บทที่ 381 ซูโส่วเวินโดนฮุค
บทที่ 381 ซูโส่วเวินโดนฮุค
คุณย่าอยากเรียนรู้ ส่วนหลานสาวก็อยากสอน สองย่าหลานเห็นพ้องต้องกัน แล้ว ในไม่ช้าพวกเธอก็ยุ่งวุ่นวายกันอยู่ในครัว
วัตถุดิบพร้อม เครื่องปรุงไม่ขาด จัดสรรได้ตามใจอยาก ยังมีอะไรที่ดีกว่านี้อีกล่ะ?
ทางคุณปู่ซูไม่มีแขกให้คอยต้อนรับ จึงไม่ได้ง่วนกับการตีแมลงวันแล้ว เขาเลยตามสองย่าหลานเข้าไปในครัวเพื่อให้ความช่วยเหลือด้วย ถึงตนจะไม่รู้วิธีทำอาหาร แต่ก็ยังทำอย่างอื่นอย่างปอกหัวหอม ปอกกระเทียมได้
ส่วนเหลียงซิ่วไม่ได้มีความเข้าใจในการทำอาหารเหมือนแม่สามี เลยตั้งใจศึกษาเป็นอย่างมาก ทั้งตั้งใจฟังและจดจำ โดยหวังว่าจะจำทุกคำพูดของลูกสาวและมารดาได้อย่างแจ่มแจ้ง
แม้กระทั่งขั้นตอนการทำของคุณย่าซู เหลียงซิ่วไม่กล้าเมินเลยสักนิด
“แม่ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ถ้าคุณย่าเรียนรู้ได้แล้ว แม่ดูบ่อย ๆ ก็ทำได้เองค่ะ!” เสี่ยวเถียนยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของมารดา
แม่ขยันขันแข็งมากเกินไป ถึงได้บีบบังคับตัวเองขนาดนี้
อันที่จริงแล้วในแง่ของทักษะการทำอาหาร ถึงแม่เขาจะเทียบกับคุณย่าไม่ได้ แต่ก็ถือได้ว่ามีฝีมือ ตอนที่พวกโส่วเวินมาถึงร้านอาหาร ก็เห็นภาพคนในบ้านกำลังวุ่นวายกันอยู่
ทำไมรู้สึกเหมือนทุกคนกำลังบ้าคลั่ง
ยุ่งอยู่กับการทำอาหารกันตั้งแต่เช้า แต่ไม่มีแขกที่ไหนมาเลย ทำให้ใครน่ะ?
เสี่ยวเถียนเห็นพี่ ๆ ก็ร้องดีใจก่อนหมุนตัววิ่งออกจากครัวไป
คิดถึงมาตั้งหลายวัน ในที่สุดก็ได้เจอกันเสียที
คุณย่ารีบตะโกน “เสี่ยวเถียน วิ่งไปไหนน่ะ?”
หลานสาวหัวเราะคิก “ไม่ได้ไปไหนค่ะคุณย่า ย่าทำอาหารจานนี้เองได้แล้วนะ จานต่อไปรอหนูบอก”
เธอต้องคุยกับพวกพี่ ๆ ก่อน เพื่อพัฒนาศักยภาพของพวกเขา
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแผนการและอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ของเธอนะ เราไม่ควรรอช้า!
คุณปู่ซูพูดว่า “ให้หลานไปเถอะ พวกเขาสนิทกันตั้งแต่เด็ก กว่าจะได้เจอกันทีให้คุยกันหน่อย”
คุณย่าไม่พูดอะไรเยอะ แล้วตั้งอกตั้งใจเรียนทำอาหารต่อ
ซูเสี่ยวเถียนและพี่ ๆ มาที่โถงของร้าน ตอนนี้ไม่ใช่เวลากินข้าวเลยไม่มีลูกค้าเข้า พวกเขาจึงไปนั่งกันที่โต๊ะ
เสี่ยวเถียนรินน้ำให้พวกพี่ ๆ
พี่รองถือขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ “รสชาติเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ อร่อยดีนะ ทำมาจากอะไรหรือ?”
“น้ำเปลือกแอปริคอตค่ะ เอาเปลือกมันมาต้ม อร่อยกว่าน้ำต้มเฉย ๆ ด้วยค่ะ”
เป็นความคิดของเสี่ยวเถียนที่เพิ่มน้ำเปลือกแอปริคอตเข้าไปนอกเหนือจากน้ำเปล่า
เพราะเปลือกของมันมีมูลค่าไม่สูง แต่ความแปลกใหม่ดึงดูดลูกค้าได้ไม่น้อยเลย เสี่ยวซื่อมองแล้วมองอีก นี่คือรสชาติเปลือกแอปริคอตที่เอามาต้มหรอกหรือเนี่ย?
ก่อนหน้านี้เขาประเมินมันต่ำไปจริง ๆ
“แก้วนี้ราคาเท่าไรหรือ?” เสี่ยวซื่อถามโดยไม่รู้ตัว
สำหรับเขาแล้ว ทุกอย่างต้องแลกด้วยเงิน!
เสี่ยวเถียนจ้องพี่ชาย “แค่แก้วเดียวเองค่ะ ต้องให้เงินด้วยหรือ?”
พี่สี่คงไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์จนบ้าไปแล้วใช่ไหม?
“ก็เปลือกมันไม่ได้แพงกับพวกพี่ไง อยากแลกเป็นเงินไหมล่ะ?”
คงไม่ดีเท่าไรถ้าพี่สี่จะคิดแต่เรื่องเงิน ส่วนพี่สองไม่ได้มีความรู้ด้านนี้เลย
ไม่ต้องเครียดหรอก มันถึงเวลาที่พี่เขาจะได้โชว์ฝีมือการวาดรูปและคัดลายมือแล้ว
ถ้าได้รางวัลอะไรสักอย่าง อาจจะได้รับการยอมรับจากวงการศิลปะก็ได้นะ พอถึงตอนนั้นพี่รองจะเป็นปัญญาชน ไม่ต้องทำงานหาเงินด้วย
โดนน้องสาวจ้องมองแบบนี้ ซื่อเลี่ยงก็ลูบจมูก ใบหน้ามีรอยยิ้มผ่อนคลาย ถ้าเป็นคนอื่นจ้องไม่ได้หรอกนะ แต่น้องเล็กจ้องได้ไม่เป็นไร
“พี่ใหญ่ หนูจำได้ว่าพี่เรียนภาษาต่างประเทศอยู่ เรียนเป็นยังไงบ้างคะ?”
ซูเสี่ยวเถียนจ้องมองซูโส่วเวิ่น ตอนเขาอยู่ปีสอง เขามีความสนใจในภาษาต่างประเทศมาก หลังจากปรึกษากับอาจารย์แล้วก็ลงเรียนโทฝรั่งเศส
อาจารย์ยังบอกอีกว่าหลายปีมานี้คนเรียนภาษาน้อยลงเรื่อย ๆ จึงทำให้คนขาด ถ้าโส่วเวินมาเรียน อนาคตคงไปได้ไกลแน่
และโส่วเวินก็ไปเรียนจริง ๆ แต่ว่ามันเรียนยากจริง ๆ เรียนมาตั้งนานแล้วก็จริง แต่ความก้าวหน้ามันไม่ได้มากนัก
“ไม่เท่าไรหรอก พอใช้ได้!”
โส่วเวินพูดเสียงเบา เห็นได้ชัดว่าละอายใจนัก เธอมองภาพนั้นและรู้สึกไม่เข้าใจ อันที่จริงพี่ใหญ่มีความสามารถทางด้านภาษาจริง ๆ นะ และเธอคิดว่าน่าจะเพราะวิธีเรียนมันไม่ถูกต้อง
“พี่ใหญ่ ไว้เดี๋ยวสอนให้ทีหลังนะคะ”
เสี่ยวเถียนพูดด้วยความมั่นใจมาก แต่คนเป็นพี่ตกใจจนแก้วเกือบหลุดมือ
เสี่ยวเถียนพูดอะไรเนี่ย?
สอนภาษาฝรั่งเศสให้เขา?
เสี่ยวเถียนรู้หรือ?
“เสี่ยวเถียนพูดอะไรน่ะ? พี่ได้ยินไม่ชัด!” เขาถามด้วยน้ำเสียงลำบากใจ
เขาต้องได้ยินผิดแน่ ๆ เสี่ยวเถียนไม่รู้ภาษาต่างประเทศเสียหน่อย!
“พี่ใหญ่ หนูว่าวิธีที่พี่เรียนในตอนนี้น่าจะผิดค่ะ เดี๋ยวหนูสอนพี่อาทิตย์ละสองวันก็แล้วกัน ส่วนวันอื่น ๆ พี่ก็เรียนเพิ่มที่โรงเรียนไป ถ้าทำแบบนี้น่าจะมีความก้าวหน้าเยอะขึ้นนะ”
คราวนี้โส่วเวินได้ยินไม่ผิดแล้ว แต่เขาไม่อยากจะเชื่อเลย
“เสี่ยวเถียน เธอเรียนภาษาต่างประเทศตั้งแต่เมื่อไรน่ะ?”
เด็กสาวยิ้ม “ช่วงนี้แหละค่ะ หนูบังเอิญเจอหนังสือภาษาต่างประเทศอยู่หลายเล่มเลย รู้สึกว่ามันไม่ยาก”
“ภาษาฝรั่งเศสหรือ?” พี่ใหญ่ถาม
“ค่ะ แต่ไม่ใช่แค่ภาษาฝรั่งเศสนะ มีภาษาอังกฤษกับเยอรมันด้วย” เสี่ยวเถียนรู้สึกลำบากมาก คงจะดีถ้าเรียนเพิ่มได้อีกภาษานะ
ใบหน้าของโส่วเวินฉายแววสิ้นหวังทันที
ถึงเสี่ยวเถียนจะไม่ได้บอกว่าเรียนภาษาถึงขั้นไหนแล้ว แต่จากที่เธอหยิบยกเรื่องนี้มาพูดก็ไม่น่าจะธรรมดา
“เธอมันไม่ใช่คนแล้วเสี่ยวเถียน!” ซูซื่อเลี่ยงบ่นด้วยความหงุดหงิด
ภาพน้องเล็กถือหนังสือพิมพ์และอ่านมันในตอนนั้นฉายขึ้นตรงหน้า มีน้องฉลาดแบบนี้ คนเป็นพี่จะกดดันขนาดไหนกันเนี่ย? รู้สึกว่าตัวเองเป็นพวกไร้ค่าไปเลย!
ทำอย่างไรดีล่ะ?
ซูเสี่ยวเถียนแสร้งทำเป็นโกรธ “หนูจะไปฟ้องปู่กับย่าว่าพี่รองว่าหนู!”
ชายหนุ่มลุกพรวดวิ่งตามหลังน้องไป ก่อนจะบีบนวดไหล่ให้อย่างประจบประแจง
“พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้น แล้วก็ไม่ได้ว่าด้วย ที่พี่หมายถึงคือ เธอจะเป็นคนได้ยังไง เห็นกันอยู่ว่านางฟ้าตัวน้อยชัด ๆ!”
ซูเสี่ยวเถียนที่รู้จักในชื่อนางฟ้าตัวน้อยรู้สึกพึงพอใจแล้ว
ส่วนคนอื่น ๆ มองซื่อเลี่ยงด้วยความรังเกียจ
ไม่เคยเห็นใครไร้ค่าแบบนี้มาก่อนเลย
ยังไม่ต้องพูดถึงคนอื่นนะ น่าจะโดนน้องบีบจนตายแน่ แถมเหล่าพี่ชายก็ไม่คิดว่าตนจะไร้ค่ามากเช่นกัน
เด็กสาวนั่งบนเก้าอี้ในท่าผ่อนคลาย เพลิดเพลินกับบริการที่แสนอบอุ่นและเอาใจของซื่อเลี่ยง
“พี่รอง พี่เก่งเรื่องศิลปะนะ ในอนาคตลองพิจารณาเรื่องเปิดร้านดูนะ!” เสี่ยวเถียนปิดตาลงข้างหนึ่ง เพลิดเพลินกับมันมาก
“เสี่ยวเถียน เราเริ่มเรียนก่อนเลยไหม?” โส่วเวินทนรอไม่ไหวจึงรีบพูด
ก่อนลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วยิ้มสดใส “พี่ใหญ่รอก่อนนะ หนูคุยกับพี่สองกับพี่สามแล้วก็พี่สี่ก่อน”
เธอสอนภาษาได้ แต่งานอดิเรกของพี่ชายคนอื่น ๆ เธอสอนไม่ได้ เลยคิดจะปล่อยให้พวกเขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่จะช่วยหาหนังสือให้
ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้ต้องเตือนกันสักหน่อย เธอเชื่อว่าพี่ ๆ มีโอกาสที่ดีได้