บทที่ 440 ขอความช่วยเหลือ
บทที่ 440 ขอความช่วยเหลือ
เสี่ยวเถียนมองเห็นท่าทางอาย ๆ ของพวกเขาแล้วก็ต้องประหลาดใจ ไม่ได้ดื่มสุราแล้วแท้ ๆ ทำไมทำท่าเหมือนกับกำลังเมาเลยล่ะ?
ท่าทางอึกอักดูไม่เหมือนสิ่งที่ผู้ชายควรจะเป็นเลย
“คือแบบนี้นะเสี่ยวเถียน ฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วยน่ะ”
ในที่สุดหัวหน้าหลี่ก็เอ่ยปากพูดออกมาเสียที และยิ่งนึกถึงเรื่องที่จะคุยด้วยก็ยิ่งรู้สึกอับอายเหลือเกิน
ฉือเก๋อเป็นใคร? เขาคือคนที่จะเจอกันได้ง่าย ๆ หรือ?
แต่ผู้อำนวยการหม่ายืนกรานจะพบฉือเก๋อ เขาจึงทำได้เพียงช่วยคุยให้เท่านั้น
ในบรรดาคนพวกนี้เสี่ยวเถียนเป็นคนที่เขาสนิทที่สุด ถึงจะบอกว่าสนิทแต่มันก็แค่ความสัมพันธ์ของการร่วมงานกันเท่านั้น แต่ก็ยังถือว่าแนบแน่นกว่าคนอื่นอยู่ดี
แต่เขาก็พูดได้แค่นี้เท่านั้น
เสี่ยวเถียนอึ้ง ยังคิดเรื่องนี้อีกหรือเนี่ย!
เอาเถอะ ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน ช่วยไม่ได้นี่
หัวหน้าหลี่เป็นคนที่รู้ขอบเขตดี เขาไม่ควรเอ่ยขอสุ่มสี่สุ่มห้าใช่ไหม?
“หัวหน้าหลี่พูดมาเถอะค่ะ ถ้าจะจองโต๊ะสำหรับคราวหน้า หนูจะได้จองไว้ให้ค่ะ!”
เสี่ยวเถียนแสร้งทำเป็นโง่ ทำเหมือนกันว่าตัวเองเดาได้ถูกต้อง
หัวหน้าหลี่มองท่าทางไร้เดียงสาแล้วก็คิดว่าสิ่งที่เขาจะทำมันลำบากกับเด็กคนนี้เหลือเกิน เขาอายเกินกว่าจะพูดจริง ๆ
ก่อนจะมองไปที่ผู้อำนวยการหู
พอได้สบสายตาคู่นั้น มีหรือจะไม่เข้าใจ?
โชคดีที่หลังจบมื้อนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเปลี่ยนที่นี่เป็นสถานที่พบปะกับลูกค้าแทน
“ซูเสี่ยวเถียน สหายตัวน้อย อาหารร้านของเธออร่อยมาก และฉันชอบมันมาก”
เหอะ ๆ จะไม่ชอบได้ยังไง?
เห็นคนกินกันขนาดนั้น ไม่รู้ว่าเธอจะหัวเราะเยาะหรือเปล่า
เสี่ยวเถียนลอบขำ เรียกเธอว่าสหายตัวน้อยด้วย เห็นเลยว่าลำบากจริง ๆ
“ดีแล้วค่ะที่คุณชอบ! ถือเป็นเกียรติของหออีหมิงเลยค่ะ หวังว่าผู้อำนวยการหูจะให้การสนับสนุนในภายภาคหน้านะคะ”
“สหายตัวน้อย ฉันคิดว่าโรงงานเราอาจจะพบปะกับลูกค้าที่ร้านของเธอ เธอคิดเห็นว่าอย่างไร?”
ผู้อำนวยการหูเป็นคนตรงไปตรงมา ในเมื่อตัดสินใจที่จะพูดแล้วก็เอ่ยออกมาในทันที
“แต่เธอเองก็คงรู้ว่าทางโรงงานเรามีกฎอยู่ ถ้าให้ร้านของเธอเป็นสถานที่พบกับลูกค้า อาจจะไม่สามารถจ่ายอาหารให้ตรง ๆ แต่จ่ายเป็นรายเดือนแทน เธอจะยอมหรือเปล่า?”
ธุรกิจเล็ก ๆ ต้องรอเงินที่ค้างชำระหนึ่งเดือนจะรับไหวหรือ?
ก็กลัวแต่ล้มละลายเอาน่ะสิ!
เสี่ยวเถียนยิ้ม ก่อนกล่าวขอบคุณ “ขอแค่ผู้อำนวยการหูรับประกันเรื่องรายจ่ายของรายเดือนให้ได้ก็ไม่มีปัญหาค่ะ แต่คุณก็เห็นว่าร้านเราเป็นแค่ร้านเล็ก ๆ ถ้าเกินหนึ่งเดือนไปแล้ว คงจะรับมือไม่ได้ค่ะ!”
เสี่ยวเถียนจงใจเอ่ยความลำบากของตัวเองออกไป เธอกลัวว่าถ้าทางโรงงานเอาแต่กินแต่ไม่จ่ายค่าอาหาร แบบนี้ก็ขาดทุนตายพอดีสิ
ผู้อำนวยการหูรีบหยักหน้า “ถ้าเป็นไปได้ฉันจะส่งคนมาทำสัญญานะ แล้วก็เก็บบิลทุก ๆ วันที่หนึ่งของเดือนนะ”
เสี่ยวเถียนหัวเราะ “เรื่องนี้ปรึกษากับคุณปู่หนูได้ค่ะ!”
ผู้อำนวยการหู “…”
สาวน้อยคนนี้ฉลาดจริง ๆ
ไว้คุยเสร็จค่อยไปหาปู่ของเธอแล้วกัน!
ผู้อำนวยการหม่าเริ่มกังวลเมื่อคนอื่น ๆ คุยในเรื่องที่ไม่สำคัญ
เขามองผู้อำนวยการหูและหัวหน้าหลี่ด้วยแววตาตำหนิ
สองคนนี้ทำอะไรเนี่ย? คิดจะพูดสนับสนุนร้านนี้หรือไง?
บอกให้พูดเรื่องสำคัญในวันนี้ก่อน!
สุดท้ายก็ทนโดนมองไม่ไหว หัวหน้าหลี่จึงกระแอมไอเบา ๆ
“เสี่ยวเถียน นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีเรื่องอื่นด้วยน่ะ วานให้ช่วยอะไรหน่อยได้ไหม?”
ได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเถียนก็รู้ว่าแสร้งโง่ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงแสร้งทำสีหน้าเคร่งขรึม
“ถ้ามีเรื่องอะไรก็พูดมาได้เลยค่ะ หากหนูช่วยได้จะช่วยนะคะ แต่ว่าอาจจะช่วยในเรื่องสำคัญ ๆ ไม่ได้นะ”
เสี่ยวเถียนไม่ได้ค้าน แต่ก็ไม่ได้คิดจะไม่ช่วยเหมือนกัน
มนุษย์อยู่อย่างสันโดษไม่ได้อยู่แล้ว เราต่างใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความรักใคร่
ช่วยเหลือกันและกัน สร้างสายสัมพันธ์ และสร้างสังคม
เสี่ยวเถียนก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองสันโดษหรือเป็นอิสระต่อใครขนาดนั้น เพราะงั้นจึงหวังว่าจะหาเส้นสายในเมืองหลวง
การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับโรงงานไฟฟ้าก็เป็นก้าวที่สำคัญเช่นกัน
“ท่านนี้คือผู้อำนวยหารหม่า เป็นรองผู้อำนวยการของโรงงานผ้าไหมน่ะ ช่วงนี้เขาต้องหารือกับทางบริษัทในเยอรมนีน่ะ”
พอมาถึงตรงนี้ เสี่ยวเถียนแทบจะเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังมองหาล่ามอยู่
ช่วงนี้เธอเองก็กำลังเรียนภาษาเยอรมันเหมือนกัน ถึงจะไม่เก่งเท่าภาษาฝรั่งเศส แต่ก็ยังประสบความสำเร็จอยู่บ้าง
“เป็นเรื่องที่ดีเลยค่ะ หนูได้ยินว่าชาวต่างชาติส่วนใหญ่ชอบผ้าไหมประเทศเรามาก ผ้าไหมเราสร้างเงินตราต่างประเทศให้กับเราได้จำนวนมหาศาลเลย!”
เสี่ยวเถียนไม่ได้พูดจาไร้จุดหมาย
เทียบกับโรงงานไฟฟ้าแล้ว โรงงานผ้าไหมอาจจะสร้างเงินให้มากกว่าอีก
ส่วนโรงงานไฟฟ้า แม้มันจะเป็นอุตสาหกรรมใหม่ แต่ถ้าเราพัฒนาในต่างประเทศจะดีกว่าในจีนแผ่นดินใหญ่เสียอีก เพราะเราต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก และมันก็เป็นโรงงานที่ต้องใช้เงินตราต่างประเทศด้วย
ไม่น่าแปลกใจที่ผู้อำนวยการหม่าดูถือตัวกว่าผู้อำนวยการหู ที่แท้ก็เป็นเหตุผลนี้เองสินะ
หัวหน้าหลี่ยิ้ม “คิดไม่ถึงเลยว่าสาวน้อยแบบเธอจะรู้เรื่องพวกนี้ด้วย”
“หัวหน้าหลี่ หนูเป็นคนฉลาดแล้วก็ชอบเรียนรู้น่ะค่ะ เลยรู้เยอะเลย!”เสี่ยวเถียนรับคำชมโดยไม่คิดเกรงใจใด ๆ ทั้งยังเอ่ยชมตัวเองอีกด้วย
ผู้อำนวยการหม่าขมวดคิ้ว สาวน้อยคนนี้รู้ตัวบ้างไหมว่าการสงวนท่าทีและถ่อมตัวคืออะไรน่ะ?
“เสี่ยวเถียน ถึงโรงงานผ้าไหมของเราจะสร้างรายได้ในเงินตราต่างประเทศ แต่การเจรจาในครั้งนี้ก็ยังมีปัญหาอยู่ดี เพราะล่ามของเราไม่สามารถแปลได้ และฉันได้ยินมาว่าเธอเป็นลูกศิษย์ของคุณฉือ เลยอยากให้เธอช่วยแนะนำเขาให้หน่อยน่ะ”
เสี่ยวเถียนหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนี้
แนะนำ?
รู้เลยว่าเขาคิดจะให้ปู่ฉือออกมาจากถ้ำแล้วมาเป็นล่ามให้พวกเขาสินะ
เป็นคำขอที่ยากจริง ๆ เลยนะ!
เสี่ยวเถียนคิดในใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาอยู่ดี
พอเห็นเสี่ยวเถียนไม่ได้โกรธอะไรแถมยังเอาแต่ยิ้ม หัวหน้าหลี่ก็โล่งใจ
โชคดีที่เธอไม่ได้โกรธเคือง
ในฐานะศิษย์ของฉือเก๋อ ก็คงจะรู้สึกเดือดดาลอยู่พอสมควร
เขาไม่กลัวเสี่ยวเถียนจะโกรธหรอก แต่กลัวฉือเก๋อจะโกรธ
แต่โชคดีที่สาวน้อยคนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ถ้าเขาเป็นฉือเก๋อ ด้วยวัยขนาดนี้จะต้องรับเธอเป็นศิษย์อย่างแน่นอน
บางทีถ้าได้เธอเป็นคนพูดอาจจะสำเร็จก็ได้
ขณะที่กำลังคิด เด็กสาวก็เอ่ยขึ้นมา
“หัวหน้าหลี่ เรื่องนี้หนูยินดีช่วยนะคะ แต่คุณปู่ฉืออายุมากแล้ว ตั้งแต่มาเมืองหลวงก็อยู่บ้านตลอดเลยค่ะ ไม่ค่อยออกมาข้างนอกเลย”
เขารู้เรื่องนี้ดี เช่นเดียวกับผู้อำนวยการหูและผู้อำนวยการหม่า
แต่ผู้อำนวยการหม่าคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหา
ในฐานะที่เป็นคนของประเทศและเป็นช่วงเวลาที่ประเทศต้องการเรา คุณจะไม่ออกมายืนหยัดหน่อยหรือ?
เพราะแก่ชราเลยรับใช้ประเทศไม่ได้? ไม่มีเหตุผลเสียเลย
ขณะที่กำลังเอ่ยขึ้นก็ได้ยินเสี่ยวเถียนพูดอีกครั้ง “ถ้าพวกคุณต้องการพบเขาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ค่ะ หนูบอกเขาได้นะคะ”
และคำพูดของเธอทำให้ทุกคนมีความหวังอีกครั้ง
แต่แล้วเธอก็พูดต่อว่า
“ส่วนจะให้เขาเป็นล่าม หรือเป็นล่ามแค่ระหว่างการเจรจากัน หนูคิดว่าอาจจะเป็นไปไม่ได้ค่ะ เพราะสุขภาพของคุณปู่ไม่ดีเลย”