บทที่ 79 ซูหม่านซิ่วกลับบ้าน
เหล่าเด็กน้อยตระกูลซูถือโอกาสในช่วงที่อากาศยังไม่เย็นมุ่งหน้าขึ้นเขาทุกวัน
พวกเขาไม่ได้ขึ้นเขาพร้อมกับเด็กคนอื่นภายในชุมชน เพราะต้องการพาฉืออี้หย่วนไปด้วย
ฉืออี้หย่วนเป็นมือใหม่กับทุกอย่างบนเขา ถึงจะอาศัยอยู่ในชุมชนการผลิตหงซินมาสามปี หากแต่ไม่ได้ขึ้นเขาบ่อยนัก จึงไม่คุ้นเคยกับทุกอย่างที่นี่
ครั้นตามพี่น้องบ้านซูขึ้นมา มันทำให้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในป่าเขาลำเนาไพรมากมาย ได้รู้จักของพิเศษไม่น้อย สามารถนำกลับมาทำให้พวกเราอิ่มท้องกันได้
เนื่องจากซูเสี่ยวเถียนติดตามมาด้วย ทุกครั้งจึงเก็บของอร่อยมาได้ไม่น้อย จนกระทั่งฉืออี้หย่วนเกิดความเข้าใจผิดว่าภูเขาแห่งนี้เป็นถิ่นอุดมสมบูรณ์ อยากได้อะไรในนั้นก็มีหมด
กระทั่งหลายปีหลังจากนั้น ถึงค่อยรู้ว่าของล้ำค่าบนภูเขาเป็นสิ่งที่แบ่งแยกผู้คน!
เพื่อซุกซ่อนอาหารที่หามาได้ ฉืออี้หย่วนพบถ้ำลึกล้ำแห่งนี้ไม่ห่างจากคอกวัวนัก
เขาซ่อนทุกอย่างที่อยู่ในบ้านไม่ได้ไว้ในถ้ำเล็ก ที่มีแค่เด็กเท่านั้น จึงจะลอดผ่านเข้าไปได้ จากนั้นก็ปิดทางเข้าอย่างระมัดระวัง ป้องกันการพบเจอของเหล่าชาวบ้าน
นี่คือเสบียงสำรองสำหรับช่วงฤดูหนาวของคุณปู่และคุณปู่คุณย่าตู้ จะยอมให้มีเรื่องผิดพลาดขึ้นไม่ได้แน่นอน
ชีวิตบนเขาสนุกยิ่งขึ้นกว่าเดิมเพราะมีฉืออี้หย่วนเพิ่มเข้ามา
ฉืออี้หย่วนเป็นคนเฉลี่ยวฉลาด ทั้งยังอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ๆ ความรู้ของเขาจึงพรั่งพรูมหาศาล
ระหว่างทาง เขาเล่าเรื่องราวน่าฟังมากมายให้กับพี่น้องซู ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
ตอนนี้ เด็กหญิงแทบจะเป็นแฟนคลับตัวยงของฉืออี้หย่วนเสียแล้ว ทุกครั้งที่เธอขึ้นภูเขา เธอจะรอฟังเรื่องราวเหล่านี้อย่างใจจดใจจ่อ
เธอยังคงอ่านหนังสืออยู่เสมอ แต่เหมือนเรื่องราวในหนังสือจะไม่น่าฟังเท่ากับสิ่งที่ฉืออี้หยวนเล่า
ครั้นรู้สึกเหนื่อยก็จะนั่งพักผ่อนและเรียนหนังสือด้วยกันสักหน่อย และมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนเล็กน้อย
ช่วงเวลาแบบนี้เป็นประโยชน์สำหรับฉืออี้หย่วนมาก
ในฐานะที่เคยเป็นเด็กหัวกะทิมาก่อน และตอนที่ยังอยู่ในเมืองหลวงก็มีชีวิตอันเฟื่องฟู ไม่ต้องพูดถึงการสอนเด็กชนบทไม่กี่คนเลย
เขาจะชี้แนะถึงข้อผิดพลาดของเด็ก ๆ บ้านตระกูลซูอย่างรอบครอบ และจะอธิบายจนพวกเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้
อาจกล่าวได้ว่า ถึงแม้จะไม่ได้ไปโรงเรียนในช่วงนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าช่วงเวลานี้ ลูกหลานตระกูลซูมีความก้าวหน้ามากที่สุด
คุณปู่ซูพึงพอใจกับสิ่งนี้ และคิดว่าการเรียนหนังสือเป็นสิ่งที่ดี ถึงจะมีคนมีความรู้ไม่กี่คนอาศัยอยู่ที่คอกวัว แต่คุณปู่ซูก็ยังยืนหยัดว่าการศึกษาย่อมมีประโยชน์
เขายังหวังว่า ในอนาคตจะมีหลานชายสักคนของเขาจะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยกรรมกร ชาวนา และทหารได้ ซึ่งนั่นจะถือเป็นเกียรติแก่บรรพบุรุษของพวกเขา
วันนี้พวกเด็ก ๆ ลงเขามาพร้อมกับสิ่งของล้ำค่ามากมาย ตลอดทางเหมือนฝูงนกที่ร้องจิ๊บ ๆ ส่งเสียงพูดคุยมีชีวิตชีวา
ครั้นเดินทางมาถึงประตูบ้าน สายตาเฉียบแหลมของซูเสี่ยวเถียนเล็งเห็นรถของเฉินจื่ออันจอดอยู่หน้าประตูบ้านของตนเอง
“ลุงเฉินมาหรือ?” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวเคล้ารอยยิ้ม
เด็กชายหลายคนภายในบ้านก็ชอบเฉินจื่ออัน เพราะอีกฝ่ายจะนำของอร่อย ๆ มาให้เยอะแยะเลย หากแต่ไม่อาจเทียบเท่าซูเสี่ยวเถียนที่ชอบเฉินจื่ออันได้
ซูเสี่ยวเถียนชอบเฉินจื่ออัน ยกย่องอีกฝ่ายว่าเป็นวีรบุรุษตามประสาของเด็กผู้หญิง
เฉินจื่ออันเป็นคนที่เคยอยู่ในสนามรบ เขาเป็นวีรบุรุษตัวจริง
แน่นอนว่าซูเสี่ยวไม่ได้เพิ่งรู้ในชาตินี้ แต่เธอรู้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว
ตัวเขาในชาติก่อนเป็นตัวพ่อในตอนสุดท้าย เรื่องเล่าของเขา ใครหลายคนคงเคยได้ยิน แม้แต่ซูเสี่ยวเถียนเองยังเคยฟังมาไม่น้อย
“พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะ!” เด็ก ๆ บ้านซูส่งเสียงร้องเฮลั่นแล้ววิ่งตัวลอยเข้าไปในลานบ้าน
สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจคือ ไม่เพียงแต่จะเจอเฉินจื่ออันเท่านั้น แต่ยังเจอซูหม่านซิ่ว อาใหญ่ที่เขาพูดกันว่าเธอกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
คุณย่าซูที่ดวงตาแดงก่ำกำลังกอดซูหม่านซิ่ว เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มา
ซูหม่านซิ่วขอบตาแดงระเรื่อ เธอเองก็เพิ่งจะผ่านการร้องไห้มาเช่นกัน
“อาใหญ่?” ตะกร้าในมือเด็ก ๆ ร่วงลงด้วยความตกใจ ข้าวของที่เก็บมากลิ้งหลุน ๆ อยู่บนพื้น
“พวกเด็ก ๆ กลับมาแล้ว” ซูหม่านซิ่วพูดด้วยรอยยิ้ม “อาใหญ่ซื้อขนมไข่มาให้ด้วย ล้างมือก่อนแล้วค่อยมากินกันนะ”
ยามเอ่ยประโยคนี้ ใบหน้าของซูหม่านซิ่วเต็มไปด้วยความโล่งใจ
ตั้งแต่แต่งงานมา เธอไม่เคยซื้อขนมให้หลานจอมซนของตนเองเลยสักครั้ง และไม่เคยเอาแม้กระทั่งหมั่นโถวสักลูกกลับมาให้พวกเขา
เธอรู้สึกผิดมาตลอด และในที่สุดความรู้สึกผิดนี้ก็ได้รับการปลดปล่อย
เฉินจื่ออันจัดแจงให้เธอทำงานเป็นพนักงานชั่วคราว เงินเดือนไม่มาก เดือนละสิบหยวนเท่านั้น
แต่สำหรับซูหม่านซิ่วผู้ซึ่งไม่เคยมีเงินในมือมาก่อน แค่สิบหยวนก็ถือเป็นเงินจำนวนมหาศาลแล้ว แถมยังมีตั๋วเงินหลายใบอีก เธอจึงพอใจเป็นอย่างมาก
เมื่อเทียบกันแล้ว แม้จะน้อยกว่าคนในเมือง แต่สำหรับซูหม่านซิ่วแล้ว มันราวกับว่าเธอได้รับความเป็นอิสระ
การกลับมาบ้านในครั้งนี้ เธอตั้งใจซื้อของมาไม่น้อย แล้วมอบให้กับคนที่บ้านทั้งหมด
ซูเสี่ยวเถียนมองไปยังซูหม่านซิ่วที่ดูดีขึ้นจากเดิม ท้ายที่สุดก็อดโถมตัวใส่อ้อมกอดของเธอไม่ได้
ดีจริง ๆ ที่อาใหญ่ยังมีชีวิตอยู่
ตราบใดที่อาใหญ่ยังอยู่ ซูเสี่ยวเถียนจะต้องดูแลเธออย่างดี ไม่ปล่อยให้มีโอกาสคิดฆ่าตัวตายอีก!
“อาใหญ่ ฮือ ๆ ดีใจจังที่อายังมีชีวิตอยู่ เสี่ยวเถียนคิดถึงอามาก! เสี่ยวเถียนคิดถึงอาใหญ่! ฮึกฮือ…”
ซูหม่านซิ่วได้ยินหลานสาวร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดก็โทษตัวเอง เห็นได้ชัดว่าครอบครัวรักเธอขนาดนี้ แล้วทำไมถึงได้อยากตายล่ะ?
อย่างที่หัวหน้าเฉินว่า ความตายยังไม่รู้จักกลัว แล้วหวาดกลัวการมีชีวิตอยู่เนี่ยนะ?
ครั้นคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็อดกอดซูเสี่ยนเถียนแล้วร้องไห้ออกมาไม่ได้
“เสี่ยวเถียน อาใหญ่เพิ่งจะดีขึ้น ทำไมหนูทำอาร้องไห้อีกแล้วล่ะลูก?” เหลียงซิ่วพูดกับลูกสาวด้วยความโกรธ
“อย่าโทษเสี่ยวเถียนเลย เด็กคนนี้มีความจริงใจ” คุณย่าซูยกมุมเสื้อผ้าซับหยาดน้ำตา
“อาใหญ่หย่าเลยนะคะ หนูไม่อยากให้อากลับไปที่บ้านหวังอีกแล้ว ครอบครัวพวกเขาแย่มาก ๆ ไม่ดีเลย!” ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างขุ่นเคือง “หลังจากนี้ หลังจากนี้ไป เสี่ยวเถียนจะเลี้ยงดูอาจนแก่เฒ่าเอง!”
กล่าวจบ ทุกคนในครอบครัวก็มองหน้ากันอย่างตกตะลึง ไม่มีผู้ใดส่งเสียง บรรยากาศพลอยเงียบสงัดลงไปด้วย