บทที่ 322 ร้านอาหารส่วนตัว
บทที่ 322 ร้านอาหารส่วนตัว
พวกเสี่ยวเถียนกลัวว่าผู้อาวุโสทั้งสองของบ้านจะไม่สบายใจพอทราบข่าวลูกชาย จึงคิดหาวิธีทำให้พวกเขารู้สึกสนุกสนาน
ซูเสี่ยวเถียนเป็นเด็กฉลาด ภายใต้การจัดการของเธอทำให้ปู่กับย่าอารมณ์ดีขึ้น
พวกเขายังทำข้อตกลงกันอีกว่า หากฮั่วซิวเฉิงมีเวลาก็ให้พาพ่อกับแม่มาเมืองหลวงบ้าง
เหตุผลที่ฮั่วซิวเฉิงเป็นทหารเพราะได้ยินเรื่องราวของตู้เสิ้งลี่จากพ่อแม่ที่พูดกรอกหูอยู่ตลอดเวลา
เพราะอย่างนั้นความรู้สึกในใจเขาที่มีแต่สองสามีภรรยาตู้จึงไม่เหมือนคนอื่น
บอกได้ว่าในใจเขา เขาถือว่าคนทั้งสองเปรียบเสมือนญาติแท้ ๆ ของตัวเอง
แม้ทั้งสามคนจะไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือด แต่เข้ากันได้ดีเหมือนเป็นสมาชิกบ้านเดียวกันเลย
แม้แต่ตู้ถงเหอก็ยังไม่คิดเลยว่าพวกเขาสองคนตายายที่แสนโดดเดี่ยวจะมีวันที่ลูกหลานอยู่เต็มบ้านไปหมด
เย็นวันนั้นเสี่ยวเหมยมาหา สิ่งที่เห็นคือฉากอันมีความสุข
เสี่ยวเหมยประหลาดใจมาก
การที่สองสามีภรรยาตู้เข้ากับหลานบ้านซูได้ดีมาก เรื่องนี้เธอรับรู้มาตั้งนานแล้ว
แต่ฮั่วซิวเฉิงเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่บังเอิญเจอกันบนรถไฟ ทำไมถึงสนิทสนมกลมกลืนกันเช่นนี้?
เธอมีความรู้สึกที่ว่า นี่แหละคือความรู้สึกของครอบครัว
ตกดึก เด็กสาวทั้งสองนอนเล่นอยู่บนเตียง เสี่ยวเถียนเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้พี่สาวฟัง
หลังจากได้ยินเรื่องราวเมื่อสามสิบปีก่อน เสี่ยวเหมยก็ประทับใจมาก
“เสี่ยวเถียน เธอว่าลุงตู้ที่อยู่โลกหลังความตายจะคิดถึงพ่อแม่หรือเปล่า?”
เสี่ยวเถียนไม่รู้จะพูดอย่างไร
หากเป็นก่อนหน้านี้เธอคงยืนกรานว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโลกหลังความตายหรอก ไม่มีวิญญาณในโลกใบนี้ด้วย
แต่หลังจากเกิดใหม่ เธอกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ จริง ๆ แล้วโลกใบนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนมากกว่า
คนแปลกหน้าที่เจอกันครั้งแรกบนรถไฟ จากนั้นก็ได้มากินข้าวด้วยกัน ถ้าไม่ใช่พรหมลิขิตแล้วมันคืออะไร?
บางทีเด็กบ้านซูอาจเป็นตัวกลางที่ทำให้คนที่แต่งงานกันมาเมื่อสามสิบปีก่อนได้กลับมาพบกัน
เย็นวันนี้ ฮั่วซิวเฉิงเองก็ตื่นเต้นมากเหมือนกัน
สวรรค์คงรู้ดีว่าเขาตามหาครอบครัวของลุงตู้มาหลายปี เรียกได้ว่าตั้งแต่เป็นทหารเลยก็ว่าได้
หากแต่ไม่เคยมีข่าวคราวเลย
ทว่าตอนนี้กลับได้พบกัน ในที่สุดก็เติมเต็มสิ่งที่คิดมาหลายปีได้เสียที
หลังจากที่รู้ว่าผู้อาวุโสทั้งสองต้องทนทุกข์ทรมานมาตลอดหลายปี เขายิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากกว่าเดิมอีก ทั้งยังมั่นใจในความคิดตนเองที่จะดูแลคนทั้งสองให้ดียิ่งขึ้นนับจากนี้ไป
แต่การดูแลพวกเขาไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน สองวันนี้ที่อยู่เมืองหลวง เขาจะต้องแก้ปัญหาบ้านตู้เทียนเหอเสียก่อน
หลังจากฮั่วซิวเฉิงพักหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นก็บอกลา
ผู้อาวุโสทั้งสองอยากจะรั้งไว้ แต่ชายหนุ่มบอกมีธุระต้องไปจัดการ หมดวันพักผ่อนเมื่อไรจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อน
เขาทิ้งที่อยู่ไว้ให้ด้วย โดยบอกว่าจะส่งของมาคืน
สามีภรรยาตู้รู้ว่าตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ในกองทัพ จะจัดการธุระล่าช้าไม่ได้ เพราะงั้นถึงไม่เต็มใจที่จะแยกทาง แต่ก็ยอมอำลาอย่างไม่เต็มใจ
ฮั่วซิวเฉิงเดินออกจากประตูใหญ่มาก็เห็นเสี่ยวเถียน เขายิ้ม “สาวน้อย คราวหน้าที่ฉันมา เธอต้องให้เนื้อผัดซอสฉันโหลนึงด้วยนะ”
อารมณ์ที่ไม่มั่นคงของเสี่ยวเถียนหายวับไปทันทีเพราะประโยคนั้น
กินเอง จ่ายเอง ไม่หนีด้วย!
จู่ ๆ เสี่ยวเถียนก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เธอรีบวิ่งเข้าไปในบ้านก่อนตะโกนลั่น “พี่ฮั่ว รอก่อน!”
คนในบ้านกำลังมองดู และคิดว่าเสี่ยวเถียนดูแปลกมาก
“เสี่ยวเถียน ทำอะไรเนี่ย ทำไมรีบร้อนขนาดนั้น?” โส่วเวินถาม
“ตอนที่เรามา ย่าทำเนื้อผัดซอสมาเยอะเลย แกให้เราเอามาด้วย ผมลืมไปได้ยังไงเนี่ย?” เสี่ยวซื่อลูบหัว
ตอนมาถึงบ้าน โหลเนื้อผัดซอสยังอยู่ในถุงอยู่เลย และลืมเอามันออกมา
เสี่ยวเถียนคงคิดได้ เลยจะเอาไปให้ฮั่วซิวเฉิงแน่ ๆ
อย่างที่ว่า ในไม่ช้าก็เห็นเสี่ยวเถียนวิ่งออกมาพร้อมกับโหลเนื้อผัดซอส
“พี่ฮั่ว อันนี้ให้พี่ค่ะ!” เสี่ยวเถียนส่งโหลเนื้อผัดซอสให้ฮั่วซิวเฉิง
ฮั่วซิวเฉิงรู้สึกอายขึ้นมา
เขาเพียงแค่พูดหยอกล้อเฉย ๆ และตอนนี้สาวน้อยคนนั้นก็เอามาให้ตนเองจริง ๆ เลยรู้สึกละอายใจขึ้นมา
อีกอย่าง เธอยังเรียกเขาว่าพี่ชายด้วย ทำไมมันแปลกแบบนี้เนี่ย?
“เสี่ยวเถียน พวกเรามาปรึกษากันก่อนดีกว่านะ ไม่งั้นเรียกฉันว่าลุงฮั่วจะดีกว่าไหม!”
เขาอายุสามสิบปีกว่าแล้ว ทำไมมันน่าอายแบบนี้นะ
เสี่ยวเถียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ได้ค่ะ ลำดับผู้อาวุโสมันผิดนะ!”
ฮั่วซิวเฉิงสำลัก แล้วมันผิดตรงไหน?
ช่างเถอะ พี่ก็พี่ มีน้องสาวอายุไล่เลี่ยกับลูกชายก็ไม่ได้แย่เท่าไรหรอก!
“งั้นเนื้อผัดซอสโหลนี้ให้ฉันเอาไปเหรอ?” ชายหนุ่มมองมันอย่างมีความสุข
“อืม พี่เอาไปด้วยเถอะ ถ้าหนูกลับบ้านไปเมื่อไรจะให้ย่าทำให้พี่อีกหลาย ๆ โหลนะ”
คนที่เอาเนื้อผัดซอสมาให้เนี่ย เป็นคนที่น่ารักจริง ๆ!
ฮั่วซิวเฉิงไม่คิดว่าเรื่องดี ๆ แบบนี้จะเกิดขึ้นเลย จึงตอบตกลงทันที
ฮั่วซิวเฉิงถือโหลเนื้อผัดซอสแล้วเดินออกไปอย่างไม่เต็มใจ หลังจากที่เลี้ยวหัวโค้งไป ไม่ช้าก็มองไม่เห็นเงาของเขาแล้ว
ขณะที่ทุกคนกำลังเข้าบ้าน ครอบครัวเสิ่นจื่อเจินก็เข้ามา
“ผู้เฒ่าตู้ ออกมาทำอะไรกันแต่เช้าครับ? หรือรู้ว่าพวกเราจะมาเลยออกมารอกัน?”
เสิ่นจื่อเจินเห็นกลุ่มคนยืนอยู่ที่ประตูใหญ่จากไกล ๆ เขามองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นใครเลยจึงเอ่ยติดตลก
“ไปคุยกันในบ้านเถอะ” ตู้ถงเหอยิ้ม
พอเสิ่นจื่อเจินกับเถาฮวารู้ว่าผู้อาวุโสทั้งสองได้พบบ้านที่ตู้ฝูหลินหรือลูกชายของพวกเขาเคยไปอยู่แล้ว อีกทั้งชาวบ้านคนนั้นยังเป็นฮั่วซิวเฉิงที่พวกเสี่ยวเถียนเดินทางมาด้วยกันตลอดทางด้วย สองสามีภรรยาก็ประหลาดใจมาก
เสิ่นจื่อเจินมองผู้เฒ่าทั้งสองโดยไม่รู้ตัว เพราะกลัวว่าเหตุการณ์นี้จะกระตุ้นความเจ็บปวดในใจพวกเขา
“ไม่ต้องมองฉันหรอก เรื่องเกิดมาตั้งสามสิบกว่าปีแล้ว ถึงจะเศร้าแต่ก็มีขอบเขต จื่อเจินเอ้ย คุณคงไม่รู้หรอกว่าสิ่งเดียวที่เราสองคนคิดถึงก็คือลูกชายที่ตายไปแล้ว และคนที่เราคิดถึงก็ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้เลย แต่การได้พบกับสหายฮั่วเป็นสิ่งที่มีความสุขสำหรับเราสองคนมาก”
ตอนตู้ถงเหอพูด แววตาเต็มไปด้วยความซับซ้อน เต็มไปด้วยความเศร้า แต่ก็ดูโล่งอก
มันเหมือนกับว่าความอึดอัดที่อยู่ในใจหลายสิบปีได้ถูกปลดปล่อย
“วันหยุดครั้งหน้า ผมจะพาพวกคุณไปทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้นะ” เสิ่นจื่อเจินครุ่นคิดก่อนจะกล่าว
เขาเป็นอาจารย์และมีวันหยุดด้วย ซึ่งวันหยุดนี้พวกเสี่ยวเถียนก็มา แน่นอนว่าเรายังออกจากเมืองหลวงไม่ได้ เพราะงั้นวันหยุดครั้งหน้าจะหาเวลาไปฝั่งทางนั้นเพื่อชดเชยความเสียใจของผู้อาวุโสทั้งสองเอง!
“ได้เลย ๆ ไว้ว่าง ๆ ค่อยไปกันนะ” ตู้ถงเหอพูดอย่างซาบซึ้ง
ถึงชีวิตจะขมขื่น แต่บนโลกใบนี้ก็มีคนดีอีกมาก
พอเห็นว่าสามีภรรยาตู้อารมณ์ดี จื่อเจินโล่งใจขึ้นเยอะ
“งั้นพวกเราไม่ต้องอยู่บ้านแล้วกัน วันนี้เรามากันแต่เช้า พาเด็ก ๆ ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะหน่อยแล้วกัน” เถาฮวายิ้ม
“ถ้างั้นก็รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวอากาศร้อนขึ้นจะไม่สบายตัวเอา” อวี่รุ่ยหยวนเร่งเร้า
เสี่ยวเถียนเพิ่งมาได้ไม่กี่วันเดี๋ยวก็ต้องกลับแล้ว จะเสียเวลาไม่ได้
คนกลุ่มใหญ่มุ่งหน้าไปยังสวนสาธารณะอย่างเอิกเกริก
สวนสาธารณะอะไรนั่น เสี่ยวเถียนไม่ค่อยสนใจเท่าไร
สิ่งที่เธอต้องการมากกว่าคือการไปกับปู่ย่า และทำให้พวกเขาสบายใจ
ไม่ว่าพวกเขาจะแสดงท่าทีอย่างไร ข้างในใจก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี
ออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย จะต้องดีขึ้นแน่นอน!
ในไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงสวนสาธารณะเป๋ยไห่
ชีวิตครั้งก่อนเธอก็เคยมาเหมือนกัน และไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องผิดปกติอะไร แต่ทุกคนตื่นเต้นกันมาก เธอก็เลยตื่นเต้นเป็นเพื่อนด้วย
“พวกเราเดินเล่นกันก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมจองร้านไว้ให้นะครับ ใกล้ถึงเวลากินข้าวแล้วด้วย ตอนบ่ายค่อยไปเดินเล่นที่อื่น” จื่อเจินอธิบายแผนในวันนี้
“ร้านที่จื่อเจินจองต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ” ตู้ถงเหอยิ้ม
“ใช่ครับ มันเป็นร้านอาหารส่วนตัวที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน รับแขกเพียงสี่โต๊ะต่อวัน ตอนกลางวันสองโต๊ะ ตอนเย็นสองโต๊ะ ได้ยินว่าบรรพบุรุษของพ่อครัวติงเคยอยู่ในวังด้วย”
“นโยบายเปลี่ยนไปแล้วสินะ!”
“เปลี่ยนไปแล้วครับ ตอนนี้มีคนส่วนใหญ่ชอบร้านอาหารส่วนตัวไม่น้อยเลย ถ้าไม่ใช่เพราะมีเส้นสายก็คงจองไม่ได้หรอก
พอเสี่ยวเถียนได้ยินคำตอบก็รู้ว่าตอนนี้ในเมืองหลวงมีร้านอาหารส่วนตัวกันแล้ว
เมืองหลวงก็ยังคงเป็นเมืองหลวง การพัฒนาได้ก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็ว
เพราะบรรพบุรุษเคยเป็นพ่อครัวในวังมาก่อน พวกเขาจะต้องมีความสามารถแน่นอน และคนรุ่นหลังทั้งสองรุ่นก็ยังไม่เคยกินอาหารจากคนที่ทำงานในวังเลยด้วย
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราก็โชคดีแล้ว ลุงเสิ่น แต่อาหารร้านนั้นจะต้องราคาแพงใช่ไหมคะ?”
“ไม่ต้องใช้ตั๋วนะ แต่ราคาก็แพงจริง ๆ นั่นแหละ เงินเดือนเพียงเดือนเดียวยังไม่พอสำหรับสองมื้อเลย” เสิ่นจื่อเจินทำเสียงจุ๊ ๆ
เสิ่นจื่อเจินจัดการไว้แล้ว ตอนนี้เงินเดือนยังไม่เยอะ ทำงานเดือนเดียวได้ร้อยกว่าหยวน ไม่พอสำหรับอาหารสองมื้อ
ราคาสวรรค์วิมานอะไรเช่นนี้? แพงเกินไปไหม?
“ทำไมแพงจังครับ?” โส่วเวินว่า “ผมว่าอาหารที่โรงเรียนเราอร่อยและถูกด้วยนะ!”
น่าเสียดายที่ต้องเสียเงินมากมายไปกับมื้ออาหารเพียงมื้อเดียว
เงินเยอะขนาดนี้ เขากินข้าวได้สองเดือนเลยนะ
ทุกคนหัวเราะกับคำพูดนั้น
“อาหารของโรงเรียนพวกเธออร่อยที่สุดในเมืองหลวงแล้ว ราคาไม่สูงก็จริง แต่ไม่เหมือนกับร้านอาหารส่วนตัวหรอกนะ”
“ใช่ ไม่งั้นใครมาก็ต้องไปกินที่โรงอาหารแล้วสิ!” ซื่อเลี่ยงว่า
โส่วเวิน ซื่อเลี่ยง และซานกงเคยมาที่สวนสาธารณะเป๋ยไห่แล้ว แต่ไม่ได้สนใจมากนัก