บทที่ 428 เป็นเด็กที่เก่งจริง ๆ
บทที่ 428 เป็นเด็กที่เก่งจริง ๆ
อันที่จริงในช่วงหลายปีนี้ ต่งหยวนจงเชื่อในการแพทย์แผนตะวันตกอยู่บ้าง เพราะการวินิจฉัยแบบทั่วไปดูเหมือนจะไม่มีอุปกรณ์อะไรที่จะสร้างความมั่นใจให้ผู้คน
แต่เด็กคนนี้ไม่ได้ทำอะไรสักนิด แค่มองอยู่ครู่เดียวแล้วก็บอกได้แม่นยำจนเขาประหลาดใจ
ตั้งแต่เมื่อไรกันที่แพทย์แผนจีนเก่งกาจขนาดนี้?
เสี่ยวเถียนเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง? เรียนมากี่ปี?
ต่งหยวนจงมองเด็กสาวอย่างครุ่นคิด แววตาของเขาทำให้คุณย่าซูเกิดความหวาดกลัวอยู่บ้าง
“เสี่ยวเถียน อย่าพูดจาไร้สาระ!” หญิงชรารีบดึงตัวหลานเอาไว้
ใครจะอยากได้ยินคนอื่นบอกว่าสุขภาพเราไม่ดีล่ะ?
ต่งหยวนจงไม่ใช่ยาจกคนนั้นอีกแล้ว เขาเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีทางฟังสิ่งที่เสี่ยวเถียนพูดแน่นอน
คุณย่าซูกังวลมากว่าต่งหยวนจงจะตำหนิหลานสาวตัวเอง
สิ่งที่เขาเอ่ยจะต้องสั่นคลอนจนคนตัวน้อย ๆ แบบพวกเราจนอยู่ที่นี่ไม่ได้แน่ และสิ่งที่เสี่ยวเถียนพูด มันหนักหนาเสียจนเหมือนสาปแช่งให้อีกฝ่ายมีสุขภาพร่างกายไม่ดี!
ฟ่านชูฟางเห็นท่าทางของคุณย่าซู มีหรือจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวกังวลเรื่องอะไร
เฮ้อ! เป็นหัวหน้าคนไม่มีอะไรดีเลย ยังไม่ได้ทำอะไรแท้ ๆ แต่ก็สร้างความหวาดกลัวให้ผู้คนแล้ว
เธอยิ้มก่อนเอ่ยอย่างร่าเริง “พี่สะใภ้ เสี่ยวเถียนเก่งนะคะ ความสามารถน่าทึ่งมาก!”
อันที่จริงเธอสงสัยว่าสาวน้อยรู้ได้ยังไง
กระสุนยังถูกฝังอยู่ในร่างกายเหล่าต่งอยู่เลย นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลายปีมานี้ร่างกายของเขาถึงไม่ดีขึ้นเสียที
ขนาดแพทย์แผนตะวันตกยังต้องตรวจอยู่หลายครั้งถึงจะรู้ว่าในร่างกายของเหล่าต่งมีกระสุนฝังอยู่
แต่เสี่ยวเถียนที่รู้แพทย์แผนจีนกลับไม่ได้ตรวจอะไรเลยสักนิด แล้วเธอรู้ได้ยังไง
“แพทย์แผนจีนให้ความสำคัญด้านการมอง การฟัง ซักถาม แล้วก็สัมผัสค่ะ หนูไม่รู้ว่าสถานการณ์ของร่างกายคุณปู่ต่งอยู่ระดับไหนแล้ว รู้แค่ว่ามีปัญหาบางอย่างค่ะ” เสี่ยวเถียนรีบอธิบาย
“ถ้าหลานบอกว่าต้องมอง ฟัง ถาม แล้วก็สัมผัส ถ้ามองแล้ว เราทำขั้นต่อไปเลยดีไหม?”
ฟ่านชูฟางร้อนรนขึ้นมา
เธอยังหวังว่าจะหาวิธีรักษาอาการป่วยให้สามีได้
แต่หมออู๋บอกมันไม่เหมาะที่จะผ่าตัดเพราะอาจจะเกิดอันตรายได้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา อาจจะไม่ได้ลุกมาจากเตียงผ่าตัดอีก
เพราะแบบนี้ต่งหยวนจงจึงทำได้เพียงทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บป่วยของตนเองมาตลอดหลายปี
เสี่ยวเถียนเก่งแบบนี้ จะหาทางแก้ปัญหาได้หรือไม่?
เด็กสาวยิ้มหวาน “คุณย่าฟ่านคะ พวกเรากินข้าวกันก่อนดีกว่าค่ะ กินเสร็จแล้วค่อยคุยกันดีไหมคะ?”
บนโต๊ะมีแต่ของอร่อย ๆ ถ้าปล่อยให้เย็นชืดจะไม่ได้รสชาติหรอกนะ เสี่ยวเถียนไม่อยากทำให้มันเสียของ
บอดีการ์ดหนุ่มมองเสี่ยวเถียนที่ทำท่าเหมือนทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของฉัน เขาไม่รู้ว่าจะไว้ใจหรือไม่ไว้ใจดี
เหมือนจะดีนะ แต่อายุน้อยแค่นี้คงไม่ได้เรียนแพทย์มาตั้งแต่เกิดหรอกมั้ง?
ได้ยินว่าบางคนใช้เวลาทั้งชีวิตกว่าจะเข้าใจ แล้วเสี่ยวเถียนเรียนมากี่ปี?
เขาเริ่มคิดว่าเราควรกลับให้เร็วขึ้นดีหรือเปล่า หรือจะเชิญหมออู๋เข้ามาในเมืองดี
ถ้าเกิดเสี่ยวเถียนประมาทและเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับร่างกายของหัวหน้าขึ้นมาจะทำยังไง?
ผลของการกังวลใจของเสี่ยวหยวน แม้แต่อาหารตรงหน้าก็ยังไม่อร่อย แน่นอนว่าเหตุผลหลัก ๆ คือตัวเองกินจนอิ่มมากกว่า
ส่วนสภาพจิตใจต่งหยวนจงดีมากเลยกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย แม้แต่ปลากับกุ้งที่ปกติไม่ค่อยชอบยังกินด้วยซ้ำ กินไปก็ถอนหายใจไป อาหารตระกูลซูอร่อยจริง ๆ
ขณะที่เขากำลังกินข้าวด้วยท่าทางสบาย ๆ คนอื่น ๆ ในบ้านซูไม่ประหม่าอีกแล้ว
มื้อนี้ค่อนข้างสงบและน่ารื่นรมย์พอสมควร
หลังจากกินข้าวเสร็จ เหลียงซิ่วเป็นฝ่ายล้างจาน จากนั้นก็ชงชาให้ทุกคนดื่ม
แต่ฟ่านชูฟางทนรอไม่ไหว เธอจับมือเสี่ยวเถียน “เสี่ยวเถียน หลานช่วยจับชีพจรปู่ตงตอนนี้ได้หรือเปล่า?”
“คุณย่าฟ่านรอก่อนนะคะ หลังกินข้าวครึ่งชั่วโมงค่อยมาวัดกันนะ ตกลงไหม?”
หญิงชราพยักหน้า ตอนนี้เธอหน้ามืดตามัวไว้ใจเสี่ยวเถียน ขอแค่อีกฝ่ายพูดก็เลือกที่จะเชื่ออย่างสุดหัวใจ
ครั้งนี้เสี่ยวเถียนก็อยู่ในห้องหลักด้วย เธอกำลังคุยกับคุณปู่ซูและคุณปู่ต่ง
ต่งหยวนจงเริ่มสนใจเสี่ยวเถียนขึ้นกว่าเดิม ฟ่านชูฟางเองก็สนใจเสี่ยวเถียนมากเหมือนกัน สองสามีภรรยาเอาแต่แย่งกันคุยกับเด็กคนนี้
ระหว่างนั้น หญิงชราได้เอ่ยภาษาฝรั่งเศสออกมา
เสี่ยวเถียนตอบออกไปเป็นภาษาฝรั่งเศสตามจิตใต้สำนึก
กระทั่งตอบเสร็จถึงนึกขึ้นได้ว่าตอบดีหรือเปล่า
“หลานออกเสียงชัดมากเลย!” ฟ่านชูฟางยิ้มสดใส “ไม่ต่างไปจากมืออาชีพเลยนะ”
ไม่คิดเลยว่าเด็กสมัยนี้จะเก่งกาจนัก!
เดี๋ยวนี้โรงเรียนเปิดหลักสูตรภาษาต่างประเทศแล้วหรือ?
แต่ถึงเปิดก็ไม่น่าจะมีภาษาฝรั่งเศสหรือเปล่า?
แล้วเสี่ยวเถียนไปเรียนจากไหนถึงได้ออกเสียงชัดแบบนี้?
โอ๊ะ! ดูเหมือนฉือเก๋อจะอยู่หงซินมาก่อนนะ ได้ยินว่าเขาสอนเสี่ยวเถียนด้วย
หรืออีกฝ่ายจะแอบสอนตอนอยู่ที่นั่น?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฟ่านชูฟางรู้สึกว่าตนน่าจะเดาถูก
ฉือเก๋อเป็นนักประพันธ์รุ่นหนึ่งที่ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จด้านวรรณกรรมชั้นสูงเท่านั้น แต่ยังรู้ภาษาต่างประเทศอีกหลายภาษา โดยเฉพาะภาษาฝรั่งเศส เขาพูดได้อย่างคล่องแคล่วเลย
“คุณย่าฟ่าน หนูแอบบอกความลับข้อนึงกับคุณย่าค่ะ หนูมีพรสวรรค์ด้านภาษาด้วย”
เสี่ยวเถียนกระเถิบเข้าไปหาแล้วพูดอย่างจริงจัง
อีกฝ่ายผงะ จากนั้นถึงค่อยหัวเราะ
“เด็กคนนี้น่าสนใจจังเลยค่ะ พี่สะใภ้ บ้านพี่สอนลูกหลานยังไงหรือคะ? สอนได้ดีมากเลย”
อิจฉาตาร้อนเหลือเกิน อยากจะแย่งไปสักคนทำยังไงดี?
โดยเฉพาะเสี่ยวเถียนเด็กคนนี้เลย
ถ้าบ้านเรามีเด็กผู้หญิงมากความสามารถแบบนี้อยู่ เธอจะต้องรักสุดหัวใจแน่ ๆ
“เสี่ยวเถียน มานี่มา บอกปู่ต่งหน่อยซิว่านอกจากพูดภาษาต่างประเทศกับรู้เรื่องแพทย์แล้ว หลานทำอะไรได้อีก?” ต่งหยวนจงกำลังสนอกสนใจ
เสี่ยวเถียนส่ายหัว “ไม่มีแล้วค่ะ หนูแค่ชอบอ่านหนังสือ ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากในนั้นเยอะเลย”
“เสี่ยวเถียนชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็กน่ะ แต่ละวันก็เอาแต่อ่านหนังสือ ๆ ตอนแรกฉันก็คิดนะว่าในนั้นมันมีอะไรดี?”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ชายชรามองหลานสาวด้วยแววตาภาคภูมิใจ
เด็กเก่ง ๆ แบบนี้เป็นหลานสาวของซูชวนเอง!
ควันเขียวผุดจากหลุมฝังศพบรรพบุรุษ*[1] บ้านซูแล้ว เพราะให้กำเนิดหลานสาวที่เก่งกาจแบบนี้ได้คนนึง
แต่หลานสาวโตเอา ๆ ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีจะได้ตบแต่งกับไอ้หนุ่มตระกูลไหน!
“เป็นเด็กที่เรียนเก่งอยู่แล้วสินะ เสียเปรียบเลยเพราะฉันอ่านหนังสือไม่ออก ถึงตอนหลังจะมาตั้งใจเรียน แต่ตัวเองก็แก่แล้ว!” ต่งหยวนจงซาบซึ้งใจ
“ตอนนั้นมันไม่ได้มีเงื่อนไขอะไร เด็ก ๆ ในตอนนี้จึงมีความสุขกันมาก!” คุณปู่ซูว่า “แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่เด็ก ๆ ได้ไปโรงเรียนด้วย”
ต่งหยวนจงชื่นชอบเรื่องนี้มาก
“ถึงจะเป็นช่วงเวลาดี ๆ แต่หลานของพี่พร้อมมากเลยครับ ประตูมหาวิทยาลัยรออยู่ตรงนั้นแล้ว ไม่เคยได้เห็นเด็กคนไหนเดินผ่านรั้วมหาวิทยาลัยมาก่อนเลย!”
ในเมืองมีเด็ก ๆ อยู่เต็มไปหมด และสภาพการเรียนการสอนดีกว่าในชนบทมาก แต่ไม่เคยสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เลย
แม้นโยบายทางการเมืองจะสำคัญ แต่ความพยายามของเรากลับสำคัญยิ่งกว่า!
*[1] ผู้มีความดีความชอบหรือเป็นขุนนางใหญ่ แต่ก็เป็นเรื่องให้ถูกว่าร้ายถากถาง (มีครหาไม่น่าเชื่อถือ)