บทที่ 506 ชีวิตเราก็ต้องดูแลเอาเอง
บทที่ 506 ชีวิตเราก็ต้องดูแลเอาเอง
ถานจื่อสือดูแลลูกชายและสะใภ้เป็นอย่างดี โดยไม่รู้ว่าเมียน้อยที่หิ้วลูกชายของเขาแยกทางกัน ทั้งยังกล่าวโทษในยามที่เขาคับขันจะมาหาถึงหน้าประตูบ้าน
ผู้หญิงคนนั้นท่าทางน่าสมเพช คุกเข่าลงพื้น ร้องไห้อ้อนวอนขอให้ถานจื่อสือรับเธอเอาไว้ เพราะเอาชีวิตรอดอยู่ข้างนอกไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้
แถมยังบอกอีกว่า จะไม่ชิงดีชิงเด่นกับหลีอวี๋เหนียงเพื่อแย่งถานจื่อสืออีกต่อไป ขอแค่อาศัยอยู่เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไปก็พอ
สองสามีภรรยาถานไม่ได้มีจิตใจโหดเหี้ยม ต่อให้อีกฝ่ายไม่ร้องขอพวกเขาก็ให้เธออยู่ดี แต่ใครจะรู้เล่าว่าคนพวกนี้กลับเจ้าเล่ห์และร้ายกาจกว่าที่คิด
ตอนสาว ๆ หลีอวี๋เหนียงไม่ใช่คู่ต่อสู้พวกเขายังไง แก่ตัวแล้วก็ยังไม่ใช่อยู่เช่นนั้น หลังจากสงบศึกได้ไม่นานความขัดแย้งพลันเกิดขึ้น และเพราะมันเกิดขึ้นหลายครั้ง อีกทั้งยังโดนใส่ร้าย หลีอวี๋เหนียงก็ทนไม่ไหว
แรก ๆ ถานจื่อสือก็คอยหนุนหลังอยู่ แต่บ่อยครั้งเข้า วันนั้นเขาก็ได้พูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกมา
ตอนยังสาวเธอทนที่สามีไม่มีเธอในใจได้ เพราะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันก็ไม่ได้ลึกซึ้ง
แต่หลายปีที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ทั้งยังเห็นอีกว่าชีวิตกำลังจะดีขึ้น ถานจื่อสือก็กำลังเผชิญหน้ากับเมียน้อยกับลูกชายและลูกสะใภ้ด้วย มันทำให้เธอเสียใจมาก
แต่หลีอวี๋เหนียงในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว เธอไม่อยากรู้สึกผิดต่อตัวเองก็เลยซื้อตั๋วรถไฟมุ่งหน้ามายังเมืองหลวง
คุณย่าซูไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเจอเรื่องแบบนี้มา
หญิงชราทั้งด่าถานจื่อสือว่าเป็นพวกจำแต่เรื่องดี ๆ ไม่คิดจำเป็นบทเรียน ทั้งยังบอกว่าหลีอวี๋เหนียงไม่ได้เรื่องเสียเลย
“เธอนี่ก็นะ ทำไมถึงไม่ใช้ท่อนไม้ฟาดไอ้คนไร้อนาคตแบบนั้นไปเสียล่ะ? ไอ้ถานจื่อสืออีกคน ในเมื่อมันคิดถึงคนพวกนั้นนักก็แค่ฟาดไม้ใส่มันไปก็พอ!” คุณย่าซูอุตส่าห์คาดหวัง
เพราะหลีอวี๋เหนียงอ่อนโยนเกินไป ถ้าเป็นเธอนะ ไอ้คนพวกนั้นโดนเฉดหัวออกจากบ้านไปแล้ว บ้านตัวเองแท้ ๆ แต่ปล่อยให้คนอื่นข่มเหงตัวเองได้อีกหรือ?
เกาะคนอื่นกินยังกล้าทำตัวโอหังอีก! ไม่น่าจะลืมว่าใครเป็นเจ้าของบ้านหรือเปล่า
หลีอวี๋เหนียงได้แต่ร้องห่มร้องไห้ เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดคือการที่เรามีความคิดอันโง่เขลา และเธอก็โง่จริง ๆ ความจริงแล้วแค่ไล่คนพวกนั้นออกไปก็พอ ต่อให้สามีไม่มีใจให้เลยก็ตาม!
อีกอย่าง ถ้าเก่งจริงจะยอมปล่อยให้โดนรังแกแบบนี้มานานหลายปีหรือ?
“พี่สาว ตอนยังสาวเราก็โดนพ่อแม่คลุมถุงชน ในใจเขามีใครคนอื่นฉันไม่สนใจหรอก แต่หลังจากที่เราร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาหลายปี ก็คิดว่าเขาน่าจะจำความดีของฉันไว้บ้าง แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขากลับยังเป็นเหมือนเดิม!”
หลีอวี๋เหนียงปาดน้ำตา
คุณย่าซูถอนหายใจ ได้แต่มองคนตรงหน้าด้วยความเวทนา
หลีอวี๋เหนียงเป็นคนโง่ เพราะเธอมอบความจริงใจให้กับคนที่ไม่สมควรได้รับมันไป
“ช่างเถอะ ชีวิตเราถูกลิขิตไว้แล้ว ในเมื่อเธอมาแล้วก็อยู่ที่บ้านฉันแล้วกัน! มาอยู่เมืองหลวงก็ต้องทำงานเท่านั้น เธอถึงจะใช้ชีวิตต่อไปได้นะ!”
สุดท้ายหญิงชราก็ใจอ่อนรับอีกฝ่ายมาอยู่ด้วย
หลีอวี๋เหนียงรีบหยักหน้า “พี่สาว จากนี้ไปฉันจะคอยช่วยเหลือเองค่ะ เรื่องกินเรื่องที่อยู่ไม่ต้องรบกวนแล้ว”
“ไม่ได้หรอก ต้องให้ค่าจ้างเหมือนกับคนอื่น ๆ ด้วย แต่เรื่องกินเรื่องที่อยู่จะจัดการให้”
หลีอวี๋เหนียงอยากจะปฏิเสธ แต่ก็โดนขัดเสียก่อน “เรื่องพวกนี้ต้องพูดให้ชัดเจน เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ต่อให้เป็นพี่น้องก็ต้องคิดให้ถี่ถ้วน!”
เดี๋ยวจะมาเกิดข้อโต้แย้งเอาทีหลัง แบบนี้ไม่ดีหรอก
สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้ารับและรับค่าจ้างมา เธอจะต้องตอบแทนบุญคุณคนบ้านซูให้มากก็พอ
เรื่องที่เหล่าซานขึ้นมาเมืองหลวงเป็นเรื่องที่น่ายินดีก็จริง แต่เรื่องของหลีอวี๋เหนียงนั้นก็น่าหดหู่ใจ
โชคดีที่เธอยังอยู่ในสภาพที่ดีอยู่ พอเวลาผ่านไปสักพักเธอก็สงบลง
จากนั้นคุณย่าซูก็ถามว่า ถานจื่อสือรู้หรือไม่ว่าตัวเองมาเมืองหลวง
หลีอวี๋เหนียงส่ายหน้า
“หลังจากที่เราทะเลาะกัน ฉันก็ออกจากบ้านโดยไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาสักอย่าง ไม่คิดเลยว่าจะเดินมาถึงสถานีรถไฟ ตอนนั้นก็โชคดีเห็นเหล่าซานจากไกล ๆ ก็เลยขอขึ้นรถมาด้วย แล้วก็ซื้อตั๋วที่นั่นมาเลยค่ะ”
คุณย่าซูพูดไม่ออก ที่แท้ก็เป็นแบบนี้
ไม่แปลกใจที่ทำไมถึงมาด้วยกัน
แต่หลีอวี๋เหนียงยังไม่มีใบรับรองการเดินทางเลย แบบนี้ไม่ดีแน่ ถ้าเจอคนตรวจขึ้นมาจะลำบากเอา
“อีกสองสามวันเดี๋ยวฉันโทรบอกสะใภ้รองจัดการเรื่องนี้ให้นะ!”
ตอนอยู่บนรถไฟ หลีอวี๋เหนียงก็เกือบโดนพนักงานไล่ลงมาด้วยซ้ำเพราะไม่มี ต้องขอบคุณเหล่าซานที่มารับรองให้ แถมยังพูดจาน่าฟังไปเยอะเลย ทำให้มาถึงอย่างราบรื่น
“พี่สาว ขอบคุณพี่มากนะคะ ถ้าไม่มีพี่ ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงดี”
คุณย่าซูมองผู้เป็นน้องด้วยความโกรธ แต่ก็เสียใจกับโชคชะตาที่เล่นตลกกับอีกฝ่าย!
“อวี๋เหนียง เธอจะอ่อนแอแบบนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้นะ!”
หลีอวี๋เหนียงส่ายหัว “ฉันผ่านมาครึ่งชีวิตแล้วค่ะ อ่อนแอยังไงก็ยังเป็นแบบนั้น!”
เพราะไม่มีใครในครอบครัวมีค่าให้เธอนึกถึงเลย จู่ ๆ คุณย่าซูก็ตบต้นขา เพราะเพิ่งนึกได้ว่าก่อนออกมาจากอำเภอ สองสามีภรรยาถานเคยเอาของดีมามอบไว้ให้มากมาย
“โชคดีนะเนี่ยที่เธอเคยเอาของดี ๆ มาให้ฉัน ถ้ามีมันเธอจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเลย!”
ตอนแรกก็ไม่อยากรับไว้หรอก แต่เหมือนจะโชคดีที่เอามันมานะ จะได้เอามาให้อีกฝ่ายไว้เลี้ยงชีพตัวเอง
จริง ๆ ก็กลัวว่าถานจื่อสือคงไม่คิดอยากได้ของคืนเผื่อเอาไปให้ลูกหลาน แล้วมาตามเอาคืนหรอกใช่ไหม?
ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่ได้อยากรับไว้อยู่แล้ว แต่พอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลีอวี๋เหนียง ต่อให้ต้องโยนมันลงไปในแม่น้ำ ก็ยังดีกว่าคืนให้ผู้ชายคนนั้นเสียอีก!
หลีอวี๋เหนียงรีบส่ายหัวและโบกมือ “ไม่ได้หรอกค่ะ ๆ นี่เป็นของขวัญที่มอบแทนคำขอบคุณนะคะ แล้วมันก็เป็นของพี่ด้วย”
จากนั้นก็กล่าวต่อ “ไม่ต้องห่วงค่ะ ถ้าฉันยังช่วยงานได้ก็แสดงว่ายังเอาชีวิตรอดได้อยู่ค่ะ”
เห็นสภาพแบบนี้ก็ไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมยังไงดี
สุดท้ายก็ทำได้เพียงถอนหายใจยืดยาว
ช่างเถอะ เอาไว้แบบเดิมแหละ
ช่วงนี้เราเริ่มขายหลู่เว่ยเลยงานยุ่งมาก ยังดีมีหลีอวี๋เหนียงผู้มีทักษะและอดทนต่อความยากลำบากอยู่ด้วย เธอเลยสบายใจขึ้นเยอะ
ส่วนฝั่งทางเหล่าซานและเหลียงซิ่ว ที่กำลังกะหนุงกะหนิงกันไม่ต้องพูดถึงหรอก
เช้าวันต่อมา ตอนที่เหล่าซานตื่นขึ้นมาอย่างสดใส เสี่ยวเถียนได้บอกข่าวดีว่าทีมขนส่งกำลังรับสมัครคนอยู่
เขามีความสุขมากเมื่อรู้ว่าจะได้ทำงานแบบนี้อีกครั้งที่เมืองหลวง
เดี๋ยวนี้รถยนต์ใช้งานได้ดีมาก จัดหาเสบียงได้เยอะ ขนข้าวของส่วนตัวก็ได้ ทั้งยังขายเพื่อให้คนมาสืบทอดหน้าที่ต่อก็ยังได้ แถมราคาดีด้วย
ตอนแรกก็คิดว่าจะได้ทำงานที่ร้านอาหารเสียอีก ใครจะรู้เล่าว่ากลับสามารถหางานขับรถได้อีก
เหลียงซิ่วบอกว่าเป็นเพราะลูกสาว แถมน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ!
เหล่าซานเอ่ยชมลูกอย่างปรีดาที่เก่งขนาดนั้น แถมยังบอกอีกว่าถ้าหาเงินได้เมื่อไรจะซื้อรองเท้าหนังมาให้ใส่
แม้เสี่ยวเถียนจะไม่ได้ขาดเหลือเงินอะไร แถมรองเท้าหนังก็ไม่ได้ขาด แต่ความรักที่พ่อมอบให้มันมากยิ่งกว่า
คุณย่าซูให้หลีอวี๋เหนียงพักที่บ้านวันนึง แต่อีกฝ่ายยืนกรานจะช่วยงาน
หญิงชรากลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดเรื่องต่าง ๆ นานาคนเดียวที่บ้าน ก็เลยตอบตกลงให้มาช่วยงานด้วยกันเสียเลย