บทที่ 160 การรับสมัครคนงานที่แสนยุ่งเหยิง
บทที่ 160 การรับสมัครคนงานที่แสนยุ่งเหยิง
เมื่อก่อนเธออยากเรียนหนังสือเพราะรู้สึกว่าฐานะทางบ้านเอื้อให้เรียนต่อได้ แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เธอไม่ใช่สาวน้อยไร้กังวลอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว
“เสี่ยวเหมย แม่หวังว่าลูกจะประสบความสำเร็จในอนาคตนะ!”
“แม่ ถึงหนูจะตั้งใจเรียน แต่เพราะพ่อนั่นละ หนูเลยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปมหาวิทยาลัยกรรมกรฯ แบบนี้จะไปมีประโยชน์อะไรล่ะคะ!” ซูเสี่ยวเหมยรู้สึกหดหู่ใจกับเรื่องนี้นัก
พี่ใหญ่ไปเป็นทหารได้เพราะอาเขยจื่ออันช่วย เป็นไปได้ด้วยหรือที่เรื่องของเธอยังไปขอความช่วยเหลือจากอาเขยได้อีกน่ะ?
เธอไม่อยากให้แม่ไปอ้อนวอนใครเพื่อเธอ
ถ้าจะแค้นก็แค้นพ่อ เขาเป็นคนเดียวที่สร้างปัญหาแล้วยังเอาพวกลูก ๆ ไปเกี่ยวด้วยอีก
“พี่เสี่ยวเหมย มหาวิทยาลัยกรรมกรฯ ไม่ดีหรอกค่ะ พี่ต้องตั้งใจเรียนนะ แล้วกลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยด้วยความสามารถของพี่เอง”
ซูเสี่ยวเถียนเดินไปจับมือพี่สาวแล้วพูด
“เด็กคนนี้ เพ้อฝันอีกแล้ว” เหลียงซิ่วตำหนิ เสี่ยวเถียนพูดแบบนี้กับคนที่บ้านเสมอ ถ้าพูดที่บ้านก็ว่าไปอย่าง แต่ทำไมถึงออกมาพูดข้างนอกด้วยเล่า?
“น้องหมายถึง?” ดวงตาของซูเสี่ยวเหมยเริ่มมีประกาย
ซูเสี่ยวเถียนเป็นคนเดียวในชุมชนการผลิตที่สนิทกับผู้เฒ่าฉือและผู้เฒ่าตู้ที่สุด แถมยังเคยไปตัวเมืองด้วย อาจจะต้องได้ยินข่าวคราวอะไรแน่ ๆ
จากมุมมองของเสี่ยวเหมยแล้ว เสี่ยวเถียนไม่ใช่คนพูดลอย ๆ ถ้าพูดแล้วต้องมีสาเหตุแน่
ซูเสี่ยวเถียนมองด้วยความสับสนด้วยแววตากลมโต “หนูก็ไม่รู้ค่ะ แค่คิดอย่างนั้นจริง ๆ ได้ยินคนบอกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยต้องจะพึ่งพาความสามารถของตัวเองในการสอบ หลังจากนี้ก็น่าจะเหมือนกันใช่ไหมคะ?”
ซูเสี่ยวเหมยรู้สึกหดหู่อยู่ครู่หนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็คิดว่าสิ่งที่น้องสาวพูดนั้นถูกต้อง จึงมีความสุขอีกครั้ง
“น้องพูดถูกแล้ว ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะต้องตั้งใจสอบเอง ไม่ต้องพึ่งพาคนแนะนำ”
ถึงโอกาสแบบนี้จะมีอยู่น้อยนิด แต่ซูเสี่ยวเหมยก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ
ข่าวเรื่องโรงงานขนมไข่จากอำเภอกำลังรับสมัครคนงานจากหงซินหลายอัตราแพร่ไปอย่างรวดเร็ว
อย่างที่เหลียงซิ่วคิดไว้ บรรยากาศสามัคคีในชุมชนหายไปแล้ว ทุกคนจ้องจะคว้าตำแหน่งนี้ทั้งแบบเปิดเผยและลับหลัง
ซูฉางจิ่วก็กังวลกับเรื่องนี้เหมือนกัน
เป็นเรื่องดีที่โรงงานขนมไข่รับสมัครคนงานของหงซิน แต่คงแย่หากความสามัคคีปรองดองในชุมชนการผลิตถูกทำลายลง
หลังจากขบคิดแล้ว เขาตัดสินใจให้มีการสอบสองรอบสำหรับตำแหน่งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งกัน
รอบแรกทำข้อสอบวิชาวัฒนธรรม
ส่วนรอบสองเป็นแข่งขันทำอาหาร
ถึงจะทุกคนจะแปลกใจที่ทำไมต้องทดสอบทักษะการทำอาหาร ทั้ง ๆ ที่ไปเป็นคนงาน แต่เพราะหัวหน้าบอกไว้แบบนี้ คิดว่าจะต้องมีเหตุผลแน่นอน
จากนั้นก็มีคนพูดว่า ถึงจะเป็นโรงงานขนมไข่ แต่ถ้าให้ทำอาหารก็ไม่แปลกใจเท่าไร
ถ้าทุกคนสามารถแยกความแตกต่างของเครื่องปรุงรสได้ ถึงตอนนั้นดันทำขนมไข่รสเค็มออกมาก็ไม่ใช่เรื่องตลกใช่ไหม?
เพราะมีการสอบสองรอบ เลยทำให้คนส่วนใหญ่ท้อใจ
อย่างไรก็ตาม สมาชิกชุมชนบางคนยังคงเอะอะโวยวายว่า เด็กที่บ้านอายุเหมาะตามเกณฑ์นะ แต่แค่ไม่ได้เรียนหนังสือเท่านั้นเอง
“หัวหน้า แบบนี้ไม่ถูกต้องนะ ไปเป็นคนงานโรงงานขนมไข่ ไม่ได้ไปเป็นครูสักหน่อย อ่านออกเขียนได้จะไปมีประโยชน์อะไร” ผู้หญิงคนหนึ่งขวางซูฉางจิ่วไว้ที่ถนนหลัก พูดจาเป็นมะนาวไม่มีน้ำ
“ไม่ใช่เพราะเสี่ยวเฉ่าบ้านคุณเรียนมาสินะ ถึงได้ตั้งกฎแบบนี้ออกมาน่ะ?” ผู้หญิงคนนั้นมองหัวจรดเท้าอยู่หลายรอบพลางพูดจามุ่งร้ายมาก
นี่คือผู้หญิงวัยสี่สิบปี มีลูกสามคน และทุกคนมีอายุเหมาะสำหรับการไปเป็นคนงานด้วย เธอต้องคิดหาโอกาสนี้
แต่ลูกทั้งสามไม่มีโอกาสได้รู้หนังสือเลย
จินตนาการความผิดหวังได้เลย ทั้งไม่อยากจะละทิ้งโอกาสแบบนี้ด้วย จึงขวางอีกฝ่ายไว้
ช่วงปีแรก บ้านพวกเขาคิดว่าหากเด็ก ๆ เรียนหนังสือจะทำให้ได้คะแนนการทำงานช้า
ดังนั้นทุกคนก็เลยลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่สอง เพื่อมาทำงานรับคะแนนการทำงานแทน
ถ้าต้องสอบ แบบนี้ต้องเสียเปรียบแน่เลย!
ซูฉางจิ่วพูดอย่างเย็นชา “นี่ไม่ใช่คำขอของผม แต่เป็นของผู้อำนวยการหลี่”
“ทำไมผู้อำนวยการหลี่ถึงขอแบบนั้น?” เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นไม่เชื่อ
“ผู้อำนวยการหลี่บอกว่ามาเป็นคนงานจะไม่รู้หนังสือไม่ได้! สะใภ้ฉางกุ้ย การจะเป็นคนงานในเมืองเนี่ย คุณเคยเห็นคนเมืองเขาอ่านไม่ออกกันด้วยหรือ?”
ประโยคเดียวทำเธอเงียบไปในทันที อย่างที่ว่านั่นแหละ ไปเป็นคนงานก็คือเป็นคนเมือง
คนเมืองต้องอ่านออกเขียนได้สิ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าเป็นคำขอของผู้อำนวยการหลี่ เธอรู้ว่าไม่สามารถพูดอะไรไปได้มากกว่านี้
ซูฉางจิ่วไม่ได้ตั้งใจจะให้คำพูดมันเบาลง จึงว่าขึ้นอีก “ผมบอกไปตั้งนานแล้วว่าให้ส่งลูกเรียนหนังสือ แต่พวกคุณก็ไม่ฟัง แล้วตอนนี้มานึกเสียใจทีหลัง?”
ประโยคนี้ทำเอาคนในชุมชนหน้าเสีย เมื่อก่อนไม่คิดว่าเรียนหนังสือมันจะไปมีประโยชน์อะไรนี่?
ไม่ใช่แค่เมื่อก่อนด้วย หลายปีมานี้ก็ยังคิดเหมือนเดิม
แก้ไขปัญหาแรกได้ ปัญญหาที่สองก็ตามมาติด ๆ
ในชุมชนการผลิตมียุวชนหกคน เดิมซูฉางจิ่วไม่คิดจะให้พวกเขาเข้าร่วมการทดสอบนี้
แต่คนพวกนี้ดันมาหาถึงบ้าน
โอกาสที่จะได้ทำงาน ทุกคนรู้ว่ามันหายากขนาดไหน และแน่นอนว่าจะไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปแน่นอน
แถมยังมีการสอบวิชาวัฒนธรรมอีก พวกเขาเคยเรียนมาหมดแล้ว โอกาสยิ่งสูง
พอพวกยุวชนร้องขอ สมาชิกเราก็ไม่เห็นด้วย
ถึงจะอาศัยอยู่ในชุมชนการผลิตหงซินด้วยกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกคนในชุมชนการผลิตมักรู้ว่าพวกยุวชนไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเรา
พวกเขาคิดว่า พวกยุวชนที่มาจากเมืองเพื่อสนับสนุนชาวชนบท แล้วจะมาแย่งตำแหน่งคนงานของพวกเราได้อย่างไร?
ถ้าต้องยกตำแหน่งงานให้พวกเขา แล้วจะมาสนับสนุนชนบทอย่างไรกันล่ะ?
ครู่เดียวก็มีทางตันอีกแล้ว
สุดท้าย ซูฉางจิ่วจึงเรียกพวกเจ้าหน้าที่มาประชุมกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด
ผลสรุปสุดท้ายคือ พวกยุวชนไม่สามารถเข้าร่วมการสอบรับสมัครได้ เรื่องนี้จะทำให้พวกเขากลับไปเมืองแน่นอน ซึ่งเบื้องบนดูเหมือนจะไม่มีนโยบายให้สนับสนุนการหางาน
พวกยุวชนที่แต่งงานกับชายหนุ่มหญิงสาวในชุมชนการผลิตของเรามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป ความเป็นไปได้ที่ชีวิตนี้จะได้กลับเมืองมีน้อยมาก แล้วจะมากีดกันพวกเขาออกไปได้อย่างไร?
คนพวกนี้เสี่ยวเถียนจำได้ว่าในชาติก่อนนั้น อีกไม่กี่ปีให้หลังตอนที่พวกยุวชนกลับเมืองไป บางคนถึงกับออกจากบ้านออกจากงานด้วยซ้ำ แม้แต่ลูก ๆ ยังไม่ให้กลับไปด้วยเลย
แต่เธอพูดไม่ได้ ดังนั้นจึงทำอุบายลับ ๆ หลังจากนั้นซูฉางจิ่วก็ใช้วิธีที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ทำให้คนพวกนี้สูญเสียโอกาสในการหางานด้วย
พอจัดการเรื่องราวเสร็จ หัวหน้าซูกลัวค่ำคืนที่แสนยาวนานนี้เหลือเกิน เขาจึงไปถึงชุมชนใหญ่เพื่อโทรหาผู้อำนวยการหลี่ แล้วกำหนดเวลาเพื่อเริ่มการสอบวิชาวัฒนธรรม
ตอนนั้นเองที่บ้านซูยังจัดประชุมครอบครัวด้วย หัวข้อหลักคือจะให้หลานคนโตและคนรองเข้าร่วมการสมัครงานเป็นคนงานโรงงานขนมไข่
คุณปู่คุณย่าซูคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีเช่นกัน แต่ซูเสี่ยวเถียนบอกว่าถ้าไปเป็นคนงาน จะทำให้อนาคตพวกพี่ ๆ ล่าช้า
เดิมที่คุณย่าก็ฟังคำหลานสาวผู้เป็นที่โปรดปรานของราชามังกร แต่หลังจากได้ยินประโยคนี้ก็หวั่นใจ
ใครจะรู้ว่าทั้งซูโส่วเวินและซูซื่อเลี่ยงต่างบอกว่าไม่ยินดีจะเข้าร่วมรับสมัครงาน ทั้งยังบอกอีกว่าคนงานส่วนใหญ่ต้องเป็นผู้หญิงแน่ ๆ แต่พวกเขาเป็นชายหนุ่ม จะไปทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?
ดังนั้นพวกผู้อาวุโสในบ้านจึงไม่เห็นด้วยมาก ๆ แต่พวกเราเป็นครอบครัวที่มีความเป็นประชาธิปไตยมาก พอหลานทั้งสองไม่เห็นด้วย คุณปู่คุณย่าก็ยินดีจะรับฟังความคิดเห็นพวกเขา
สี่สิบเจ็ดคนที่เข้าร่วมการสอบวิชาวัฒนธรรมในรอบแรก ซึ่งมีอายุตั้งแต่สิบหกปีถึงสามสิบสองปีไม่เกินจากนี้
ในบรรดาคนเหล่านี้ มีผู้ชายยี่สิบเจ็ดคน และผู้หญิงยี่สิบคน
เดิมทีการทดสอบนี้กำหนดให้จัดขึ้นในห้องเรียนของโรงเรียน แต่เนื่องจากมีคนมากกว่าสี่สิบคน ห้องเรียนหนึ่งไม่สามารถรองรับได้ เลยจัดที่สนามกีฬาแทน
เดือนสิบสองของฤดูหนาว อากาศหนาวเย็น แต่มีหลายคนที่เลือกจะยืนดูที่นี่
มีโต๊ะมากกว่าสี่สิบตัวในสนามกว้าง และคนมากกว่าสี่สิบคนก็หยิบกระดาษทดสอบขึ้นมาวางไว้เพื่อเตรียมตัวสอบ
ตอนนั้นเองที่ทุกคนประหลาดใจว่า ซูเสี่ยวเฉ่า ซูเสี่ยวเหมย และพวกเด็กบ้านซูกลับไม่ได้อยู่ในหมู่คนพวกนี้
และมันทำให้พวกเขาประหลาดใจมาก
ใคร ๆ ก็รู้ว่าเด็กพวกนี้เป็นผู้สมัครที่เหมาะที่สุด
และยิ่งกว่านั้นคือ พวกเด็ก ๆ บ้านซูไม่มีใครเข้าร่วมเลย แต่เป็นสะใภทั้งสองคนของพวกเขาแทน
“นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? ฉีเหลียงอิงกับเหลียงซิ่วเข้าร่วมการสอบได้อย่างไรเนี่ย? พวกเขารู้หนังสือด้วยหรือ?” สมาชิกบางคนอดไม่ได้ที่จะถาม
“ไม่รู้สิ บ้านซูแปลกจริง ๆ นั่นแหละ โส่วเวินเอย ซื่อเลี่ยงเอยก็เข้าร่วมสอบได้ แต่ทำไมไม่เข้าร่วมนะ ดันให้สะใภ้มาแทน?”
พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าการประชุมครอบครัวเราตัดสินใจในเรื่องนี้
หลังจากที่หลานชายทั้งสองไม่เต็มใจจะเป็นคนงาน ฉีเหลียงอิงเสนอมาว่าอายุของตัวเองเหมาะกับความต้องการพอดี เลยคิดจะลองสอบดู
ฉีเหลียงอิงอายุสามสิบสองในปีนี้ ทันเวลารถบริษัทเที่ยวสุดท้ายพอดี
ทีแรกคุณปู่คุณย่าซูไม่เห็นด้วย แต่ไม่คิดว่าเสี่ยวเถียนกลับบอกว่า อยากสอบก็ลองไปสอบเลย แถมยังพูดอีกว่าแม่ของเธอก็ไปได้นะ
ตอนนั้นคุณย่าซูพูดอะไรไม่ออก
“แม่จะไปได้อย่างไร? ไม่ได้เรียนหนังสือนะ แค่ไปเข้าร่วมชั้นเรียนเอง” เหลียงซิ่วรีบโบกปัด
แต่เสี่ยวเถียนรู้ว่าคนในบ้านเรียนหนักมามากกว่าหนึ่งปีแล้ว และมีความก้าวหน้ามาก บางทีอาจจะดีกว่าคนที่ไปโรงเรียนเสียอีก
“แม่ แม่ไปเป็นเพื่อนแม่รองก็ได้ อาจจะสอบผ่านก็ได้นะ?”
หลังจากที่ระดมกำลัง ในที่สุดเหลียงซิ่วก็ยอมตกลง
“งั้นแม่จะลองไปสอบดูแล้วกัน แค่กังวลว่าถ้าสอบไม่ผ่านแล้วโดนเยาะเย้ยขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
“มีคนเข้าร่วมการสอบตั้งหลายคน ถึงตอนนั้นก็คงมีคนสอบไม่ผ่านเยอะอยู่เหมือนกันค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่าการได้ลองถือเป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่ง
“งั้นไปลองดูก็ได้ ถ้าสอบได้ก็นับว่ามีควันเขียวผุดขึ้นจากหลุมฝั่งศพของบรรพบุรุษก็แล้วกัน!” คุณปู่ซูสรุปเรื่องราวในที่สุด เขาคิดในใจว่า ‘ต่อให้ได้ดี ก็มีคนเหน็บแนมอยู่ดี’
ด้วยเหตุนี้ ลูกสะใภ้ทั้งสองของบ้านเลยเข้าร่วมการสอบ
พวกสมาชิกที่ดูอยู่รอบ ๆ พบว่าคนทั้งสองทำข้อสอบเร็วมาก หรือว่าจะอ่านออกเขียนได้จริง ๆ?
เป็นไปได้อย่างไรกัน? เห็นกันชัด ๆ ว่าไม่กี่ปีมานี้ ทั้งสองคนเขียนชื่อตัวเองยังไม่ได้ด้วยซ้ำ!
ตอนนั้นเองที่มีคนหนึ่งพุ่งเข้ามาในสนามเพื่อขอเข้าร่วมการสอบด้วย