บทที่ 139 เผชิญหน้า
“หัวหน้าเฉิน ความจริงแล้วคือ…”
เซี่ยงหงคิดจะพูดจาเล่นลิ้นอีกประโยค ทว่าก็ถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเย็นชาของเฉินจื่ออันเสียก่อน
“ที่จริงแล้วฉันเป็นคนให้เธอ? เธอไม่เห็นหรือไงว่าฉันเป็นคนอย่างไร? คิดว่าฉันตาบอดหรือ?”
เซี่ยงหง “…”
แล้วคุณไม่ได้ตาบอดหรอกหรือ?
ถ้าตาไม่ได้บอด แล้วทำไมถึงไปหาผู้หญิงบ้านนอกที่ไม่มีใครต้องการล่ะ?
แต่ประโยคนี้เธอจะกล้าพูดหรือเปล่า?
เซี่ยงหงไม่กล้าหรอก
“เซี่ยงหง เธอโชคดีมากนะที่ฉันไม่ใช่คนชอบตบตีผู้หญิง!” เฉินจื่ออันพูด “การที่เธอใส่ร้ายความบริสุทธิ์ใจของฉันแบบนี้ ฉันจะไม่ปล่อยมันไว้แน่ กลับบ้านไปบอกพ่อกับลุงเธอได้เลยว่าฉันจะรอ”
ใบหน้าของเซี่ยงหงซีดเผือด ไม่กล้าพูดจาหลอกล่ออีกต่อไป
เธอเข้าใจแล้ว ไม่ว่าพูดพล่ามแค่ไหนชายตรงหน้าไม่ฟังอยู่แล้ว
เธอจบสิ้นแล้วล่ะ
ไม่ ไม่เด็ดขาด
เธอยังมีตระกูลเซี่ยงคอยหนุนหลังอยู่ ยังมีลุงกับพ่อ เธอต้องกลับบ้านไปขอความช่วยเหลือ
เซี่ยงหงที่รีบจากไปไม่ได้สังเกตเห็นซูเสี่ยวฉินเลย
พูดให้ถูกคือ เธอทิ้งซูเสี่ยวฉินและวิ่งหนีไปคนเดียวต่างหาก
และเสี่ยวฉินก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทิ้งตนไปในเวลาที่สำคัญเช่นนี้
มองไปยังเฉินจื่ออันที่บรรยากาศหนาวเหน็บจนทำคนตายได้ แล้วมองไปทางซูเสี่ยวเถียนอีกครั้ง และเธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
“คุณย่าใหญ่ ฉัน…” ซูเสี่ยวฉินมองคุณย่าซูซึ่งเป็นคนที่พูดดีด้วยที่สุด
แต่ใบหน้าเธอเรียบเฉยมาก ทั้งสายตายังเต็มไปด้วยความรังเกียจและเจ็บปวด
“อย่ามาเรียกฉันว่าย่า ฉันไม่รู้จักเด็กที่ใจดำอำมหิตเหมือนเธอ”
นี่เป็นเรื่องที่น่าปวดใจจริง ๆ
“ย่าใหญ่ ฉัน…”
“คุณย่าฉันบอกว่าไม่รู้จักเธอไง อย่ามารบกวนที่นี่อีก” ซูเสี่ยวเถียนยืนอยู่เบื้องหน้าคนเป็นพี่
ร่างกายของเธอเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่รู้ว่าทำไมกลับมีออร่ามากกว่าเด็กตัวสูงอย่างซูเสี่ยวฉิน
“เสี่ยวเถียน ฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องเธอนะ!” ซูเสี่ยวฉินจ้องมองเด็กหญิงตรงหน้า พร้อมทั้งขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน
แต่ซูเสี่ยวเทียนกลับส่ายหน้าแล้วยิ้ม “เมื่อกี้เธอเพิ่งพูดคำนี้ไปนี่ เร็วเกินไปไหมที่จะลืมน่ะ?”
“ปู่ย่าของเธอกำลังรอเธอกลับบ้านอยู่น่ะ ถ้ายังเป็นห่วงพวกเขาก็กลับบ้านไปเถอะ!” น้ำเสียงแผ่วเบาของซูเสี่ยวเถียนดังเพียงพอให้คนรอบข้างได้ยิน
เพื่อนบ้านที่เฝ้าดูรู้สึกไม่สบายใจ เพราะพวกเขาเพิ่งเข้าใจผิดเรื่องสามีภรรยาคู่นี้
พอเห็นการโต้เถียงระหว่างเด็กหญิงสองคนตรงหน้า ก็รู้ว่าควรรอซ้ำเติมอย่างไร
“คุณบอกว่าเด็กคนนี้ใจดำตั้งแต่เด็กเลยหรือ?”
“เมื่อกี้ก็เพิ่งบอกว่าครอบครัวพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แล้วทำไมยังหยิบยกขึ้นมาอีกล่ะ? ลืมสิ้นไปหมดแล้วหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าคนหนุนหลังเพิ่งเดินไปหรือ? เด็กสาวคนเมื่อกี้เป็นคนจากตระกูลเซี่ยงนี่นา แล้วเด็กคนนี้ก็ไม่กอดแข้งกอดขาหล่อน ใครจะรู้เล่าว่าจะเห็นเป็นของสิ่งของ อยากโยนทิ้งก็โยนเลย!”
……
…
ซูเสี่ยวฉินหน้าแดงเมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน
พวกเขาทำแบบนี้ได้อย่างไร?
เธอผิดหรือไงที่ไม่พอใจซูเสี่ยวเถียนน่ะ?
ทำไมทุกคนถึงไม่เข้าใจความเจ็บปวดในใจของตนเลย?
“พวกแกจะไปรู้อะไร? พวกแกจะไปรู้อะไรได้? ทำไมฉันถึงมาหาวันนี้น่ะหรือ? ก็เพราะมันไม่ใช่หรือไง?”
“ย่าใหญ่ชอบเด็กผู้หญิง ถ้าไม่มีมัน ไม่แน่ว่าฉันอาจจะเป็นหลานของครอบครัวย่าใหญ่ก็ได้”
หลังจากที่ซูเสี่ยวฉินที่ขาดความอบอุ่นตะคอกออกมา ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเหมือนตัวเองจะพูดความในใจออกมา
ใช่แล้วล่ะ เธอรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว ถ้าไม่มีซูเสี่ยวเถียน เธออาจถูกรับเลี้ยงไว้ที่บ้านหลักตระกูลซูและได้เพลิดเพลินไปกับทุกสิ่งที่เด็กคนนั้นได้
ก่อนที่เสี่ยวเถียนจะเกิด คุณปู่คุณย่าใหญ่ดีต่อเธอมาก แต่เพราะมันเกิดออกมา ตนเองจึงไม่มีที่ในใจของคุณปูคุณย่าซู
เพราะกัดเข้าไปแล้ว และมันแย่ที่สุดเลยไม่สามารถกลืนลงไปได้
คุณย่าซูหัวเราะอย่างโกรธเคืองกับประโยคนี้
เด็กคนนี้คิดอะไรอยู่? ออกไปอยู่ข้างนอกจนโง่เง่าไปแล้วงั้นหรือ?
“ฉันชอบเด็กผู้หญิงก็เลยต้องรับเลี้ยงเธอ? ซูเสี่ยวฉิน เธอคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปหรือเปล่า”
“ต่อให้ไม่มีเสี่ยวเถียน แต่ฉันก็ไม่คิดเอาลูกบ้านอื่นมาเลี้ยงไว้ในบ้านของตัวเองหรอกนะ และก็ไม่ใช่เพราะมีอาหารมากเกินไปหรือไม่มีที่ด้วย” คุณยายซูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ซูเสี่ยวฉินไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่ ไม่จริง เมื่อก่อนพวกย่าเคยดีกับฉัน!”
ซูเสี่ยวฉินไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เธอได้ยินเลย แม้ว่าคุณย่าซูจะพูดเอง เธอก็ไม่เชื่ออยู่ดี
“มันเป็นเพราะฉันสงสารเธอ อายุแค่นั้นแต่ไม่เคยกินอิ่มใส่เสื้อผ้าอุ่น ๆ ให้เธอกินสักคำก็ถือว่าดีแล้ว” คุณย่าซูส่ายหัว “ฉันกับปู่เสี่ยวเถียนใช้เวลาทั้งชีวิตนี้เพื่อให้คนอื่นได้กินดื่มอิ่ม กลับไม่คิดว่าจะไม่ได้เห็นเธอตอบแทนทั้งยังคิดทำร้ายอีก!”
“ฉันไม่ได้…” ซูเสี่ยวฉินส่ายหัวพัลวัน
“ไม่ได้อะไร? เธอกล้าพูดหรือไม่ล่ะว่าไม่ได้ไปชุมชนใหญ่เพื่อใส่ร้ายบ้านเรา? ซูเสี่ยวฉิน ถ้าเธอคิดว่าตัวเองฉลาด ก็อย่าคิดว่าคนอื่นโง่ ไม่มีความลับอยู่บนโลกนี้หรอกนะ” ซูเสี่ยวเถียนยิ้มเยาะ
“ซูเสี่ยวฉิน ตราบใดที่ลงมือกระทำไปแล้วย่อมทิ้งร่องรอยเอาไว้เสมอ!”
แค่เพียงเคยลงมือทำก็ทิ้งร่องรอยไว้อย่างนั้นหรือ?
เป็นแบบนี้เองหรือ?
ซูเสี่ยวฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
จริงหรือ?
เป็นแบบนี้เองหรือ?
เธอพึมพำและเดินโซเซออกไปจากประตูบ้านตระกูลเฉิน
คุณย่าซูและคนอื่น ๆ เฝ้าดูซูเสี่ยวฉินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เพื่อนบอกรีบกุลีกุจอมาขอโทษครอบครัวนี้ ทั้งยังพูดจาดิบดีและรีบจากไป
“ซิ่วเอ๋อร์ รีบเข้าบ้านไป ลูกยังไม่ได้ออกจากอยู่ไฟ” คุณย่าซูเร่งซูหม่านซิ่ว
ซูหม่านซิ่วคลี่ยิ้ม “แค่วันครึ่งเองค่ะแม่ มีอะไรต้องกังวลกัน”
“เด็กคนนี้ ทำไมรั้นแบบนี้ ถ้าร่างกายโดนลมพัดจะแย่เอา” ผู้เป็นแม่เร่งเร้าอย่างกระวนกระวาย
“คุณฟังที่แม่พูดแล้วรีบกลับไปนอนบนเตียงเถอะ เรื่องวันนี้เป็นความผิดของตระกูลเซี่ยง คุณวางใจได้เลยนะ พวกเขาต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำ!”
เฉินจื่ออันรู้สึกว่าช่วงนี้ภาพลักษณ์ตนค่อนมีข้างเมตตา เลยทำให้เด็กสาวตระกูลเซี่ยงมาข่มเหงถึงที่ใช่ไหม?
ถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้องทำให้ที่อำเภอรู้เสียหน่อยแล้วว่าเขาเป็นใครกันแน่
เพราะไม่สามารถปล่อยให้หม่านซิ่วที่ถอดเกราะออกรบฉีกกระชากกับคนพวกนั้นไปตลอดใช่ไหมล่ะ?
ซูหม่านซิ่วโดนสามีกับแม่เตือนให้กลับไปเตียงเตา
เจ้าเด็กนอนอมกำปั้นอยู่บนเตียงเตา เห็นได้ชัดเลยว่าตื่นสักพักแล้ว
“ ไอ๊หย่า เด็กคนนี้ฉลาดจริง ๆ ตื่นมาก็ไม่งอแงเลย!” คุณย่าซูพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นเด็กเลี้ยงง่าย!”
ซูเสี่ยวยิ้ม “ใช่ค่ะ น้องเล็กเป็นเด็กดีที่สุด!”
ทันใดนั้น น้องเล็กเด็กดีที่ว่าก็ร้องไห้จ้าขึ้นมา
เด็กหญิงสำลัก ดีจริง เธอไม่ควรชมเลย ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะ!
พอเห็นหลานสาวเป็นแบบนี้ พวกผู้ใหญ่ก็อดยิ้มไม่ได้
พอเจ้าเด็กเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแม่ก็หยุดร้องไห้ทันที หัวเล็ก ๆ ไม่ลืมจะควานหาอาหารในเสื้อด้วย
ซูหม่านซิ่วกำลังให้นมลูกชาย เธอกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้นี่ พี่สาวเพิ่งจะชมเราก็ดันเททิ้งเสียแล้ว!”
เจ้าเด็กกำลังดูดนม ครางอื้ออึงราวกับไม่รู้ว่าตนเองทำผิด