บทที่ 920 การรู้แจ้งด้วยตนเอง
บทที่ 920 การรู้แจ้งด้วยตนเอง
ณ ถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต
ร่างของเฉินซีปรากฏขึ้นในชั้นที่หกสิบ
นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขามายังถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต ครั้งแรกที่มา ชายหนุ่มสามารถไปถึงชั้นที่หกสิบด้วยความแข็งแกร่งของเขา และเกือบเสียชีวิตให้กับมารบงกชในตอนนั้น
ครั้งที่สองก็ไม่ต่างจากครั้งแรกมากนัก ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือเขาพบการมีอยู่ของเต๋าบงกชและมารบงกช รวมถึงได้ทราบประวัติศาสตร์บางส่วนของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
เป้าหมายของชายหนุ่มในครั้งนี้ก็เรียบง่ายมาก เขาต้องการจะขัดเกลาพลังต่อสู้ ค้นหาผลึกต้นกำเนิดโกลาหล และปรับแต่งคุณภาพของยันต์ศัสตรา
เหลือเวลาอีกเพียงสามสิบปีก็จะถึงวันเดิมพันระหว่างเขากับปิงซื่อเทียน ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่คิดเพ้อฝันที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งให้สูงขึ้นมากกว่านี้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงสามสิบปี และปรารถนาที่ขัดเกลาพลังต่อสู้
ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า …ความแข็งแกร่งไม่เท่ากับพลังต่อสู้ เพราะไม่ว่าความแข็งแกร่งที่มีจะมากมายเพียงใด แต่หากไม่สามารถดึงความแข็งแกร่งที่มีออกมาใช้ได้ มันก็ไร้ประโยชน์!
นอกจากขัดเกลาตนเองผ่านการต่อสู้แล้ว วิธีเดียวที่จะเพิ่มพลังต่อสู้ให้แก่เฉินซีคือการปรับปรุงคุณภาพของอาวุธในมือ
เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ และไม่ลังเลที่จะพุ่งตัวเข้าไปในถ้ำกระบี่ชั้นที่หกสิบเอ็ด
ฟิ้ว!
ญาณเทวะอมตะที่ทรงพลังอย่างไร้ที่เปรียบได้กวาดออกไปและปกคลุมชั้นที่หกสิบเอ็ดทั้งหมดทันที ซึ่งในไม่ช้า เฉินซีก็พบคู่ต่อสู้ของเขา ซึ่งแต่ละตัวก็มีกลิ่นอายโลหิตที่กำลังเดือดพล่าน ดูทรงพลังอย่างมาก
โดยเฉพาะหนึ่งในวิญญาณโลหิตในหมู่พวกมัน มันสวมชุดต่อสู้ที่เสียหายและมีลักษณะที่ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป ยิ่งกว่านั้น ความแข็งแกร่งของวิญญาณโลหิตอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้า และดูเหมือนว่ามันจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในชั้นนี้ เพราะมันได้แผ่กลิ่นอายอันร้ายกาจยากหาที่เปรียบได้ออกมา
แต่เฉินซีก็ต้องรู้สึกเสียใจ เนื่องจากไม่มีผลึกต้นกำเนิดโกลาหลในชั้นที่หกสิบเอ็ดเลยสักก้อนเดียว
“มันคือใครกัน!?”
“มีคนบังอาจล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของข้าจริง ๆ หรือนี่!?”
“ฆ่า! ฆ่าไอ้สารเลวจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง!”
ญาณเทวะอมตะของเฉินซีไม่ได้ถูกปกปิด ดังนั้นเมื่อมันกวาดผ่านบริเวณนี้ ฝูงวิญญาณโลหิตที่มีความแข็งแกร่งเทียบได้กับขอบเขตเซียนปฐพีจึงสังเกตเห็นได้ในทันที พวกมันกลายเป็นเงาสีเลือดจำนวนมากพุ่งเข้าหาเฉินซีในชั่วพริบตา
ชู่ว! ชู่ว! ชู่ว!
เงาสีเลือดจำนวนมากที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว ประหนึ่งกลุ่มเมฆสีเลือดที่แผ่กระจายไปทั่ว จากนั้นพวกมันก็ปรากฏในระยะสายตาของเฉินซีอย่างรวดเร็ว
“แม้ว่าจะมีจำนวนมาก แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันก็ยังอ่อนแอเกินไป…” เฉินซีส่ายศีรษะ เขาไม่ได้ชักยันต์ศัสตราออกมา แต่ใช้นิ้วแทนกระบี่ และฟันออกไปในแนวนอน
ฟิ้ว!
ปราณกระบี่ฉีกผ่านท้องฟ้าประหนึ่งลำแสงที่น่าอัศจรรย์และหายวับไปในพริบตา
พรวด! พรวด! พรวด!
เหล่าวิญญาณโลหิตไม่มีเวลาแม้แต่จะหลบ ก่อนที่ร่างของพวกมันจะกลายเป็นกลุ่มฝนสีเลือด และโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า พวกมันมาถึงอย่างรวดเร็วและล้มตายอย่างฉับไวยิ่งนัก
แม้แต่วิญญาณโลหิตที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังร้องโหยหวนด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนที่มันจะถูกฟันเป็นฟองเลือดที่สาดกระจายไปทั่วบริเวณ
ตุบ!
ผลึกต้นกำเนิดโกลาหลที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือหล่นลงมาจากร่างของวิญญาณโลหิต มันถูกเฉินซีคว้าไว้ก่อนที่จะเก็บกลับไป ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ดูเหมือนว่าวิญญาณโลหิตที่มีสติปัญญา จะมีโอกาสสูงที่จะมีผลึกต้นกำเนิดโกลาหลอยู่กับตัว…” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพุ่งตัวเข้าสู่ชั้นถัดไป
…
ชั้นที่หกสิบสองของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต
ชั้นที่หกสิบเก้า
ชั้นเจ็ดสิบแปด
…
เวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา เฉินซีก็มาถึงถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตชั้นที่แปดสิบแล้ว และในที่สุด เขาก็รู้สึกกดดันหลังจากมาถึงที่นี่
แต่สำหรับชายหนุ่มในตอนนี้ ความกดดันแบบนี้แทบจะมองข้ามไปได้เลย
วิญญาณโลหิตทุกตัวที่กระจายอยู่ทั่วชั้นที่แปดสิบนั้น ต่างก็มีสติปัญญา และความแข็งแกร่งของพวกมันก็อยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับเจ็ดหรือสูงกว่านั้น พวกมันมีพละกำลังมหาศาล อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในศาสตร์เต๋าและพลังอิทธิฤทธิ์ที่ทรงอานุภาพอย่างมากมาย
ในที่สุด เฉินซีก็พอใจกับสิ่งนี้เล็กน้อย
เขาแทบจะกวาดล้างชั้นอื่น ๆ ของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตที่เขาได้สำรวจมาก่อนหน้านี้แล้ว และก็ไม่ได้ถูกขัดขวางเลยแม้แต่น้อย ทำให้ชายหนุ่มไร้โอกาสที่จะใช้พลังอย่างเต็มที่ ในทำนองเดียวกัน มันก็ไม่มีทางที่ชั้นเหล่านั้นจะขัดเกลาตัวเขาได้!
ครืน!
ในเวลาไม่นานการต่อสู้พลันปะทุขึ้น
วิญญาณโลหิตกว่าสิบตัวที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพีระดับเจ็ด ต่างพุ่งตัวเข้าปิดล้อมเฉินซีโดยรอบ พวกมันกู่ร้องขณะต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี ศาสตร์เต๋าที่น่าสะพรึงกลัวและพลังอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ถาโถมออกมา ซึ่งงดงามเปล่งประกายดุจดอกไม้ไฟในยามค่ำคืน แต่ภายใต้ความงามนี้กลับมีจิตสังหารที่น่ากลัวและน่าเกรงขามจนไม่สามารถปกปิดได้
เฉินซีเคลื่อนตัวท่ามกลางการโจมตีเหล่านี้ราวกับภูตผี และร่างของเขาทะยานวูบไหวไปมา
ชายหนุ่มไม่ได้เข่นฆ่าพวกมันอย่างใจร้อน แต่กลับทำความเข้าใจในพลังของเขา และใช้กระบวนท่าต่าง ๆ ในระหว่างการต่อสู้ครั้งนี้อย่างระมัดระวัง
ยกตัวอย่างเช่น วิธีการใช้ยันต์เทวะกลืนกินเพื่อดึงอานุภาพออกมากลืนกินพลังของคู่ต่อสู้ ก่อนที่คู่ต่อสู้ของเขาจะตั้งรับได้
การขัดเกลาทั้งหมดนี้มีเพื่อแก้ไข ปรับปรุง และสร้างพลังต่อสู้ของเขาขึ้นมาใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในพลังต่อสู้ของชายหนุ่ม ก็ทำให้เฉินซีสามารถประสบความสำเร็จผ่านการสะสมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้นี่เอง
หลังจากผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เฉินซีกำยันต์ศัสตราไว้ในมือ ในขณะที่เขาเปิดฉากโจมตีทันที และเขาก็สังหารศัตรูทั้งหมดที่อยู่รอบตัวแทบจะในทันที
เหตุผลนั้นง่ายมาก ชายหนุ่มไม่สามารถขัดเกลาตนเองผ่านคู่ต่อสู้เหล่านี้ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแต่ต้องฆ่าพวกมัน และไปที่ชั้นถัดไป เพื่อเฟ้นหาคู่ต่อสู้คนใหม่
เช่นนี้เฉินซีจึงบุกลงไปทีละชั้น และคู่ต่อสู้ที่เขาพบก็แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่พลังต่อสู้ของชายหนุ่มก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบ ๆ ผ่านการต่อสู้มากมายเหล่านี้
พลังของชายหนุ่มกลายเป็นสิ่งที่น่าเกรงขามยิ่งขึ้น การควบคุมพลังของเขาก็ยิ่งแม่นยำมากขึ้น ในขณะที่กระบวนท่าของเฉินซีกลับเรียบง่าย รวบรัดมากขึ้น ซึ่งเผยให้เห็นกลิ่นอายของการขจัดความยุ่งยากทั้งหมดและกลับคืนสู่ความเรียบง่าย
เมื่อเฉินซีมาถึงชั้นที่เก้าสิบ เขาก็หยุดลงและนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น
ช่วงเวลาสำคัญที่ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงได้มาถึงแล้ว เขาจึงเริ่มทำสมาธิและจัดระเบียบความเข้าใจในหัว
โอม!
คลื่นท่วงทำนองที่ล้ำลึกของมหาเต๋าเกิดขึ้นเหมือนเสียงของธรรมชาติ ดังก้องออกมาจากร่างของเฉินซี ในขณะที่มีจังหวะอันเป็นเอกลักษณ์ล่องลอยไปทั่วทั้งชั้นที่เก้าสิบ
เฉินซีนั่งขัดสมาธิด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ราวกับบ่อน้ำโบราณที่ไม่มีระลอกคลื่น ทั่วทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยรัศมีสีทองที่ส่องสว่างไปทั่วหล้า และมันเหมือนกับดอกไม้สีทองจำนวนมากที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า ทำให้ตัวคนเปล่งประกายเหมือนเทพ
ดูจะเป็นการตระหนักรู้ แต่ยังไม่ตระหนักว่าเป็นเต๋าที่แท้จริง ซึ่งโอกาสนี้ได้เปิดความคิดของเขาสู่โลกใบใหม่!
แม้ว่าในขณะนี้เฉินซีจะอนุมานและจัดระเบียบความเข้าใจต่าง ๆ ในใจของเขา แต่พลังชีวิตในร่างกายของเขาก็เพิ่มขึ้นโดยปราศจากควบคุมและไหลเวียนไปทั่วร่าง ดูราวกับว่าชายหนุ่มได้หลอมรวมเข้ากับมหาเต๋า
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อความเข้าใจในเต๋าของคนคนหนึ่งบรรลุถึงสถานะที่ไม่ธรรมดา และมันล้ำลึกอย่างสุดจะพรรณนาได้ หากผู้คนในโลกภายนอกสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ มันอาจจะก่อให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่
เนื่องจากปรากฏการณ์ดังกล่าวเรียกว่า ‘การรู้แจ้งด้วยตนเอง’ ซึ่งปรากฏเฉพาะเหล่าเทพเจ้าในยุคบรรพกาลและปราชญ์สูงสุดในอดีตเท่านั้น
การรู้แจ้งด้วยตนเองเป็นสภาวะที่ราวกับว่ากำลังสื่อสารกับเทพเจ้าในยุคบรรพกาล ในขณะที่กำลังทำสมาธิ ความล้ำลึกต่าง ๆ จะถูกเปิดเผยลงลึกถึงรายละเอียดเล็กน้อยภายในใจ ซึ่งมันก็เหมือนกับการนั่งหน้ากระจกและทำความเข้าใจตนเอง
ความเข้าใจทั้งหมดที่ได้รับภายใต้สภาวะนี้ต่างก็ชี้ตรงไปที่แก่นแท้ของมหาเต๋า และเป็นภาพสะท้อนที่แท้จริงของมหาเต๋า ราวกับความยุ่งเหยิงทั้งหมดถูกขจัดออกเพื่อเปิดเผยความจริงในที่สุด
สามเดือนต่อมา เฉินซีซึ่งนั่งขัดสมาธิดุจรูปปั้นดินเผาได้ลืมตาขึ้น พระอาทิตย์และพระจันทร์ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา เช่นเดียวกับอักขระยันต์นับไม่ถ้วนที่ก่อตัวมากมาย ก่อนที่มันจะกลับสู่สภาพที่เงียบสงบในที่สุด
เฉินซียืนขึ้นอย่างเงียบสงบ ท่าทีของเขาเป็นดั่งจักรพรรดิผู้สูงส่งที่มองทะลุความจริงเบื้องหลังทุกสิ่งในโลก กลิ่นอายที่เฉยเมยและเงียบสงบของเขามาพร้อมกับพลังที่น่าเกรงขาม!
“แม้ว่าพลังของข้าจะไม่ดีขึ้นเลยสักนิด แต่ก็ทำให้ข้าเข้าใจแก่นแท้ของเต๋ารู้แจ้งมากมาย ดังนั้นเมื่อใช้ในการต่อสู้ มันก็เพียงพอที่จะสร้างอานุภาพที่เหลือเชื่อออกมา…” เฉินซีพึมพำ เขาสามารถสัมผัสได้ว่าตัวเขากำลังจะแตะขีดจำกัดของขอบเขตเซียนปฐพี และมันก็เหมือนกับ ‘ขอบเขตสุดขั้ว’ ของขอบเขตสถิตกายาที่เผยให้เห็นความสมบูรณ์แบบและอำนาจสูงสุดของมัน
ฟุ่บ!
เฉินซีไม่เสียเวลาอีกต่อไปและพุ่งตรงไปสู่ชั้นถัดไป
หากถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตชั้นที่หกสิบถูกมองว่าเป็นปราการ ชั้นที่เก้าสิบก็เป็นปราการอีกแห่งหนึ่ง และเป็นการแบ่งแยกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันที่เต็มไปทั่วทั้งถ้ำกระบี่ หรือความแข็งแกร่งของวิญญาณโลหิต ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพอย่างชัดเจน
ตัวอย่างเช่น แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวในชั้นที่เก้าสิบเอ็ด ให้ความรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังกดทับ และมันก่อตัวเป็นสนามพลังที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งอาจบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีธรรมดาจนตายได้
ในขณะที่ความแข็งแกร่งของวิญญาณโลหิตทั้งหมดเทียบได้ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีตัวตนขอบเขตเซียนปฐพีระดับเก้า เนื่องจากการดำรงอยู่ดังกล่าวจะถูกบีบขึ้นไปสู่ภพเซียนทันที เนื่องจากมันเกินขอบเขตของภพมนุษย์ไปแล้ว
แต่ความแข็งแกร่งในขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดก็มีความแตกต่างเช่นกัน
นี่เป็นสิ่งที่เฉินซีมีประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง ในขณะที่เขาค่อย ๆ ลงไปทีละชั้น
ตัวอย่างเช่น บนชั้นที่เก้าสิบเอ็ดของถ้ำกระบี่มีวิญญาณโลหิตขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดอยู่หกตัว แต่พวกมันถูกเฉินซีสังหารได้อย่างง่ายดาย
และแม้ว่าจะมีวิญญาณโลหิตขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดเพียงสองตัวบนชั้นที่เก้าสิบสองของถ้ำกระบี่ แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง และเฉินซีต้องใช้ความพยายามบางอย่างเพื่อฆ่าล้างพวกมัน
เมื่อเขามาถึงชั้นที่เก้าสิบห้าของถ้ำกระบี่ ชายหนุ่มก็พบกับภัยคุกคามที่แท้จริง
มีเพียงวิญญาณโลหิตตัวเดียวบนชั้นนี้ เสื้อผ้าของวิญญาณโลหิตตนนี้พลิ้วไหว มีผมที่ปล่อยลงมาหลวม ๆ บนไหล่ของมัน และดวงตาของมันเปล่งแสงอันคมกริบ จนดูแตกต่างกับวิญญาณโลหิตตัวอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง ทว่าดูคล้ายกับผู้บ่มเพาะที่มีชีวิตจิตใจจริง ๆ มากกว่า
มันสะพายกระบี่ไว้บนหลัง และท่าทางของมันดุร้ายเช่นเดียวกับกระบี่ ทำให้มันเป็นเหมือนเซียนกระบี่ที่ไร้เทียมทาน
เฉินซีประหลาดใจเป็นพิเศษหลังจากได้ต่อสู้กับวิญญาณโลหิตตนนี้ เพราะแท้จริงแล้วอีกฝ่ายเชี่ยวชาญในเคล็ดกระบี่ฝังวิญญาณบงการนภา และบรรลุจุดสูงสุดของศาสตร์เต๋านี้ ทุก ๆ กระบวนกระบี่ที่ฟาดฟันออกไป ดูราวกับพื้นที่โดยรอบทั้งหมดจะถูกกวาดเข้ามา และมันก็ทรงพลังยิ่ง
ในระหว่างการต่อสู้ มันทำให้เฉินซีดูเป็นฝ่ายด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว
นี่จะต้องเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก แต่เฉินซีก็พอใจกับมันมาก เพราะยิ่งคู่ต่อสู้แข็งแกร่งมากเท่าไร เขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น และสิ่งที่ชายหนุ่มได้รับย่อมยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากเช่นกัน
เจ็ดวันต่อมา
เสียงโครมครามดังขึ้น ในขณะที่หัวของวิญญาณโลหิตที่ดูเหมือนเซียนกระบี่ไร้เทียมทานล้มลงกับพื้น และกระบี่ที่สะพายอยู่บนหลังของมันก็ร่วงหล่นลงพื้นพร้อมกับเสียงดังเคร้งเช่นกัน
เฉินซีหอบหายใจ ขณะที่จ้องมองไปยังศพของคู่ต่อสู้ และความรู้สึกชื่นชมเล็กน้อยก็เกิดขึ้นในใจของเขาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะคู่ต่อสู้เช่นนี้หาได้ยากในใต้หล้า!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉินซีจึงเก็บกระบี่ที่วิญญาณโลหิตทิ้งไว้อย่างระมัดระวัง …เขาเก็บมันเข้าไปในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์
ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ เฉินซีสังเกตเห็นว่ากระบี่ที่อยู่ในความครอบครองของฝ่ายตรงข้ามนั้นสร้างจากผลึกต้นกำเนิดโกลาหล ดังนั้นการทิ้งสมบัติหายากไว้ที่นี่จะเป็นการเสียของกำนัลที่สวรรค์ประทานให้
“ให้ข้ากินมัน แล้วข้าจะยอมยกเว้น และทำทุกสิ่งตามคำขอของเจ้า” เมื่อเฉินซีหันกลับมา โดยตั้งใจที่จะเข้าสู่ชั้นถัดไปของถ้ำกระบี่ หม้อใบจิ๋วขนาดเล็กที่นิ่งเงียบเป็นเวลานานก็กล่าวขึ้นทันที และเสียงของมันก็ปราศจากร่องรอยของอารมณ์ตามปกติ
แต่เฉินซีสังเกตเห็นอย่างเฉียบขาดว่า เสียงของหม้อใบจิ๋วมีร่องรอยของความปรารถนาที่ยากจะมองเห็น และดูเหมือนว่าเศษผลึกต้นกำเนิดโกลาหลนี้จะเป็นสิ่งล่อใจที่ไม่อาจต้านทานได้!