บทที่ 902 กระบี่แดนนิพพาน
บทที่ 902 กระบี่แดนนิพพาน
กระบี่ของเจ้าก็คือกระบี่ของข้า!
ยามเผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนปฐพีที่อำมหิตและกระหายเลือดเช่นไป๋หง การกล่าวคำเช่นนี้นับเป็นสิ่งที่คนโง่เขลามักกระทำ ไม่ก็คนผู้นั้นต้องมีความสามารถยิ่ง และเชื่อมั่นในตนเองอย่างสุดหัวใจ
…ทว่าจากมุมมองของไป๋เจวี้ยนและไป๋ฉวิน หลิงไป๋เป็นเพียงคนโง่เขลา!
แต่ในสายตาของเฉินซีและคนอื่น ๆ หลิงไป๋เป็นคนที่มีความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ดังนั้นคำกล่าวที่เอาแต่ใจและหยิ่งผยองของเขาจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แต่ในความคิดของไป๋หง นี่เป็นการยั่วยุครั้งใหญ่
รอยยิ้มที่ปรากฏบนริมฝีปากของนาง กอปรกับหน้ากากสีดำสนิทบนใบหน้าที่ส่องประกายแวววาวของโลหะ ช่วยขับเน้นกลิ่นอายที่ดุร้ายและโหดเหี้ยมของหญิงสาวให้ทวีขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นแสดงให้ข้าดูว่าเจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะกล่าวคำนั้นได้หรือไม่!” ทันทีที่กล่าวจบ นางก็กุมกระบี่แต้มโลหิตในมือแน่น พลางเปลี่ยนร่างกลายเป็นสายน้ำหลากสีที่ดูเหมือนแสงเรืองรองสาดส่องผ่านนภาอย่างรวดเร็ว เผยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ขณะที่ตัวคนพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า
เดิมทีมีระยะห่างระหว่างนางกับหลิงไป๋ราวสองลี้ แต่ทันทีที่นางพุ่งตัวออกไป ความว่างเปล่าในระยะสองลี้ก็คล้ายถูกฉีกเป็นเศษผ้าจากประกายแสงคมกริบ และมันก็ไม่ถึงชั่วพริบตาที่นางมาหยุด ณ ตรงหน้าของหลิงไป๋!
มันรวดเร็วเกินไป!
หากเป็นผู้อื่น คนผู้นั้นคงไม่ทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะถูกโจมตีอย่างฉับไวราวกับสายฟ้าฟาด นางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับเคลื่อนย้ายมิติได้ และการโจมตีในครั้งนี้ก็คล้ายกับหล่อหลอมเอาวิญญาณ ปราณ และแก่นแท้ทั้งหมดเข้าไป ทำให้กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาดูน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ทว่าสีหน้าของหลิงไป๋กลับไร้การเปลี่ยนแปลง นิ้วของเขากดลงและเคลื่อนไหวราวกับปลายพู่กันที่จู่ ๆ ก็วาดเส้นโค้งอันเย็นยะเยือกบนท้องฟ้า หยุดยั้งประกายกระบี่ที่จู่โจมเข้ามาได้อย่างแม่นยำ ราวกับสามารถทำนายการมาถึงของมันได้
ตู้ม!
การโจมตีของทั้งสองปะทะกัน ทำให้เกิดการระเบิดที่ดังโครมครามออกมาจนบาดแก้วหูของทุกคน คลื่นกระแทกจากการทำลายล้างแผ่ไกลจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และไม่ว่าแรงอัดนี้จะผ่านไปที่ใด มันจะบดขยี้ความว่างเปล่าจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ บังเกิดเป็นสุญญากาศที่น่าสยดสยอง
ในขณะที่หลิงไป๋กับไป๋หงยืนอยู่ตรงกลางและเผชิญหน้ากันในระยะประชิด ซึ่งพวกเขาต่างไม่คิดยอมแพ้
ผู้ชนะยังไม่อาจตัดสินด้วยการโจมตีครั้งนี้!
“โอ๊ะ เจ้าตัวเล็กนั่นมีฝีมือไม่เลวเลย หากข้ารู้เรื่องนี้ก่อน ข้าคงเลือกเขาเป็นคู่ต่อสู้แล้ว” ดวงตารูปดอกท้องามของไป๋เจวี้ยนหรี่ลง ในขณะที่เสียงของเขามีร่องรอยความประหลาดใจระคนความตื่นเต้น
“เพิ่งผ่านไปกระบวนท่าเดียวเท่านั้น พลังที่แท้จริงของไป๋หงยังไม่ได้เผยออกมาเต็มที่ด้วยซ้ำ” ไป๋ฉวินยิ้มอบอุ่น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าหลิงไป๋จะเป็นคู่ต่อกรให้แก่ไป๋หงได้
“กระบี่ยังอยู่ในมือข้า” ไป๋หงกล่าวอย่างเย็นชา
“อย่าได้เป็นห่วง เดี๋ยวมันก็เป็นของข้าในภายหลัง” หลิงไป๋ตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ในชั่วพริบตาต่อมา ทั้งคู่ก็แยกออกจากกัน ก่อนที่จะเข้าปะทะกันอีกครั้ง คนทั้งสองเปิดฉากต่อสู้ดุเดือดที่สั่นคลอนทั้งหัวใจและวิญญาณของผู้คน
นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างสุดยอดผู้ฝึกกระบี่
คนหนึ่งมีกระบี่อยู่ในมือ และทุกแห่งที่ประกายกระบี่พาดผ่าน การเข่นฆ่าก็จะปรากฏที่นั่น
ส่วนอีกฝ่ายไม่มีกระบี่อยู่ในมือ แต่ทุก ๆ กระบวนท่ากลับมีความล้ำลึกของเต๋าแห่งกระบี่แฝงอยู่
แต่สิ่งที่แปลกก็คือ หลังจากปะทะกันครั้งหนึ่ง แม้ว่ากระบวนท่าของพวกเขาจะรุนแรงและรวดเร็วอย่างไร้ที่เปรียบ แต่มันกลับไม่เกิดเสียงใด ๆ ขึ้นเลย ทว่าเพียงแค่จิตสังหารที่เกิดจากการต่อสู้ ก็ทำให้ทุกคนสั่นสะท้านด้วยความกลัวแล้ว!
กระแสปราณกระบี่อันดุร้ายส่งเสียงหวีดหวิวอยู่ในอากาศ ขับเน้นบรรยากาศที่แปลกประหลาดและเงียบงัน ราวกับกำลังเตือนทุกคนว่าการต่อสู้ในครั้งนี้น่าสะพรึงกลัวเพียงใด
การกระจายของเกสรขึ้นอยู่กับกระแสลม ความเงียบของขุนเขาขึ้นอยู่กับเสียงนกร้อง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
และนี่คือเสียงของท้องฟ้าที่ถูกปราณกระบี่ฉีกออกจากกัน ซึ่งทำให้ฉากการต่อสู้ของพวกเขาดูน่าสะพรึงยิ่ง อีกทั้งมันยังเงียบและไม่มีการปะทะกันโดยตรง
บางที ทันทีที่ทั้งสองปะทะกัน อาจเป็นช่วงเวลาที่จะตัดสินผู้ชนะ!
ไม่ว่าจะเป็นไป๋เจวี้ยน ไป๋ฉวิน หรือเฉินซีและคนอื่น ๆ หัวใจของทุกคนต่างจุกอยู่ที่ลำคอ …พวกเขาต่างจ้องไปที่สนามรบอย่างแน่วแน่ เพราะเกรงจะพลาดรายละเอียดเล็กน้อยเหล่านั้นไป
ไป๋หงบ่มเพาะพลังขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก ดังนั้นนางย่องพิชิตสายฟ้าลงทัณฑ์แห่งความว่างเปล่าได้แล้ว และจากการบ่มเพาะเต๋าแห่งกระบี่ของนางที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับมันกำลังเคลื่อนย้ายมิติ …เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหญิงสาวผู้นี้ได้บรรลุมหาเต๋าแห่งมิติอย่างถ่องแท้แล้ว!
ยิ่งกว่านั้น เต๋าแห่งกระบี่ของนางยังมีจิตสังหารที่น่ากลัวและเปี่ยมล้นด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหาร เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวขัดเกลามันผ่านกองซากศพและทะเลเลือด!
เมื่อรวมกับอาวุธที่ไร้คู่เปรียบอย่างกระบี่แต้มโลหิต ซึ่งอยู่ในความครอบครองก็ยิ่งขับเน้นให้หญิงสาวดูราวกับเกิดมาเพื่อต่อสู้ เป็นดั่งจักรพรรดินีที่หมายมั่นสังหารศัตรูให้สิ้น และไป๋หงก็น่าเกรงขามเสียจนทำให้หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน
แม้แต่เฉินซีก็ไม่มีทางเลือก นอกจากต้องยอมรับว่าไป๋หงเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอย่างแท้จริง และนางก็ไม่ใช่ผู้ที่ตัวตนในขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกทั่วไปจะสามารถเปรียบเทียบได้!
แต่ก็ยังเป็นหลิงไป๋ที่ดึงดูดความสนใจของเขาได้มากที่สุด
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เขาได้ใช้เวลาร่วมกับหลิงไป๋น้อยมาก และแทบไม่เคยถามหลิงไป๋เกี่ยวกับการบ่มเพาะของอีกฝ่ายเลย ดังนั้นสิ่งที่เฉินซีเห็นในวันนี้ จึงทำให้ชายหนุ่มประหลาดใจไม่น้อย
เต๋าแห่งกระบี่ของหลิงไป๋ยังคงเป็นเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพานที่สืบทอดมาจากท่านอาจารย์ของหลิงไป๋ และเหมือนกับที่หลิงไป๋กล่าวเมื่อหลายปีก่อน การดึงพลังของเต๋าแห่งกระบี่ออกมาจนถึงขีดสุด ก็เพียงพอที่จะอยู่ยงคงกระพันในใต้หล้าแล้ว!
หลิงไป๋ใช้สิ่งนี้ได้อย่างชำนาญ แต่มันไม่เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อน การที่เขามุ่งมั่นในเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพานทำให้มันน่ากลัวยิ่งกว่า และทุกกระบวนท่าก็ทำให้เจตจำนงกระบี่พลุ่งพล่านประหนึ่งมีตัวตน ราวกับพวกมันโผล่ออกมาจากมือเขาอย่างง่ายดาย
หลิงไป๋และไป๋หงต่างครอบครองเต๋าแห่งกระบี่ แต่กลิ่นอายอันน่าเกรงขามกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กระบวนกระบี่ของหลิงไป๋นั้นไม่ถูกสร้างขึ้นแต่ไม่ถูกทำลาย ไม่มีชีวิตแต่ไม่ตาย ทำให้บรรยากาศดูจะกลับคืนสู่สภาวะเงียบงันเมื่อครั้งที่โลกเพิ่งกำเนิด ทำให้ผู้อื่นทั้งรู้สึกสิ้นหวัง หมดหนทาง และท้อแท้…
ในขณะที่กระบวนกระบี่ของไป๋หงกลับเต็มไปด้วยจิตสังหารที่ทั้งดุเดือดและบริสุทธิ์
สภาพของพวกเขาดูจะพอ ๆ กันอยู่ในเวลานี้ แต่แท้จริงแล้ว ไป๋หงกลับเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่าเล็กน้อย เพราะนางมีศัสตราที่ไร้คู่เปรียบอยู่ในมือ ในขณะที่หลิงไป๋นั้นต่อสู้ด้วยมือเปล่า
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เหล่าผู้ยิ่งใหญ่มากมายภายในหุบเขาวีรบุรุษตื่นตระหนก พวกเขาต่างใช้กระแสปราณสื่อสารกันเงียบ ๆ
“ไม่ถูกสร้างขึ้นแต่ไม่ถูกทำลาย ไม่มีชีวิตแต่ไม่ตาย มันคือเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพาน! หรือว่าเด็กคนนี้จะเป็นผู้สืบทอดของนิกายกระบี่แดนนิพพานที่ถูกทำลายในยุคบรรพกาล?”
“เจ้าตัวเล็กนั่นไม่เลวเลย เขาสามารถต่อสู้กับไป๋หงได้อย่างเท่าเทียม คนเช่นนี้หาได้ยากนักในแดนภวังค์ทมิฬ”
“ข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าบุตรชายของเฉินหลิงจวินไปหาผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นนี้มาจากที่ใดกัน? ด้วยวิธีนี้ เขาอาจจะทำได้จริง ๆ…”
“ทั้งหมดนี้หาได้สำคัญไม่ เราต้องดูผลตัดสินแพ้ชนะเสียก่อน เพราะนี่เกี่ยวพันถึงท่านผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสสูงสุด ซึ่งจะเป็นการดีกว่าที่พวกเราทุกคนจะไม่เข้าร่วม”
“ฮึ่ม! ไป๋หงจะต้องชนะอย่างแน่นอน! ส่วนเมล็ดพันธุ์ชั่วร้ายของเฉินหลิงจวินกับจั่วชิวเสวี่ย ฝันไปเถอะว่าจะได้การยอมรับจากเรา!”
“ผู้อาวุโสสุยเฟิง ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน? อย่าลืมว่าท่านยังคงเป็นคนของตระกูลไป๋นะ เหตุใดจึงเอาแต่ประจบสอพลอตระกูลจั่วชิวอยู่ได้!”
“พอได้แล้ว! เถียงไปก็ไม่มีประโยชน์! ผู้อาวุโสสูงสุดได้ให้การทดสอบแก่พวกเขาแล้ว และขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะผ่านได้หรือไม่ ส่วนข้อถกเถียงทั้งหมดก่อนหน้านี้ย่อมไม่มีความหมาย!”
ทันใดนั้นการรับรู้และการสื่อสารทั้งหมดก็หายไป เหลือไว้แต่เพียงความเงียบงัน
หากเฉินซีได้ยินสิ่งเหล่านี้ได้ เขาก็คงจะได้รู้ว่าความขัดแย้งภายในระหว่างตระกูลไป๋ทั้งสองกลุ่มนั้นรุนแรงเพียงใด
ยิ่งกว่านั้น การมาถึงของชายหนุ่มก็เป็นเหมือนชนวนที่ทำให้ตระกูลไป๋ทั้งสองกลุ่มใหญ่เลิกเสแสร้ง และเริ่มลงมืออย่างเปิดเผยมากขึ้น!
…
“มันผ่านมานานมากแล้ว แต่กระบี่ในมือของข้าก็ยังเป็นกระบี่ของข้า โดยที่เจ้าไม่มีแม้แต่ความกล้าจะสู้กับข้าตรง ๆ” จู่ ๆ ไป๋หงก็เย้ยหยันและทำลายความเงียบทิ้งไป
อันที่จริง การต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งสองได้มาถึงจุดที่ดุเดือดแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ปะทะกันโดยตรง แต่ความอันตรายและจิตสังหารระหว่างกระบวนท่าของพวกเขา ก็ทำให้หัวใจของทุกคนไม่สามารถหักห้ามใจได้
“ข้านั้นมือเปล่า ในขณะที่เจ้าอาศัยข้อได้เปรียบของสมบัติอมตะ ดังนั้นเจ้าจึงไม่คู่ควรจะกล่าวถึงความกล้าหาญกับข้า!” หลิงไป๋กล่าวอย่างดูถูกเหยียดหยาม เขายังคงหยิ่งทะนงเช่นเคย
“นี่คือการต่อสู้ ข้าจะไม่ยอมเสียเปรียบเพียงเพราะเจ้าใช้มือเปล่า และข้าจะไม่ยอมให้จิตใจได้รับผลกระทบเพียงเพราะคำกล่าวของเจ้า” ไป๋หงเย้ยหยัน ในขณะที่กระบี่แต้มโลหิตพุ่งผ่านท้องฟ้า มันปลดปล่อยปราณกระบี่อันไร้เทียมทานจำนวนมาก ซึ่งเต็มไปด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะทำตามสัญญาเพื่อให้เจ้าได้ยลเป็นบุญตาแล้วกัน” ขณะกล่าว กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากหลิงไป๋ก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ในขณะที่ดวงตาของเขาเป็นเหมือนเหวลึกสีเทาที่พร่ามัว และพวกมันก็หม่นหมองยิ่ง อีกทั้งกลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็ดุจดั่งเทพเจ้าผู้เป็นนิรันดร์ คือนิพพาน …และไม่สั่นคลอน!
“หืม?”
เมื่อเห็นดวงตาที่หม่นหมองราวกับเหวลึกของหลิงไป๋ ไป๋หงที่มักจะหยิ่งยโสโอหังและไม่เกรงกลัวก็อดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้ในเวลานี้
“สังหารหยินและหยาง นำความโกลาหลมาสู่โลก!” เค้าลางของอันตรายเล็กน้อยนี้ทำให้หญิงสาวไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ไป๋หงชูกระบี่ขึ้นฟ้า ก่อนที่จะระเบิดเจตจำนงกระบี่ขนาดมหึมาอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งทำให้ฟ้าถล่มทลายและถาโถมเข้าใส่หลิงไป๋ในทันที
กระบวนกระบี่นี้เป็นการโจมตีที่เต็มไปด้วยจิตสังหารมากที่สุดซึ่งนางได้บ่มเพาะมาตลอดชีวิต และเป็นการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ทำได้ในตอนนี้ และมีคนรุ่นราวคราวเดียวกันไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถบังคับให้นางใช้กระบวนท่านี้ได้!
“แค่นั้นหรือ?” แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนกระบี่ที่หลอมรวมความเข้าใจแห่งการสังหาร มิติ และโลหิตอย่างถ่องแท้ ริมฝีปากของหลิงไป๋กลับยกยิ้มเย็นชา มือของเขาประกบเข้าหากัน ทำให้อากาศดูราวกับถูกดูดพลังจนหมดสิ้น และพังทลายลงทีละนิด จากนั้นกระบี่โปร่งแสงสีเทาได้พุ่งออกมาจากอากาศที่ยุบตัวนี้!!!
“กระบี่แดนนิพพาน!” เฉินซีรับรู้ถึงกระบวนท่านี้ด้วยการมองเพียงแวบเดียว เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขาได้พบกับหลิงไป๋เป็นครั้งแรกในดินแดนกระบี่แดนนิพพานที่อยู่ภายในห้วงทะเลทรายมรณะ อีกฝ่ายได้ใช้กระบวนท่านี้เพื่อฆ่าซูเหลิ่ง
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับการโจมตีเมื่อหลายปีก่อน อานุภาพของกระบี่แดนนิพพานที่หลิงไป๋ใช้ในขณะนี้นั้นน่ากลัวกว่าร้อยเท่า! ทันทีที่มันปรากฏขึ้น มันได้ทำให้สภาพอากาศเสียสมดุล หยินหยางกระจัดกระจาย ฟ้าดินตกอยู่ในบรรยากาศที่มืดมน ซึ่งทำให้ผู้อื่นรู้สึกสิ้นหวังและหมดหนทาง
โอม!
กระบี่แต้มโลหิตในมือของไป๋หงสั่นสะท้านอย่างรุนแรงประหนึ่งสัตว์ร้ายที่อยู่ไม่สุข ซึ่งได้รับการเชื้อเชิญอย่างรุนแรง และมันหมายมั่นจะดิ้นรนให้เป็นอิสระจากมือของนาง!
ม่านตาของไป๋หงหดตัวทันทีเมื่อเห็นสิ่งนี้ จากนั้นนางก็ออกแรงทั้งหมดเพื่อระงับการดิ้นรนนี้อย่างรวดเร็ว
ปัง!
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ กระบี่แดนนิพพานที่มีสีเทาโปร่งแสงในมือของหลิงไป๋ได้พุ่งฉีกทะลุท้องฟ้า และฟาดฟันลงมาที่นางแล้ว!
ทันทีที่สัมผัสได้ถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งการนิพพานซึ่งแฝงอยู่ในการโจมตีครั้งนี้ ทุกคนต่างหายใจไม่ออก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ในเวลาเดียวกัน สีแดงฝาดบนใบหน้าของไป๋หงก็ได้เลือนหายไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นซีดเซียวแทน
จู่ ๆ นางก็ตระหนักว่าตนเองไม่สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีนี้ได้ เว้นแต่จะสยบกระบี่แต้มโลหิตในมือ มิฉะนั้นตัวนางจะต้องได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีนี้อย่างแน่นอน…
ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ที่หยิ่งทะนง นางจะนิ่งเฉยต่อการที่กระบี่หลบหนีไปจากเงื้อมมือของนางได้อย่างไร? เพราะนั่นเท่ากับละทิ้งหัวใจ …ละทิ้งเต๋าแห่งกระบี่ไป!
ดังนั้น แม้ว่านางจะสามารถเอาชีวิตรอดได้ แต่ดวงจิตแห่งเต๋าของไป๋หงก็จะถูกปกคลุมด้วยเงามืดที่ไม่สามารถขจัดออก และนั่นย่อมเป็นสิ่งที่หญิงสาวไม่ต้องการให้เกิดขึ้นแน่นอน
ดังนั้นนางจึงกัดฟันและเผชิญหน้ากับการโจมตีของหลิงไป๋ ราวกับแมลงเม่าพุ่งเข้าใส่เปลวไฟ …เพื่อปกป้องมหาเต๋าแห่งกระบี่ของตัวเอง!