บทที่ 332 ย้ายมาอยู่เมืองหลวง
บทที่ 332 ย้ายมาอยู่เมืองหลวง
เฉินจื่ออันตกใจมากเมื่อได้ยินว่าเสี่ยวเถียนอยากจะให้คนที่บ้านย้ายไปเริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ ที่เมืองหลวง
เขาแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
ที่น่าสงสัยยิ่งกว่าคือ สาวน้อยคนนี้รู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไรออกมา เฉินจื่ออันจ้องเสี่ยวเถียนอยู่นานด้วยแววตาที่แจ่มแจ้ง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา
ตามความเข้าใจของเขา เธอไม่ใช่คนประเภทที่มาใช้ชีวิตที่เมืองหลวงไม่กี่วัน และอิจฉาชีวิตคนที่นี่ เลยคิดอยากจะพาครอบครัวมาอยู่ที่นี่ด้วย
แต่เด็กคนนั้นกลับถามขึ้นมาอีกครั้ง
“เสี่ยวเถียน พูดจริงจังใช่ไหม?” หม่านซิ่วเป็นฝ่ายถามขึ้นมา
ซูหม่านซิ่วขมวดคิ้วและจ้องหลานสาวตาไม่กะพริบ ราวกับว่าอยากเห็นบางอย่างบนใบหน้าของหลานสาวตัวน้อย
ตอนนี้ทุกอย่างภายในบ้านเราเรียบร้อยดี ชีวิตก็กำลังไปได้สวย แล้วทำไมเด็กคนนี้ถึงคิดจะย้ายบ้านขึ้นมา?
เด็กน้อยคนนี้จะรู้หรือไม่ เรื่องการย้ายบ้านมันพูดง่าย แต่มันทำยากมากเลยนะ?
ถึงตอนนี้บ้านเราจะใช้ชีวิตอย่างปกติสุขดี แต่ทรัพย์สินมีอยู่ไม่เยอะนะ ย้ายไปเมืองหลวงอาจจะต้องใช้ชีวิตเหมือนขอทานเลยนะ?
ถ้าเสี่ยวเถียนรู้ว่าอาของเธอคิดอะไรอยู่ เธอคงพูดออกมาตรง ๆ ว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอนค่ะ
เธอมีวิธีหาเงิน แม้ว่าการหาเงินแบบนี้จะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาว แต่ตราบใดที่เธอมีถุงเงินอยู่ในมือ ก็จะสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้
เพียงแค่ธุรกิจเริ่มต้นขึ้น จากนี้ไปบ้านของเราก็จะไม่ต้องพบกับสถานการณ์ขาดเงินแล้ว
การขอทานอะไรพวกนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เสี่ยวเถียนมองอาเขยและอาใหญ่ที่มีสีหน้าไม่ค่อยหน้าเชื่อ
“ใช่ค่ะอาใหญ่ หนูจริงจังค่ะ”
เฉินจื่ออันว่า “เสี่ยวเถียน หลานยังเด็ก หลานคงไม่เข้าใจเหตุผลที่ไม่อยากจากบ้านเกิดเมืองนอนหรอก”
ถ้าเลือกได้ ใครอยากจะจากบ้านเกิดของตัวเองกันล่ะ?
เสี่ยวเถียนโบกมือพัลวัน “อาเขย ถึงจะบอกว่าการจากบ้านเกิดเมืองนอนมาเป็นเรื่องที่ยาก แต่มีประโยคหนึ่งที่ว่า คนย้ายรอด ต้นไม้ย้ายตาย*[1]”
เฉินจื่ออันงุนงง ไม่คิดเลยว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะพูดประโยคนี้ออกมา
แต่ประโยคนี้ฟังดูแล้วก็มีเหตุผล
“พูดแบบนั้นมันก็ไม่ได้ผิดสักเท่าไร แต่การดึงต้นอ่อนช่วยให้เติบใหญ่*[2] มันเกินไปหน่อยนะ” หม่านซิ่วไม่เห็นด้วย
เธอตามเฉินจื่ออันไปประจำการที่ทางใต้ และมันทำให้เธอรู้สึกถึงความจริงอันสุดซึ้งของเหตุผลที่ทิ้งบ้านเกิดไปยังสถานที่ที่ไร้ญาติพี่น้อง
ตอนอยู่ทางใต้ เธอไม่ชินกับชีวิตในท้องถิ่นอยู่หลายเดือน ทั้งกำแพงภาษา ทั้งวิถีชีวิตที่แตกต่าง ทุกอย่างล้วนแต่เป็นปัญหาที่เธอต้องเผชิญ
โชคดีที่เฉินจื่ออันกำลังจะไปเป็นผู้นำ และคนในพื้นที่หลาย ๆ คนจึงยินดีช่วยเธอปรับตัว
แต่กับบ้านซูมันไม่เหมือนกัน ถ้าพวกเขาย้ายเข้ามาในเมืองหลวง พวกเขาก็จะเป็นเพียงแค่คนธรรมดา
แล้วถ้าทำธุรกิจเล็ก ๆ บนท้องถนน ก็ไม่รู้ว่าจะเบียดเสียดกับจำนวนคนมากน้อยแค่ไหน
ตอนนี้พ่อกับแม่เธอก็อายุมากแล้ว ถ้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว พวกเขาจะทนแบกรับความอึดอัดใจแบบนี้ได้งั้นหรือ?
คนเราเมื่อแก่ตัวไปก็ควรใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิด และมีชีวิตอันมั่นคง
“ไม่หรอกค่ะอาใหญ่ อาเชื่อหนูสิ ตอนนี้ปู่กับย่าจะยังไม่มาหรอก แต่อีกสักปีสองปี พวกเขาต้องมาแน่”
ประโยคนี้ของซูเสี่ยวเถียนดูมั่นใจเต็มเปี่ยม
หากแต่หม่านซิ่วไม่เชื่อ พ่อแม่เธอเป็นคนแบบไหน ทำไมเธอจะไม่รู้?
“เสี่ยวเถียน มันเป็นไปไม่ได้หรอก!” หม่านซิ่วยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
เด็กคนนี้ใสซื่อเกินไป ถึงจะฉลาดแต่ก็ยังเป็นเพียงแค่เด็ก ไม่เข้าใจความคิดของผู้ใหญ่หรอก
“แต่บางทีอาจเป็นไปได้นะ!” เฉินจื่ออันเอ่ยขึ้น
หม่านซิ่วไม่คิดเลยว่า จู่ ๆ สามีของตนเองจะพูดขึ้นมาแบบนี้ จึงถามด้วยความตกใจ “ทำไมล่ะ?”
“ผมว่าอีกสองปีเด็ก ๆ น่าจะมาเมืองหลวงกันแล้ว พ่อแม่อาจจะมาอยู่ดูแลหลานก็เป็นไปได้นะ!”
ถ้าเป็นคนอื่นก็ว่าไปอย่าง แต่พ่อตาแม่ยายรักเสี่ยวเถียนเหมือนสมบัติล้ำค่า เอาแต่พูดว่าเสี่ยวเถียนหลานรัก หรือไม่ก็เด็กดีอย่างนั้นอย่างนี้ พวกเขาไม่มีทางวางใจให้หลานสาวมาใช้ชีวิตในเมืองหลวงคนเดียวหรอก
พอถึงตอนนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากที่พวกเขาจะตามไปดูแลเสี่ยวเถียนในเมือง
หม่านซิ่วก็คิดเหมือนกัน ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียหน่อย
หัวใจของพ่อแม่ หลานสาวสำคัญที่สุด แน่นอนว่าหลานชายก็สำคัญเหมือนกัน
แต่ถึงเด็ก ๆ บ้านเราจะเรียนเก่ง แต่จะสอบได้ไปเมืองหลวงกันหมดเชียวหรือ?
“เสี่ยวเถียน หลานเคยคิดไหม? การใช้ชีวิตในเมืองหลวงต่างจากการใช้ชีวิตในชนบทนะ” หม่านซิ่วขมวดคิ้ว
“อาใหญ่ หนูมีวิธีหาเงินค่ะ” เสี่ยวเถียนตอบอย่างมั่นใจ
สองสามีภรรยาเฉินไม่นึกว่าเสี่ยวเถียนจะคิดเรื่องหนทางการหาเงินแล้ว เด็กคนนี้ไม่เข้าใจอะไรเสียที่ไหนล่ะ เธอเข้าใจมากเกินไปต่างหาก
ในแง่ของการทำเงิน ในตัวอำเภอและเมืองหลวงมันต่างกันจริง ๆ ที่เมืองหลวงมีโอกาสอยู่ทุกหนทุกแห่ง ตราบใดที่คว้ามันไว้ได้ก็สามารถหาเงินได้
คำถามคือ เสี่ยวเถียนมีวิธีดี ๆ อะไรอยู่?
“เสี่ยวเถียน หลานคิดวิธีหาเงินแล้วจริง ๆ หรือ?”
“อาใหญ่ ย่าเปิดร้านอาหารเช้าในอำเภอด้วย ขายดิบขายดีมากค่ะ ถ้ามาเปิดที่เมืองหลวงบ้าง อาจจะขายข้าวกล่องก็ได้นะ เพราะอาหารฝีมือคุณย่าสุดยอดไปเลย”
เสี่ยวเถียนพูดมีหลักการ หม่านซิ่วได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าแม่เปิดร้านอาหารเช้าอย่างขยันขันแข็ง
เดิมทีเธอเคยคิดจะเกลี้ยกล่อมให้แม่ปิดร้านอาหาร แม่อายุตั้งเท่าไรแล้ว จะให้ทำงานหนักแบบนี้ก็ไม่ได้หรอก
“มันเป็นแหล่งรายได้ส่วนใหญ่เลยนะคะ อีกอย่างหนูก็หาเงินได้นิดหน่อยเหมือนกันนะ”
หม่านซิ่วประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม เสี่ยวเถียนเป็นแค่เด็ก จะมีความสามารถหาเงินที่ไหนกัน?
“เสี่ยวเถียน หาเงินมันไม่ง่ายนะ!” เธอทำได้เพียงโน้มน้าวใจ
“อาใหญ่ อันนี้คือเรื่องที่หนูเขียนช่วงนี้ค่ะ หนูส่งให้ทางนิตยสารแล้ว ถ้าได้ตีพิมพ์ หนูจะได้รับค่าต้นฉบับ” เสี่ยวเถียนรีบหยิบกระดาษออกมาแล้วส่งให้อาใหญ่
หลังจากที่หม่านซิ่วอ่านจบ เธอก็มองหลานด้วยความตกตะลึง เด็กคนนี้เขียนออกมาได้ดีเกินไปหรือเปล่าเนี่ย เนื้อเรื่องก็ยอดเยี่ยมไม่มีที่ติเลย
แล้วอีกฝ่ายจะรู้ได้อย่างไรว่ามันไม่น่าแปลกใจอยู่แล้วที่เธอจะเขียนได้ดี ก็เพราะเสี่ยวเถียนมีประสบการณ์มากกว่าคนอื่นมาหลายสิบปี ดูละครโทรทัศน์มาเยอะแยะ อ่านนิยายก็ไม่น้อยเลยด้วย
อีกอย่าง หลังจากที่มาถึงเมืองหลวง เสี่ยวเถียนก็พบสถานที่ที่เธอสามารถฟังเรื่องราวต่าง ๆ ได้ด้วย
ที่เมืองหลวงมีต้นไม้เก่าแก่หลายต้น สำหรับคนอื่นคงจะเป็นแค่ต้นไม้อายุมากต้นหนึ่ง แต่สำหรับเสี่ยวเถียน มันแหล่งเรื่องเล่ามากมาย
เรื่องราวเหล่านั้นยังอยู่ในความทรงจำของต้นไม้โบราณ ถ้านำมาปรับเปลี่ยนสักเล็กน้อย ตัดต่อเนื้อความเสริมเข้าไปก็จะกลายเป็นเรื่องเล่าที่ยอดเยี่ยม
เฉินจื่ออันหยิบแบบร่างของเสี่ยวเถียนจากมือภรรยา
หลังจากกวาดสายตาอ่านอย่างละเอียด เขาก็พยักหน้าเห็นด้วย “ซิ่วเอ๋อร์ เสี่ยวเถียนเก่งกว่าเธออีกนะเนี่ย!”
เฉินจื่ออันประหลาดใจมากที่เด็กคนหนึ่งจะเขียนได้ซับซ้อนแบบนี้ แต่เขาก็แค่ตกใจ ไม่ได้สงสัยอะไร
สมาชิกบ้านหลักตระกูลซูล้วนเฉลียวฉลาด จุดนี้ไม่มีข้อกังขาเลยแม้แต่น้อย
หม่านซิ่วจ้องสามีปราดหนึ่ง “เรื่องนี้ยังต้องให้คุณพูดอีกหรือ”
ถ้าเสี่ยวเถียนสามารถเขียนเรื่องเล่าได้ ก็ต้องหาเงินได้แน่นอน แต่คนทั้งบ้านจะพึ่งพาการค้ำจุนจากเด็กคนหนึ่งหรือ?
“หนูว่าพ่อแม่ของหนูอาจจะลาออกจากงานตามมาเมืองหลวงก็ได้ค่ะ พอถึงตอนนั้นพวกเขาอาจจะช่วยย่าเปิดร้านก็ได้ จะได้ไม่ต้องทำให้ย่าเหนื่อยเกินไป และบ้านเราก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นด้วย”
เสี่ยวเถียนเองก็คิดถึงจุดนี้เช่นกัน
ส่วนบ้านพ่อใหญ่ พ่อรองจะเต็มใจทิ้งทุกอย่างไปเมืองหลวงด้วยกันไหม เธอเองก็ไม่อาจรู้ได้ แต่เธอคิดว่าพ่อแม่ของเธออาจจะมา
“เรื่องนี้เราต้องถามความเห็นพ่อแม่ก่อนนะ” หม่านซิ่วกล่าว
แม้ว่าแผนของเสี่ยวเถียนจะดี แต่ก็เป็นเพียงความคิดเห็นของเด็กเท่านั้น
ขณะที่ทั้งสามพูดคุยปรึกษากัน ตู้ถงเหอก็เคาะประตูแล้วเข้ามาข้างใน
“จื่ออัน หม่านซิ่ว ฉันมีเรื่องอยากจะปรึกษาด้วยน่ะ” ตอนที่ตู้ถงเหอพูด เขารู้สึกอายเหลือเกิน เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่จะพูดต่อไปเป็นเรื่องที่พูดยาก
ทั้งสองมองหน้ากัน มันแปลกมากที่อีกฝ่ายมีเรื่องจะปรึกษาพวกเขา
แม้ว่าทั้งสองครอบครัวจะมีความสัมพันธ์อันดีงาม แต่ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว เรื่องที่จะให้พูดคุยกันก็ไม่ได้มีมากมาย
ตู้ถงเหอสามารถปรึกษามาได้เลย
“พูดเลยครับลุงตู้!” เฉินจื่ออันพยักหน้าและเอ่ยเบา ๆ
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ฟังเรื่องที่เขาจะพูดก่อนแล้วค่อยมาสรุปทีหลังก็แล้วกัน
เสี่ยวเถียนเองก็รู้สึกประหลาดใจ แต่อย่างไรมันก็เป็นเรื่องของพวกผู้ใหญ่ เด็กหญิงนั่งลงข้าง ๆ หยิบหนังสือออกมาเตรียมเปิด จากนั้นใช้จุดบอดเรียกแผงควบคุมของระบบห้องสมุดออกมาเพื่อหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่ง
*[1] เปรียบว่าคนเราเวลาย้ายถิ่นที่อยู่ เราสามารถปรับตัวได้ แต่ต้นไม้ถ้าย้ายแล้วก็ไม่แน่ว่าจะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้หรือเปล่า
*[2] ใจร้อนอยากประสบความสำเร็จเร็ว ๆ กลับทำให้งานนั้นเสียหาย