บทที่ 486 รวมตัวอีกครั้ง
บทที่ 486 รวมตัวอีกครั้ง
“หนีเร็วเข้า!”
“บัดซบ! เจ้านั่นไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว มันน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว!”
“เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้? แม้แต่ทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติก็ไม่สามารถฆ่ามันได้ หากปล่อยให้มันเติบโตต่อไปเช่นนี้ ในภายภาคหน้าจะมีผู้ใดที่สามารถต่อกรกับมันได้อีก? ข้าเกรงว่ามันจะกลายเป็นสุดยอดฝีมืออย่างแน่นอน!?”
เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างหลบหนีเอาชีวิตรอด เนื่องจากพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีก เพราะเมื่อพวกเขาหยุดย่อมหมายความว่ากำลังมุ่งไปสู่ความตาย แต่แท้จริงแล้วนั้น การพ่ายแพ้อย่างหมดท่าและหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อนั้น กลับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ระดับกลาง ทำให้ไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ต่าง ๆ และถ้าข่าวเช่นนี้ถูกแพร่ออกไป ก็คงไม่มีใครเชื่ออย่างแน่นอน
เกาะสมบัติที่ร่วงหล่นนั้นกว้างใหญ่ไพศาล และนอกจากบรรดาผู้เป็นศัตรูกับเฉินซีแล้ว ยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ที่เข้ามาเพื่อค้นสมบัติที่ทวพเทพเหลือทิ้งไว้
อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดต้องตกตะลึงเมื่อเห็นกองทัพของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่กำลังหลบหนีอย่างน่าสังเวช
“เกิดอะไรขึ้น?” พวกเขาได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่า มีเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ร่วมมือกันโดยตั้งใจที่จะสังหารชายหนุ่มคนหนึ่งจากราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเดิมทีพวกเขาก็คิดว่ามันจะต้องสำเร็จได้อย่างง่ายดาย แต่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้
“เร็วเข้า! รีบออกจากซากปรักหักพังนี่และพุ่งออกจากเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นซะ ไอ้หมอนั่นมันเหมือนกับปีศาจร้ายที่ฆ่าโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา!” เหล่ายอดฝีมือที่หนีมาทางนี้ต่างเซไปมาขณะคำรามใส่สหายของพวกเขา
“พวกเจ้ามีตั้งมากมาย แต่กลับไม่สามารถฆ่าคนเพียงคนเดียวได้อย่างนั้นหรือ?”หลายคนไม่อยากเชื่อและเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
ทว่าไม่มีใครตอบกลับสักคน เนื่องจากพวกเขาต่างแยกย้ายกันหลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอด อีกทั้งยังไม่กล้าที่จะหยุดแม้แต่น้อย และในเวลาไม่นาน พวกเขาก็หายไปหมดจนไม่เหลือร่องรอยเลยสักนิด
ตู้ม!
ทันใดนั้นเอง มีชายหนุ่มร่างสูงกำยำปรากฏตัวขึ้น ซึ่งก็คือเฉินซีนั่นเอง ดวงตาของเขาเป็นดั่งสายฟ้าฟาดและกวาดไปยังเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าพวกเขาไม่ใช่ปรปักษ์ จึงออกเดินทางอีกครั้งเพื่อไล่ล่าศัตรูโดยไม่ชักช้าแม้แต่น้อย
“สิ่งที่เกิดทั้งหมดนี้… เป็นเพราะเขาเองหรือ?” หนึ่งในกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้นกล่าวออกมา หลังจากที่อ้าปากค้าง เนื่องจากทันทีที่ถูกเฉินซีกวาดสายตาใส่ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง ทำให้ร่างกายของเขารู้สึกหนาวเย็นและอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วยความกลัว
“คงจะใช่” คนอื่น ๆ ก็รู้สึกคล้ายกัน และพวกเขาก็พยักหน้าด้วยความกลัวที่ยังคงอยู่ในใจ
“เขาช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ร้ายกาจเช่นนี้ ปรากฏขึ้นในราชวงศ์ซ่งตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“เร็วเข้า! รีบแจ้งข่าวนี้ให้แก่ทุกคน แล้วกำชับพวกเขาว่า หากพบกับเฉินซีในอนาคต จงอย่าได้ล่วงเกินเขาเป็นอันขาด มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองนั้นตายได้อย่างไร”
“ใช่แล้ว เราต้องแจ้งข่าวให้คนอื่นทราบ ผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ระดับกลางกลับทำให้เกิดฝนเลือดเช่นนี้ได้ หากข่าวเช่นนี้ถูกแพร่กระจายออกไป มันจะทำให้สมรภูมิบรรพกาลต้องปั่นป่วนอย่างแน่นอน”
หลังจากผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้ซึ่งไม่เป็นศัตรูกับเฉินซีได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็รู้สึกหวั่นไหวและไม่สบายใจขณะที่เผยแพร่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ไปยังโลกที่อยู่ภายนอกเกาะอย่างรวดเร็ว
…
ในท้ายที่สุด มีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ส่วนน้อยที่สามารถหลบหนีการไล่ล่าของเฉินซีได้ จนกระทั่งไปถึงสถานที่ที่ฝังสมบัติของทวยเทพเอาไว้ จากนั้น… พวกเขาก็ผ่านประตูขุนเขาเพื่อออกจากพื้นที่ไป
หลังจากหลบหนีออกจากสนามรบอันน่าสยดสยองได้ หลายคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าพวกเขาก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นว่าเหล่าสหายที่เคยเคียงข้างอยู่ ล้มตายไปหมดแล้ว และเหลือเพียงสองสามคนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตรอด สีหน้าของพวกเขาจึงหนักอึ้งและเศร้าโศกในทันที
การสูญเสียของพวกเขาในครั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวง ซึ่งไม่รู้ว่ามีผู้เยี่ยมยุทธ์กี่คนที่ถูกเฉินซีสังหาร แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะของราชวงศ์ระดับกลางบางราชวงศ์กลับถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น
ตัวอย่างเช่น ราชวงศ์เสวี่ยหง ราชวงศ์เทียนหลาง ราชวงศ์ตงเซี่ย… เป็นราชวงศ์ที่เขาต้องให้ ‘การดูแล’ เป็นพิเศษ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรอดชีวิต
ส่วนราชวงศ์ต้าเสวียนกับราชวงศ์ต้าเฉียน ความสูญเสียของพวกเขาก็เข้าขั้นหายนะเช่นกัน ในบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ของพวกเขาที่เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล มากกว่าครึ่งได้ล้มตายไปในการต่อสู้ครั้งนี้ ทำให้ราชวงศ์ของพวกเขาสูญเสียครั้งใหญ่และไม่อาจแข่งขันกับราชวงศ์ระดับสูงอื่น ๆ ได้อีก
ซึ่งคนที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ เป็นเพียงชายหนุ่มจากราชวงศ์ระดับกลางธรรมดา ๆ
เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ที่สามารถหลบหนีไปได้นั้น รู้สึกราวกับหายนะได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่เหตุการณ์การถูกกวาดล้างและไล่ล่าอย่างไม่หยุดหย่อนภายในซากปรักหักพังนั้น กลับเป็นฝันร้ายที่หลอกหลอนและทำให้พวกเขาไม่อาจลืมมันตราบชั่วนิรันดร์
แม้ว่าจะเป็นในยุคบรรพกาลที่ทวยเทพถือกำเนิดขึ้น ก็คงไม่มีชายหนุ่มคนใดที่ทรงพลังเช่นนี้…
“รีบไปแจ้งแก่คนอื่น ๆ ในราชวงศ์ของเราซะ และจงกำชับพวกเขาว่าอย่าได้เป็นศัตรูกับเฉินซีเป็นอันขาด เขาได้พิชิตทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติในตำนานที่น่ากลัวที่สุด และสามารถบรรลุสู่ขอบเขตจุติได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังมีพลังแฝงที่จะเติบโตเป็นสุดยอดฝีมือในอนาคต!”
“พวกเราคงไม่ใช่คู่มือกับศัตรูเช่นเขาจริง ๆ บางทีอาจมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ของราชวงศ์ระดับสูงสุดทั้งสามและตระกูลอันทรงเกียรติจากอาณาจักรโบราณเท่านั้นที่จะสามารถต่อกรกับเขาได้?”
…
ข่าวนี้แพร่กระจายจากเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นไปสู่ทั่วทั้งสมรภูมิบรรพกาลอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ เนื่องจากทุกคนล้วนไม่อยากเชื่อ ในเมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ต่าง ๆ ร่วมมือกันเพื่อเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียง ไม่เพียงแต่ไม่อาจสังหารเฉินซีได้ แต่กลับต้องถูกเขาไล่ล่าจนพ่ายแพ้ย่อยยับ!
“นี่เป็นเรื่องจริงหรือ? ชายคนนั้นใกล้จะตายแล้วไม่ใช่รึ? แล้วเขาจะกวาดล้างผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร? นี่…นี่มันไม่แปลกประหลาดไปหน่อยหรือ?”
“ช่างท้าทายสวรรค์เสียจริง! ข้าเคยกล่าวไว้เมื่อนานมาแล้ว เนื่องจากเจ้าเด็กคนนี้สามารถทำลายประกาศิตเซียนสวรรค์ได้ ผู้บ่มเพาะธรรมดาทั่วไปจึงไม่อาจเทียบกับเขาได้ แต่หากกล่าวกันตามจริงแล้ว ตัวข้าก็ยังรู้สึกไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้”
ในวันนั้น เมื่อได้รับข่าวนี้ ทุกคนก็แทบตกตะลึง ทุกซอกทุกมุมของสมรภูมิบรรพกาลจึงมีเสียงโห่ร้องและสั่นสะเทือนไม่รู้จบ เนื่องจากผู้ใดจะคาดคิดว่า เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ต่าง ๆ กลับถูกชายหนุ่มจากราชวงศ์ระดับกลางไล่ล่าจนแทบดับสิ้น ข่าวเช่นนี้มันได้อยู่เหนือตรรกะและเชื่อได้ยาก ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการฟังนิทาน
แม้แต่เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ของสามราชวงศ์ระดับสูงสุดและตระกูลอันทรงเกียรติที่ลึกลับของอาณาจักรโบราณ ก็เริ่มให้ความสนใจกับชายหนุ่มที่ชื่อว่าเฉินซีหลังจากที่พวกเขาได้ยินข่าวนี้
“เขาพิชิตทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติได้จริง ๆ ทัณฑ์สวรรค์นี้ถูกเรียกว่า ‘การร่ายรำของวิหคอมตะ’ ตราบใดที่สามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์นี้ได้ คนผู้นั้นก็จะมีพลังแฝงที่สามารถเติบโตไปเป็นสุดยอดฝีมือ ข้าไม่แปลกใจเลยที่เฉินซีคนนี้จะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก” ผู้เยี่ยมยุทธ์บางคนกำลังครุ่นคิดและวิเคราะห์ถึงเหตุผลที่เฉินซีมีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังอย่างถี่ถ้วน
“เป็นไปไม่ได้! ทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติ เป็นเพียงทัณฑ์สวรรค์ที่เล่าขานอยู่ในตำราเท่านั้น นับตั้งแต่สมัยโบราณ ก็แทบไม่เคยมีใครได้เห็นการปรากฏตัวของมัน แล้วผู้ใดจะรู้ว่าข่าวนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่? มันยากที่จะเชื่อถือได้!” บางคนส่ายหน้าด้วยความไม่เชื่อ
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การที่ชายหนุ่มจากราชวงศ์ระดับกลางสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้ ก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ และเขาก็คู่ควรที่เราจะต้องให้ความสนใจ บางทีเราอาจจะพบกับเขาในการทดสอบขั้นสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลก็ได้ และเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เราจะได้รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ โดยพิสูจน์จากความแข็งแกร่งของเขา” ดูเหมือนมีบางคนสงสัยเกี่ยวกับชายหนุ่ม และเต็มไปด้วยความคาดหวัง
…
ซากปรักหักพังอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่ ในขณะที่การสังหารยังคงดำเนินอยู่ ฝีเท้าของเฉินซีไม่เคยหยุดตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไล่ล่าและเข่นฆ่าไปตลอดทาง โดยตั้งใจที่จะเข่นฆ่าศัตรูจนกระทั่งพวกมันถูกบีบให้อยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง และเขาในยามนี้ก็ดุร้ายเกินกว่าจะเปรียบเทียบได้
ในเวลาไม่นาน เฉินซีก็มาถึงบริเวณภูเขาที่มีหมอกสีน้ำตาลแกมเทาลอยอยู่ในอากาศโดยรอบ
หลังจากมาถึงที่นี่ ในที่สุดชายหนุ่มก็หยุดลง ดวงตาที่ลึกล้ำของเขาจ้องมองลงไปที่หนึ่งในภูเขาสูงตระหง่าน ในขณะที่สีหน้าก็ปรากฏร่องรอยของความเย็นชา
“ข้าต้องเชิญพวกเจ้าทั้งสามคนออกมาหรือไม่?”
ไม่มีใครตอบกลับมาสักคน และมันก็เงียบสนิท
เฉินซีไม่ได้กล่าวอะไรอีก จากนั้นจึงยกมือขึ้นและฟันกระบี่ออกไป
ตู้ม!
ปราณกระบี่สายนั้นยิ่งใหญ่และสว่างไสว มันถูกปกคลุมด้วยเต๋ารู้แจ้ง หลังจากที่มันพุ่งผ่านท้องฟ้าไปได้หกสิบลี้และกำลังจะฟันเข้าที่ภูเขา จู่ ๆ ก็มีลำแสงพุ่งออกมา
ลำแสงนั้นได้กลายเป็นผนึกที่มีรูปร่างเหมือนภูเขา ปะทะเข้ากับปราณกระบี่อย่างรุนแรงจนเหมือนกับภูเขาไฟสองลูกชนกัน! และเกิดกระแสลมรุนแรงจากการปะทะ ทำให้ภูเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ จนกระทั่งมันสลายหายไปโดยสิ้นเชิง
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ในเวลาเดียวกัน มีร่างสามร่างพุ่งออกมาจากภูเขาที่พังทลาย ซึ่งนั่นก็คือฉินเซียว เผยอวี่ และปี้หลิงอวิ้น
เฉินซีกวาดสายตามองพวกเขาทั้งสามคน และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนที่ตนถูกคนทั้งสามรุมเมื่อวันก่อน ทำให้สายตาของเขาเย็นยะเยือกยิ่งขึ้น
ผู้คนจำนวนมากได้ติดตามมาจากระยะไกลและพวกเขาอ้าปากค้างเมื่อเห็นฉากนี้ เนื่องจากคนเหล่านี้คือองค์รัชทายาทแห่งสองราชวงศ์ระดับสูง ซึ่งคือราชวงศ์ต้าเฉียนกับราชวงศ์ต้าจิ้น พวกเขามีสถานะที่น่านับถือและมีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ส่วนอีกคนก็คือปี้หลิงอวิ้นที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขา นางสืบเชื้อสายมาจากกระเรียนโลกันตร์ที่เป็นสัตว์อสูรที่ไม่มีใครเทียบได้ อีกทั้งยังมีสายเลือดบริสุทธิ์และมีพลังมหาศาล
ในตอนนี้ เฉินซีตั้งใจจะต่อสู้กับพวกเขาทั้งสามคน แต่สิ่งนี้ทำให้คนอื่น ๆ ทั้งตื่นเต้นและไม่สบายใจ
เนื่องจากกังวลว่าการต่อสู้จะน่ากลัวเกินไปและส่งผลกระทบต่อพวกเขา
กลุ่มของฉินเซียวยังคงไม่เชื่อมาตลอดว่า เฉินซีจะสามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จในระหว่างที่ถูกปิดล้อมและจำเป็นต้องหนีเอาชีวิตรอด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดที่จะจากไปและกำลังหาโอกาสที่จะพิสูจน์ความจริงของข่าวนี้
อย่างไรก็ตาม ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวของชายหนุ่ม พวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสัมผัสถึงกลิ่นอายของผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติที่อีกฝ่ายแผ่ออกมา ยิ่งไปกว่านั้น มันยังลึกล้ำเหมือนมหาสมุทรและน่ากลัวยิ่งกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติทั่วไป ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับสามารถคุกคามและสามารถควบคุมทุกสิ่งในโลกหล้าได้
“เป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นเรื่องจริง…” รอยยิ้มอันอบอุ่นที่เคยมีบนใบหน้าของเผยอวี่เลือนหายไป และสีหน้าของเขาก็ขุ่นมัว ราวกับไม่สามารถยอมรับความจริงนี้ได้
“ข้าเกือบตายจากสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ก็เพราะการขัดขวางของพวกเจ้า วันนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะยุติความคับข้องใจนี้ซะ!” ขณะที่กล่าว เฉินซีก็ขยับตัวทันที และร่างของเขาก็พุ่งเข้าใส่กลุ่มของฉินเซียว
“เจ้าทำเกินไปแล้ว! ฆ่ามันซะ!” เผยอวี่ฝืนกัดฟันแน่นและตะโกนออกไปอย่างดุเดือด ก่อนจะชักกระบี่โศกนภาออกมา และพุ่งตัวออกไปเช่นกัน
ในอีกด้านหนึ่ง ความโหดเหี้ยมฉายขึ้นในสายตาของฉินเซียวกับปี้หลิงอวิ้น จากนั้นพวกเขาก็เคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน
เปรี้ยง!
การต่อสู้ปะทุขึ้นทันที ชั่วขณะหนึ่ง แสงเจิดจ้าได้สาดส่องไปทั่วท้องฟ้า ในขณะที่ปราณกระบี่พาดผ่านท้องนภา พื้นที่ในรัศมีนับหมื่นลี้ได้กลายเป็นสนามรบ ภูเขามากมายแตกเป็นเสี่ยง ๆ แผ่นดินก็ถูกผ่าจนแยกออกจากกันและขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ปรากฏขึ้นนั้นน่าตกตะลึงมาก
การต่อสู้ในครั้งนี้อยู่เหนือจินตนาการของผู้คนที่เฝ้าดูจากระยะไกล เฉินซีต่อสู้แบบหนึ่งต่อสาม แต่กลับเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอย่างสมบูรณ์ เขาได้บดขยี้ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ด้วยการกวาดมือขึ้น เปลวเพลิงจากพัดนกยูงเพลิงก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งมันก็เหมือนกับคำสาปของเทพอัคคีที่ปกคลุมไปโดยรอบ จากนั้นจึงโหมกระหน่ำเข้าใส่เผยอวี่และฉินเซียวทันที จนพวกเขากระไอเป็นเลือด
ในอีกด้านหนึ่ง ปี้หลิงอวิ้นกระพือปีกพร้อมกับหันหลังกลับและหนีไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนางหวาดกลัวและกังวลว่าชีวิตอาจตกอยู่ในอันตรายหากยังอยู่ต่ออีกครู่หนึ่ง
“โอ้สวรรค์! เขาบดขยี้ฉินเซียวกับเผยอวี่อย่างรุนแรง และยังทำให้ปี้หลิงอวิ้นหวาดกลัวจนต้องหลบหนีด้วยกระบวนท่าไม่กี่ท่า ช่างเป็นพลังที่ไร้เทียมทานยิ่งนัก!” ผู้คนในระยะไกลต่างตกตะลึงเมื่อเห็นสิ่งนี้
“เจ้าคิดจะไปไหน!?” เฉินซีกวาดมือขึ้นเพื่อหมายจะฆ่าฉินเซียวกับเผยอวี่ แต่เขาก็ต้องหยุดลงเพื่อไล่ล่าปี้หลิงอวิ้นก่อน เพราะตั้งปณิธานไว้ว่าจะเข่นฆ่าพวกมันทั้งหมด ดังนั้นจะปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งหลบหนีไปไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ เขาหยุดเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันและจ้องมองไปยังระยะไกล มีร่างสองร่างพุ่งทะยานเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อมองไปที่รูปร่างหน้าตาของร่างทั้งสองนี้ แท้จริงแล้ว… คือหวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจว!