บทที่ 73 ราชามังกรยุ่งเกินไป
ซูหม่านซิ่วหยุดชะงักชั่วคราว
หากออกจากโรงพยาบาลแล้ว เธอจะเป็นคนไร้ถิ่นที่อยู่คนหนึ่ง
พอเห็นท่าทางอันน่าหดหู่ใจของหญิงสาว เฉินจื่ออันพลันรู้สึกเป็นทุกข์
เขาเกาหัวอย่างหงุดหงิด เกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย? เขารู้สึกสงสารผู้หญิงคนนี้หรือ?
เฉินจื่ออันเดินออกจากประตูห้องผู้ป่วยอย่างงุ่นง่าน และทำได้แค่นิ่งเงียบ
ซูหม่านซิ่วมองผู้มีพระคุณเดินออกไป โง่จนลืมกินข้าวไปเลย
“ขอโทษนะ เขาเป็นอะไรกับเธอหรือ? เป็นชายหนุ่มที่ดูทรงพลังมากเลย” หญิงชราคนหนึ่งในห้องผู้ป่วยเดียวกันเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อ๋อ เขาไม่ได้เป็นอะไรกับฉันหรอกค่ะ” ซูหม่านซิ่วสะดุ้ง
เกี๊ยวกลิ่นหอมฉุยเธอกินไม่ลงอีกต่อไป
คนอย่างเธอจะกินเกี๊ยวหมูแป้งสาลีได้อย่างไร?
ซูหม่านซิ่วนั่งบนเตียงในโรงพยาบาลครู่หนึ่ง และในที่สุดก็ถอนใจ วางกล่องข้าวไว้บนโต๊ะข้างเตียง
เธอสวมรองเท้าก่อนผุดลุกขึ้น เดินออกมาจากห้องผู้ป่วยด้วยสีหน้าว่างเปล่า ร่างผอมบางดูล่องลอย
หญิงชราก่อนหน้านี้พูดกับลูกสะใภ้ซึ่งคอยดูแลเธออยู่ว่า “ผู้หญิงคนนี้กับผู้ชายคนนั้นเป็นอะไรกันนะ? ทำไมรู้สึกแปลก ๆ จัง”
“แม่ อย่าไปยุ่งเลย” ลูกสะใภ้พูดอย่างเร่งรีบ
ซูหม่านซิ่วมองออกว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนทั่วไป จึงไม่อยากทิ้งปัญหาไว้ให้เขาจัดการเพื่อหลีกเลี่ยงถึงเรื่องที่จะตามมาในภายหลัง
“ทำไมเหมือนไม่ใช่คู่รักเลยล่ะ!” หญิงชรากลับรู้สึกไม่เต็มใจ
ถ้าไม่ใช่คู่รักแต่อยู่ด้วยกันแบบนี้มันเลยรู้สึกไม่ถูกต้อง จะต้องเป็นพวกรองเท้าขาดหรือเปล่า?
ถ้าเจอแบบนี้จริง ๆ เอาไปรายงานเป็นรางวัลดีไหม แจ้งหรือไม่แจ้งดี?
ถ้ารายงานสำเร็จ พวกนั้นจะให้เงินเธอเท่าไรกัน?
ดูเหมือนหญิงสาวจะเห็นความคิดของแม่เฒ่า และกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
เธอรีบหยุดไว้ “แม่ อย่าคิดอะไรที่มันใช่หรือไม่ใช่ เรื่องของบ้านอื่นพวกเราอย่าไปยุ่งเลย แค่ใช้ชีวิตของตัวเองให้สงบก็พอ”
ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนที่รับมือง่ายแน่ ๆ ท่าทางดูหัวรั้น เพียงแค่มองก็รู้สึกหวาดกลัว
ตอนที่คนทั้งสองสนทนากัน ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง เฉินจื่ออันกลับมาแล้ว
ครั้นเห็นคนบนเตียงหายไป แถมกล่องอาหารก็ถูกปิดไว้เรียบร้อย ชายหนุ่มจึงรู้สึกงงงวย
“คุณป้าครับ คนไข้บนเตียงนี้ไปไหนแล้วล่ะ คุณเห็นหรือเปล่าครับ?” เฉินจื่ออันมองไปที่เตียงว่างเปล่า เขาขมวดคิ้วถามผู้ป่วยเตียงข้าง ๆ
“ออกไปแล้วล่ะ ไม่รู้ออกว่าไปไหน ไอ้หนุ่ม ผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรเธอหรือ?” หญิงชรายังคงไม่ยอมแพ้ นัยน์ตาเต็มไปด้วยเรื่องซุบซิบ
“ลูกพี่ลูกน้องครับ” เฉินจื่ออันตอบส่ง ๆ ก่อนจะออกจากห้องไปตามหาอีกฝ่าย
ผู้หญิงคนนี้น่าเป็นห่วงจริง ๆ นอนบนเตียงดี ๆ ไม่ได้หรือไง?
“แม่ ดูสิ มันก็เป็นความสัมพันธ์ทั่วไปเอง ฉันว่าน่าจะเป็นพี่ชายคนเมืองพาน้องสาวที่บ้านชนบทมาหาหมอนะ”
หญิงชรารู้สึกผิดหวังอย่างมากกับความสัมพันธ์ลูกพี่ลูกน้องนี้ ก่อนพึมพำกับตัวเอง “แล้วถ้ามันไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องกันล่ะ?”
ถ้าเป็นญาติฝั่งพ่อก็ไม่แน่ว่าจะพูดง่าย แล้วถ้าเป็นญาติฝั่งแม่โดยทั่วไปก็ไม่มีอะไรสำคัญ
ชุมชนการผลิตหงซิน
ณ บ้านตระกูลซู
“เสี่ยวเถียนเอ๋ย ก่อนหน้านี้หลานบอกว่าอาของหลานยังมีชีวิตอยู่ แล้วทำไมถึงไม่มีข่าวคราวเลยล่ะ?” คุณย่าซูบ่นกับตัวเองขณะนั่งบนเตียงเตา โดยมีหลานรักอยู่ในอ้อมกอด
ไม่กี่วันมานี้ คุณปู่คุณย่าซูไม่ได้ไปทำงาน
คนในชุมชนรู้ว่าทั้งสองเจอเรื่องกระทบกระเทือนทางจิตใจและต้องได้รับการดูแล อีกทั้งตอนนี้งานในฟาร์มก็มีน้อยแล้ว จึงปล่อยให้คนสูงวัยทั้งสองพักผ่อนอยู่บ้าน
คนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นคนใจดี สองสามวันมานี้ธรณีประตูบ้านตนก็ถูกเพื่อนบ้านทำลายไป
พวกเพื่อนบ้านมาเยี่ยมเหล่าเอ้อร์ ทั้งยังแสดงความไม่พอใจต่อพฤติกรรมของบ้านหวังที่เป็นพวกไร้มนุษยธรรม จากนั้นก็ปลอบโยนคุณปู่คุณย่าซูสองสามประโยค
แต่ถ้อยคำปลอบโยนเหล่านี้พอเข้าหูเหล่าเอ้อร์ พอได้ยินก็รู้สึกลำบากใจเหมือนโดนทิ่มแทง
แต่นี่คือความเมตตาของผู้อื่น ซึ่งเป็นแก่นแท้ของความรักใคร่กันและกัน
ส่วนคู่สามีภรรยาซูซานซึ่งเป็นน้องชายแท้ ๆ ของคุณปู่ซูกลับไม่เคยปรากฏตัว และแม้แต่พวกลูกหลานก็ยังไม่มาเยี่ยมเลยแม้แต่คนเดียว
“คุณย่า หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนส่ายหัว
ผ่านมาหลายวันแล้วยังไม่มีข่าวคราวของอาใหญ่เลย
ซูเสี่ยวเถียนยังสงสัยว่าเธอจำมันผิดหรือเปล่า แต่อาใหญ่ฆ่าตัวตายในช่วงนี้จริง ๆ นะ
หากเป็นแบบนี้ การให้ความหวังคุณย่าซูแล้วทำให้แกผิดหวัง คงจะกลายเป็นบาปอันใหญ่หลวง
ตอนนั้นแค่หวังว่าจะทำให้คุณย่ารู้สึกดีขึ้นสักนิด
ใบหน้าของคุณย่าซูดูผิดหวัง และเอาแต่ถอดถอนหายใจ
ก็จริงนะ เด็กตัวแค่นี้จะรู้อะไรได้เล่า
บางทีอาจเป็นเพราะราชามังกรบังเอิญชี้นำนิดหน่อย ตอนนี้ท่านคงยุ่งไม่สามารถดูแลเรื่องของบ้านเธอได้ทุกวันหรอก
“คุณย่าคะ คุณย่าต้องเข้มแข็งนะคะ ไม่ต้องเสียใจไปนะ อาใหญ่ต้องกลับมาในสักวันหนึ่งแน่ค่ะ”
คำพูดที่ไร้เดียงสาของซูเสี่ยวเถียน ทำให้คุณย่าซูรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
“เด็กดี ดีจริง ๆ ที่มีหลานอยู่กับย่าตอนนี้ ไม่อย่างนั้นย่าจะใช้ชีวิตแต่ละวันได้อย่างไร”
“เถียนเถียนจะอยู่กับคุณย่าเสมอ”
ขณะที่สองย่าหลานสนทนากันอยู่ เสียงของซูหม่านเซียงก็ดังมาจากลานบ้าน
“คุณแม่คะ คุณแม่อยู่บ้านหรือเปล่าคะ?”
คุณย่าซูตอบ ก่อนจะให้ซูหม่านเซียงให้เข้ามา
จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบา “เสี่ยวเถียน หลานว่าอาเล็กของหนูมาทำอะไรที่นี่กัน?”
ซูเสี่ยวเถียนส่ายหัว
เธอเดาว่าน่าจะมาข่มเหงคนอื่น แต่เธอพูดออกไปได้ไหมล่ะ?
ไม่ได้น่ะสิ!
ซูหม่านเซียงเป็นพวกที่ไม่สนใจในเรื่องที่ตนไม่คิดสนใจ ไม่อย่างนั้นคุณย่าก็เศร้าใจยิ่งกว่าเดิม
พออีกฝ่ายเลิกม่านเข้ามาได้ ไม่พูดไม่จาสักคำแต่ตรงดิ่งเข้ามาถามเลย
“คุณแม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมแม่ส่งพี่เขยไปที่เหมือง?”
คุณย่าซูตกตะลึง ลูกสาวคนเล็กไม่ได้มาปลอบเธอหรอกหรือ? แล้วทำไมถึงมาโทษเธอกันล่ะ?
“อาเล็กอย่าพูดแบบนี้ คุณย่าของหนูเสียใจอยู่นะ!” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวต่อหน้าคุณย่าซู
รู้มาตั้งนานแล้วว่าซูหม่านเซียงเป็นพวกไม่สนใจอะไร
“มีอะไรให้เสียใจรึ?” ซูหม่านเซียงพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ลูกสาวกำลังพูดเรื่องไร้สาระอย่างเย็นชา ถ้าต้องให้กำเนิดลูกสาวแบบนี้ ให้กำเนิดซาลาเปายังดีกว่า!
“แกรู้ไหมว่าพี่สาวแกถูกพวกบ้านหวังมันทรมาณจนตายน่ะ?”
“รู้สิ ก็ฉันได้ยินมา ดีแล้วไม่ใช่หรือไงที่ซูหม่านซิ่วมันตายน่ะ ไม่งั้นฉันก็คงบอกมันเหมือนกันว่าผู้หญิงที่ให้กำเนิดลูกไม่ได้จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร? เปลืองข้าวเปลืองน้ำ?” ซูหม่านเซียงไม่สนใจสักนิด พูดด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ
“แกว่าอะไรนะ?” น้ำเสียงของคุณย่าซูสั่นเครือ เธอไม่เคยคิดว่าลูกสาวคนเล็กจะพูดแบบนี้ออกมาได้
เธอไปสอนพวกลูกสาวให้พูดเมื่อไรกันว่า ผู้หญิงที่ให้กำเนิดลูกไม่ได้ไม่สมควรมีชีวิตอยู่น่ะ?
ซูเสี่ยวเถียนเหมือนคนโง่งม ถึงผู้หญิงที่มีลูกไม่ได้จะโดนดูถูก แต่ไม่มีใครแบบซูหม่านเซียงที่พูดออกมาตรง ๆ ว่าผู้หญิงพวกนั้นสมควรตาย!
“คุณแม่คะ ฉันบอกเลยว่าพวกแม่ใจร้ายเกินไปแล้ว ส่งคนเขาไปที่เหมืองแบบนั้นแล้วชีวิตที่เหลือจะทำอย่างไร? แม่ไม่คิดหรือว่าคนข้างนอกจะพูดถึงบ้านเราว่าอย่างไรบ้างน่ะ?”
“คุณแม่คงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้คนตระกูลคังเอาแต่พูดว่าคนบ้านเราไม่มีความเมตตา ขนาดตัวฉันยังโดนดูถูกไม่น้อยเลย”