแล้ว เพียงแค่คิดว่าลูกศิษย์ที่เชื่อฟังของข้ากำลังจะจากไป ใจของข้าก็เจ็บปวดมาก ไม่กิน ข้าไม่กินแล้ว” เสียงถอนหายใจดังออกมาจากต้นสนเก่าแก่และพูดช้า ๆ
“ฮิ ๆ ท่านเจ็บใจเพราะจะไม่มีใครทำอาหารให้กินแล้วใช่ไหมล่ะ? ถ้าไม่อยากก็ลืมไปเสีย! ข้าจะเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง ดังนั้นข้าจะไปทันทีที่ข้าทานอาหารเสร็จ” ขณะที่นางพูด หญิงสาวก็นั่งลงที่โต๊ะและหยิบตะเกียบคู่หนึ่งขึ้นมาก่อนจะเคี้ยวอย่างระมัดระวังและกลืนช้า ๆ
นางกินอย่างระมัดระวังและจิบเหล้าแกล้มเป็นครั้งคราว จนกระทั่งนางกินเสร็จ ต้นสนชราก็ยังคงไม่ส่งเสียงใด ทำให้บรรยากาศดูเงียบสงัดมาก
“ข้าจะไปแล้ว ดูแลตัวเองด้วยนะ แล้วข้าจะกลับมาหาหลังจากที่ข้าเบื่อกับการชื่นชมทุกสิ่งในแดนภวังค์ทมิฬแล้ว” หลังจากที่กินเสร็จ หญิงสาวก็ลุกขึ้นยืนอยู่เงียบ ๆ ตรงหน้าต้นสนชราเป็นเวลานาน ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ไม่มีการตอบสนองใด
หญิงสาวยิ้มและไม่ลังเลอีกต่อไป ก่อนจะหันหลังกลับแล้วขึ้นไปบนยอดเขา เสื้อผ้าของนางโบกไสว นางทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะหายวับไปในทะเลยามค่ำคืนที่ไร้ขอบเขต
“เจิ้นหลิวชิง? ช่างมีเมตตา? ฮ่า ๆๆ ดีแล้วที่เจ้าจากไป หากข้าได้พบกับนางอีก ข้าเกรงว่านางจะไม่เต็มใจจากไปอีก… ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เจ้าจะกลายเป็นเซียนอมตะหลังจากเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬแล้ว”
ท่ามกลางเสียงยืดยาด ชายชราตัวเล็กจ้ำม่ำเดินออกมาจากต้นสนเก่าแก่ ใบหน้าที่เหมือนเด็กของเขามีเลือดฝาดอมชมพู ผมสีขาวและเคราสีขาวยาวเหมือนน้ำตกอยู่ที่ใต้คาง เขาเงยหน้าขึ้นมองสถานที่ที่เจิ้นหลิวชิงจากไป ฟ้าแลบและฟ้าร้องวาบผ่านอยู่ในดวงตา จวบจนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์โคจรสลับกัน เขาจึงสงบลง