บทที่ 183 ยอมพ่ายแพ้
บทที่ 183 ยอมพ่ายแพ้
ในไม่ช้า สมาชิกที่เหลือของบ้านหลักตระกูลซูก็มาถึง ผู้ชายบ้านตระกูลซูล้วนรูปร่างสูงใหญ่กำยำ
พอมายืนขนาบข้างกับคนบ้านเหลียงแล้วราวกับพวกเขากำลังโดนข่มเหง
ครั้นเห็นพ่อตากับพวกพี่ของภรรยาบุกเข้ามาหากันอย่างดุดัน ซูเหล่าซานอดขมวดคิ้วไม่ได้
ทั้งยังเห็นภรรยายืนร้องไห้เสียใจอยู่ข้าง ๆ เขายิ่งรู้สึกไม่ชอบใจ และรังเกียจพ่อตากับพี่ภรรยายิ่งขึ้นไปอีก
เขารู้มาตลอดว่าเธอไม่เคยได้รับความสนใจจากคนในบ้านตระกูลเหลียง มิหนำซ้ำยังโดนรังแกอีกด้วย
แต่เพราะพวกเขาเป็นพ่อแม่ของเหลียงซิ่ว หลายปีมานี้จึงไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมามากนัก
ใครจะรู้เล่าว่าพวกเขาจะมาสร้างปัญหาถึงที่บ้านเช่นนี้
ทำไมไม่คิดสักหน่อยว่ามาสร้างความปัญหาแบบนี้ จะทำให้ลูกสาวอึดอัดใจแค่ไหน?
ซูเหล่าซานเป็นผู้ชายรักภรรยา และสายตาที่มองครอบครัวพ่อตาดูย่ำแย่สุด ๆ
พ่อเฒ่าเหลียงไม่รู้ว่าลูกเขยมีความคิดคัดค้านอยู่ จึงคิดพูดบางอย่างต่อ
ทว่าบังเอิญเหลือบไปเห็นใบหน้าดำทะมึนของอีกฝ่ายพอดี
จากนั้นก็มองรูปร่างสูงใหญ่และกำยำท่าทางเหมือนจะกินคน พลันจึงเกิดความกลัวขึ้นมา
พอได้เผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่แท้จริง คนบ้านเหลียงจึงไม่กล้าสร้างปัญหาอีกต่อไป
พ่อเฒ่าเหลียงรู้สึกเสียใจ และเริ่มไตร่ตรองว่าตัวเองคิดจะทำอะไรกันแน่? ถึงได้พาคนมาสร้างความวุ่นวายที่บ้านซู?
บ้านตระกูลซูเป็นคนอย่างไรเขาลืมไปหมดแล้วหรือ?
จากนั้นก็มองสมาชิกหงซินที่กำลังช่วยเหลือบ้านซู มีบางส่วนที่คอยมองดูอย่างกระตือรือร้น
ราวกับว่าแค่พูดจาไม่น่าฟังออกมาเพียงประโยคเดียว พวกเขาก็พร้อมจะพุ่งเข้ามารุมตนเอง จนสุดท้ายก็ต้องล่าถอยไป
“ลูกสาว พวกเราไม่อยากมาเสียเที่ยว ฉันคิดว่าในเมื่อเธอมีชีวิตที่ดีแล้ว ฉันก็ไม่อยากได้อะไรมาก แค่เงินห้าหยวนกับตั๋วธัญพืชสิบจินต่อเดือนก็พอ”
พ่อเฒ่าเหลียงเองก็ไม่เต็มใจทิ้งโอกาส จึงยังพยายามสู้เป็นครั้งสุดท้าย
“แต่ตอนแรกบ้านเรามอบสินสอดให้เจ็บสิบหยวน แล้วก็ยังมีธัญพืชอีกร้อยจินเลยนะ”
เดิมทีคุณย่าซูไม่อยากพูดเรื่องนี้เพื่อไม่ให้กระทบกระทั่งลูกสะใภ้ แต่ครอบครัวเหลียงไร้เหตุผลเกินไป ทำให้เธอทนไม่ไหวจนต้องพูดออกมา
ตามกฎของครอบครัวชาวนา พอให้สินสอดเจ้าสาวแล้ว ถึงบ้านฝ่ายหญิงจะเก็บไว้ส่วนหนึ่ง แต่ทั้งหมดก็จะนำไปเป็นเงินแต่งเข้าหอ นอกจากนี้ก็ยังมอบกลับคืนให้บ้านฝ่ายชายเพื่อเป็น ‘เงินลูกหลาน’
แต่บ้านตระกูลเหลียงกลับให้คืนบ้านหลักตระกูลซูมาแค่สองเหมา
เพราะแบบนี้ ตอนแรกสุดที่คุณย่าซูเห็นเหลียงซิ่วถึงได้ไม่พอใจ
หากไม่ใช่เพราะเหลียงซิ่วขยันขันแข็นและอดทนบากบั่นก็คงถูกแม่สามีไม่ชอบหน้าไปแล้ว และถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังปั้นหน้ายิ้ม และความสัมพันธ์ของเราสองคนคงไม่มาถึงจุดนี้หรอก
พอคุณย่าซูพูดขึ้นมา สมาชิกหงซินจำนวนไม่น้อยไม่น้อยก็เหมือนจะนึกขึ้นมาได้
“ฉันก็จำได้นะ ตอนที่เหลียงซิ่วแต่งเข้าบ้านครั้งแรก มาแค่ตัวเปล่าจริง ๆ แม้แต่เสื้อผ้ายังไม่มีสักชุดเลย”
ยายฉางจำเรื่องนี้ได้ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “ไอ๊หยา เหลียงซิ่วลูกสาวคนนี้น่าสงสารเสียจริง ตอนมาแต่งงานเข้าบ้านก็ใส่แต่ชุดเสื้อผ้าขาดวิ่น บ้านเหลียงมันคงไม่อยากได้หน้าแล้วกระมัง!”
ที่จำได้แม่นเพราะเอาเรื่องนี้มาพูดเป็นเรื่องตลก หัวเราะเยาะบ้านซูอยู่นาน
ต่อมาเหลียงซิ่วก็ให้กำเนิดลูกชายสองคน และลูกสาวที่บ้านซูตั้งตารอคอยมานาน ยายฉางถึงค่อย ๆ หยุดพูดถึงเรื่องนี้
และความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองบ้านก็ดูเหมือนจะแย่ลงเพราะเหตุนี้
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? พ่อของฉันก็เป็นคนขี้เหนียว ตอนแรกยังให้ฉันเอาเสื้อผ้าที่บ้านแม่มาด้วยเลย!” จู่ ๆ ก็มีสะใภ้สาวคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างอารมณ์เสีย
เรื่องราวบนโลกใบนี้ทำให้กลัวการเปรียบเทียบไปเลย เธอยังเคยคิดว่าพ่อแม่ทำเกินไป แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าพ่อแม่ของเธอดีมากเหมือนเทียบกับพ่อแม่เหลียงซิ่ว!
“โลกใบนี้กว้างใหญ่นัก ไม่ว่าคนประเภทไหนก็มีหมด พ่อแม่บางคนก็ห่วงใยลูก แต่บางคนไม่สนใจเลย”
มีคนพูดขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง ทั้งตอนที่ปริปากพูดยังตวัดสายตาไปมองบ้านเหลียง
แต่คนบ้านนี้มันหน้าด้านอยู่แล้ว ถึงจะโดนคนพูดจาถากถางก็ไม่สนใจใยดีหรอก
“จากที่คุณพูดคือ ฉันว่าสามีภรรยาเหลียงก็ไม่เหมือนคนดีอะไรขนาดนั้น เหลียงซิ่วชีวิตขมขื่นจริง ๆ!”
“ไม่ขมขื่นหรอก ตอนนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง? วาสนาตอนเด็กไม่นับว่ามี แต่เรื่องราวหลังจากนั้นต่างหากจึงจะเรียกว่าวาสนาที่แท้จริง!”
สมาชิกหงซินกำลังซุบซิบนินทา ดูเหมือนจะควบคุมกันไม่ได้เลย สุดท้ายคนบ้านเหลียงก็ทนไม่ไหว
“พวกเรากลับบ้าน!” พ่อเฒ่าเหลียงกล่าว
คนบ้านซูเฝ้ามองพวกบ้านเหลียงจากไปโดยไม่มีใครพูดอะไร
ถึงพวกเขาจะไปแล้ว แต่อารมณ์ของเหลียงซิ่วไม่ได้ดีขึ้นเลย เธอมองถนนไร้เงาด้วยตาแดงก่ำ โดยไม่อาจคาดเดาได้ว่าเธอกำลังคิดสิ่งใดอยู่
“เหล่าซาน ไปปลอบภรรยาหน่อยเถอะ ไม่มีอะไรแล้วล่ะ!” คุณย่าซูพูดอย่างใจกว้าง
ซูเหล่าซานเอื้อมมือออกไปตบไหล่ของภรรยาเบา ๆ “เธอแต่งงานเข้าบ้านเราแล้วนะ ฝั่งนั้นจะสบายดีหรือเปล่าไม่ต้องไปใส่ใจมากหรอก”
ฟังคำปลอบโยนเงอะงะของสามี เธอก็เช็ดน้ำตาก่อนจะกล่าว “ฉันรู้ ร้องไห้ให้พวกเขาแค่ครั้งนี้เท่านั้น และต่อไปจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว”
ไม่คุ้มเลย!
ซูเสี่ยวเถียนยังออกไปปลอบโยนแม่เช่นกัน
ฉืออี้หย่วนตามไปด้วยอย่างไม่เกรงใจ
พอเห็นลูกสาวก็อารมณ์ดีขึ้นมาก
แต่พอเห็นเด็กหนุ่มกลับรู้สึกอึดอัด
เพราะเป็นเรื่องอื้อฉาวในบ้าน แต่กลับมีคนมากมายเห็นความเน่าเฟะนี้
“คุณป้าครับ คนเราต้องมองไปข้างหน้าเสมอ อาจจะยากที่จะไปถึง…”
ประโยคต่อมาเด็กหนุ่มไม่ได้พูดต่อ แต่เหลียงซิ่วเข้าใจ
ใช่แล้ว ถึงจะยาก แต่จะเทียบได้กับปู่สองท่านนั้นได้หรือเปล่า?
แม้แต่พวกเขายังมีชีวิตที่เข้มแข็งได้เลย เธออยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าอีก
“เด็กน้อยฉลาดจริง ๆ ป้าเข้าใจแล้วจ้ะ” เหลียงซิ่วยิ้มได้ในที่สุด
ซูเสี่ยวเถียนสงสัยว่า ทำไมการปลอบโยนของเธอถึงไม่ได้ผล แต่ฉืออี้หย่วนพูดเพียงครึ่งประโยค แม่ก็มีความสุขขึ้นมาเลย
ตอนที่เหลียงซิ่วยิ้มและกล่าวขอบคุณ เธอบังเอิญเหลือบไปเห็นเสื้อเด็กหนุ่มที่โดนซูเสี่ยวฉินฉีกขาด
“ทำไมแขนเสื้อขาดล่ะ เดี๋ยวป้าจะซ่อมให้นะ!”
เหลียงซิ่วในตอนนี้เต็มไปความรักของคนเป็นแม่ ที่คอกวัวแม้แต่เด็กผู้หญิงในบ้านยังไม่มีเลย น่าสงสารเสียจริง
“คุณป้า เดี๋ยวผมกลับไปซ่อมเองครับ!” เด็กชายพูดอย่างอาย ๆ
เพราะทั้งหมดที่มีคือเสื้อบุนวมตัวนี้ อันที่จริงเขาอายมากที่จะต้องถอดมาให้คนอื่นซ่อมมัน
“เสี่ยวอู่มีเสื้อบุนวมอีกตัวไว้เปลี่ยน แต่ตัวมันเล็กเกินไป ป้าว่าเธอน่าจะใส่ได้ ลองเอาไปใส่ดูสิ”
เหลียงซิ่วมองเห็นถึงความลำบากใจของเด็กหนุ่ม
“เก็บไว้ให้เสี่ยวปาเถอะครับ!” ฉืออี้หย่วนรีบปฏิเสธ
“เสี่ยวปายังใส่ไม่ได้” เหลียงซิ่วยืนกราน
ซูเสี่ยวเถียนก็สงสัยเช่นกัน ทำไมเสื้อผ้าของพี่อี้หย่วนถึงขาดวิ่นแบบนี้?
“พี่อี้หย่วน เสื้อผ้าของพี่ไม่เรียบร้อยเลยค่ะ เปลี่ยนก่อนนะคะ!” ซูเสี่ยวเถียนช่วยเกลี้ยกล่อมด้วย
พอได้ยินที่น้องสาวพูด ซูซื่อเลี่ยงก็โกรธมาก น้องเล็กโง่เขลา คิดอะไรอยู่เนี่ย?
ไม่เห็นหรือไงว่าคนตรงหน้ามีเจตนาอย่างไร?
แม่สามก็จริง ๆ เลย คนเขาจำผักกาดกวางตุ้งลูกฉ่ำบ้านเราได้นะ แถมเรายังเป็นเจ้าภาพอีก!
ทั้งซ่อมเสื้อผ้า ทั้งให้เสื้อผ้าเลย!
ต้องบอกเลยว่า ถึงภายนอกซูซื่อเลี่ยงจะดูไม่ใส่ใจ แต่จริง ๆ เป็นเด็กที่บอบบางและอ่อนไหวมาก
เรื่องคิดเล็กคิดน้อยในใจของฉืออี้หย่วน แม้กระทั่งตัวเองยังไม่เข้าใจ แต่ซูซื่อเลี่ยงเข้าใจได้!
สุดท้ายเจ้าตัวก็เดินออกไปด้วยความโมโห อยากจะเห็นอะไรอีก
กว่าฉีเหลียงอิงจะกลับมาก็บ่ายแล้ว ใบหน้าของเธอยิ้มแย้ม เห็นได้ชัดว่าวันนี้มีความสุขมาก
แต่ก็ต้องประหลาดใจที่เมื่อพบกับบรรยากาศในบ้านที่ดูอึมครึม
ฉีเหลียงอิงเป็นคนที่ระมัดระวังและคำนึงถึงผู้อื่นอยู่เสมอ
เธอถามสามีด้วยความสงสัย แล้วก็พบว่าครอบครัวของสะใภ้สามมาสร้างความวุ่นวายที่บ้าน
หลังจากฟังจบก็อดถอดถอนใจไม่ได้ “ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น!”
วันนี้ที่กลับบ้านไป พ่อแม่ก็รู้ว่าเธอทำงานในเมือง และทุก ๆ เดือนยังได้ทั้งเงินทั้งตั๋วด้วย เป็นสิ่งที่ดีมาก
ทั้งพ่อแม่และพวกพี่ชายพี่สะใภ้ยังพูดแต่เรื่องดี ๆ เยอะแยะไปหมด ตอนกลับมายังเอาของบนเขามาให้ตั้งมากอีก
ถึงบ้านจะไม่ขาดของบนเขา แต่มันเป็นความตั้งใจของพวกเขา และฉีเหลียงอิงก็มีความสุขมาก
“เธอก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไป อย่าไปพูดสะกิดใจพวกน้องสามล่ะ!” ซูเหล่าเอ้อร์เตือนให้ภรรยาระวัง
ฉีเหลียงอิงกลอก “ฉันรู้แล้ว ยังต้องให้คุณพูดอีกหรือไง!”
มนุษย์เรากลัวการเปรียบเทียบ แม้ว่าที่ผ่านมาเธอจะยังบ่นอยู่บ้างเรื่องที่พ่อและแม่เย็นชา แต่ตอนนี้มันได้หายไปหมดแล้ว
ทั้งยังคิดว่า ในอนาคตจะกตัญญูต่อพ่อแม่ด้วย