บทที่ 551 หัวใจอันเย็นเฉียบของพ่อ
บทที่ 551 หัวใจอันเย็นเฉียบของพ่อ
“น่าเสียดายที่เรากำลังจะกลับไปในอีกสามวัน เรามีเวลาน้อยเกินไปในการหาเงิน!” เสี่ยวซื่อที่ถือปักธนบัตรสิบหยวนในมือได้แต่เสียใจ
ถ้าไม่ใช่เพราะต้องกลับไปเรียน เขาคงจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักหน่อย ไม่แปลกที่บอกว่าทางใต้มีการเปิดเมืองแล้ว เพราะเงินดีกว่าในเมืองหลวงเสียอีก
เหล่าซานสดใสทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ของพวกนี้น่าจะขายได้ดีในเมืองสินะ?”
หลานชายคร่ำครวญ “พ่อสาม ดูที่พ่อพูดสิ ยังไม่ต้องพูดถึงเมืองหลวงนะ ขนาดเมืองเล็ก ๆ เคียงข้างยังขายได้เลย”
ถึงจะไม่เคยลองขายที่เมืองหลวงมาก่อน แต่เดาได้ว่าคงไม่น่าทำเงินได้น้อยหรอก
“พ่อคะ ของพวกนี้เป็นของขาดตลาดในเมืองหลวงเลยค่ะ”
ถ้ามันเอาไปขายได้เราคงทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำแน่ เสี่ยวเถียนเองก็เสียใจเหมือนกัน แต่ขนส่งในยุคนี้ไม่สะดวกนัก แถมยังต้องใช้กำลังคนในการขนย้ายอีก
“บางที พ่อน่าจะหาวิธีมาขนสินค้าพวกนี้กลับไปได้เป็นครั้งคราวนะ” เหล่าซานคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะว่า
อะไรนะ?
เด็ก ๆ ต่างรู้สึกแปลกใจ ทำไมพวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าพ่อสามมีความสามารถเช่นนี้?
คงไม่ใช่ว่าตั้งใจจะขับรถไปกลับหรอกใช่ไหม?
ไม่ทำงานแล้วหรือ?
ถึงงานจะไม่ต้องใช้คนขนย้าย แต่เขามีอยู่คนเดียวจะแบกมาได้สักเท่าไร? แถมถนนสายนี้ยังเต็มไปด้วยความอันตรายอีก อาจจะหายระหว่างทางก็ได้
“เรายังตัดสินตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอจนกว่าจะกลับถึงเมืองหลวงน่ะ”
เพราะยังคิดไม่ตก เหล่าซานจึงเอ่ยไปก่อนและไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น
เสี่ยวซื่อไม่ได้ใส่ใจนัก เขายังคงคร่ำครวญต่อไปว่าเวลาที่มีอยู่มันน้อยเสียเหลือเกินวันเวลาในการทำเงินนั้นสั้นเกินไป
อีกสิบวันจะเปิดเทอมแล้ว เราจะหาเงินอีกสองวัน แล้วก็ซื้อของที่จะเอากลับไปด้วย จากนั้นก็ถึงเวลาเดินทางกลับเมืองหลวง
“พี่สี่ อันที่จริงต่อให้มีเวลาเราก็ทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้หรอกนะ”
เสี่ยวเถียนเกลี้ยกล่อมอย่างช่วยไม่ได้
“พวกเมืองรอบข้างเราก็ไปมาหมดแล้วก็จริง แต่ไปอีกรอบไม่ได้แล้วหรือ?”
ถ้าไปอีกรอบเราจะทำเงินได้น้อยลง ไม่คุ้มค่าหรอก
เสี่ยวซื่อเลิกคร่ำครวญ
ช่างเถอะ ได้เท่าไหนก็เท่านั้น
วันต่อมา พวกเด็ก ๆ ปรึกษาหารือกันและตัดสินใจที่จะหยุดขายของ แต่มาเตรียมสินค้าที่จะเอาไปขายในเมืองน่าจะดีกว่า
นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการมาหรงเฉิงครั้งนี้นะ
ส่วนเงินที่วางแผนไว้ในตอนแรกก็เพิ่มขึ้นเยอะกว่าเดิมเสียอีก แผนการจึงปรับเปลี่ยนตามไปด้วย
“เสี่ยวเถียน เธอว่าพวกเรามีเงินเยอะขนาดนี้ ถ้าจะซื้อนาฬิกากันทุกคนจะเยอะไปไหม?”
เด็กสาวคิด “เยอะเกินไปค่ะ ถ้าขายไม่ออกเราขาดทุนนะ”
เสี่ยวซื่อ “ขาดทุนไม่เท่าไร พี่กลัวว่าถ้าโรงงานนาฬิกาจะผลิตออกมาไม่เยอะ อีกอย่างถ้าตอนนั้นมีนาฬิกาเข้ามาในเมืองหลวงเรื่อง ๆ มันจะเกิดความผันผวนของราคาเอาน่ะสิ!”
เพราะถ้าราคาในตลาดมันขึ้น ๆ ลง ๆ เราจะได้กำไรน้อย
“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ? พวกชุดสูทขายดีจริงแต่กินพื้นที่ คนละสองสามยังพอได้ แต่ถ้ามากกว่านี้จะลำบากมากเลย!”
“หนูว่าเครื่องประดับใช้ได้เลยนะ”
นี่คือสิ่งที่เสี่ยวเถียนพบในช่วงสองวันมานี้ มันมีเครื่องประดับที่สวยงามกว่าในห้างโหย่วอี้ที่เมืองหลวงเสียอีก
เธอคิดว่าถ้าเอากลับไปได้ จะต้องขายได้เงินมากแน่นอน
“อันนี้ก็ได้นะ แต่พี่ไม่ได้ทำธุรกิจเรื่องผู้หญิงเนี่ยสิ” เสี่ยวซื่อลูบหัว
เขารู้สึกอยู่เสมอเด็กผู้หญิงจะจุกจิก เลยกลัวว่าจะขายยากจึงพยายามเลี่ยง
และสิ่งที่เลือกก็ไม่ใช่เครื่องประดับที่ถูกอย่างหนึ่งเหมาหรือสองเหมา แต่เป็นสร้อยคอ กำไล สร้อยข้อมือและของชิ้นอื่น ๆ ที่ค่อนข้างมีระดับ ถึงจะทำกำไรได้ไม่เท่านาฬิกา แต่ก็ไม่ได้แย่เกินไป
เสี่ยวเหมยและเสี่ยวเถียนมีสายตาเฉียบแหลมอยู่แล้ว กอปรกับซื่อเลี่ยงทำงานในด้านสุนทรียศาสตร์ จึงสามารถเลือกเครื่องประดับดูดีและมีคุณภาพได้อย่างรวดเร็ว
พวกมันไม่ใช่ทองหรือเงิน แต่น่าจะเป็นสินค้าทำมือจึงมีระดับมาก ๆ
เรากลับมาโรงแรมพร้อมกับถุงใส่เครื่องประดับใบใหญ่ ตอนนั้นเองที่เห็นคนคุ้นหน้ายืนอยู่ตรงหน้าทางเข้า
ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นฉืออี้หย่วน
ตอนแรกเสี่ยวเถียนก็คิดว่าตนเองตาฝาด
ฉืออี้หย่วนน่าจะอยู่เมืองหลวงสิ ทำไมถึงมาโผล่ที่หรงเฉิง?
แต่เจ้าตัวกำลังยิ้มสดใสให้อยู่นะ
ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครได้อีก?
“พี่อี้หยวน มาได้ยังไงคะ? มาหาพวกเราหรือ?”
เสี่ยวเถียนรีบพุ่งเข้าไปหา แต่พอถึงครึ่งทางก็พบว่ามีอีกคนอยู่ด้วย
นี่คือฮั่วซือเหนียน
แต่สายตาอีกฝ่ายมีแต่พี่เสี่ยวเหมย ชายคนนี้ต้องทนทุกข์กับความคิดถึงอยู่ตลอด แต่ไม่คิดเลยว่าหญิงในใจที่น่าจะกลับบ้านกลับมาที่หรงเฉิงแทน
จึงตัดสินใจมากกับอี้หย่วนเสียเลย
ตอนนั้นมู่มู่ยืนถัดจากเสี่ยวเหมยพร้อมกับถุงใบหนึ่ง
พออาจารย์ฮั่วเห็นก็รู้สึกไม่ดีเท่าไร
ไอ้หนุ่มที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนี่ใคร?
เขาเป็นใคร?
หรือจะชอบเสี่ยวเหมยด้วย เลยยืนอยู่ใกล้ ๆ กัน?
ถ้าหลี่มู่มู่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร คงจะโดดห่างออกไปสามก้าวทันที
แม้ตอนนี้จะยืนห่างอยู่แล้วก็ตาม แต่ระยะนั่นมันก็ไม่ได้ใกล้เลยนะ
“พี่อี้หย่วน ก่อนหน้านี้ไม่เห็นบอกอะไรหน่อยเลยล่ะ ถ้าคลาดกันจะทำยังไง?” เสี่ยวเถียนบ่น
อีกสองวันเราจะกลับแล้วนะ
แต่พวกเขาเพิ่งจะมาเนี่ยนะ!
หนึ่งเลย ฉืออี้หย่วนกับฮั่วซือเหนียนมาตามหาคน สองคือมาดูสินค้า
ตอนนี้อี้หย่วนเองก็คิดว่าการที่ตะโกนขายไปทั่วเมืองค่อนข้างหาเงินช้า
พอได้ยินคนบอกว่าพวกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในหรงเฉิงค่อนข้างถูก ถ้าเอาเข้าเมืองหลวงราคาอาจจะเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า อี้หย่วนจึงเปลี่ยนความคิดนี้
ซื้อก่อนที่โรงเรียนจะเปิด
พอดีกับที่ได้ยินมาจากคนบ้านซูว่าพวกเสี่ยวเถียนอยู่หรงเฉิงพอดี จึงรีบมาหา
โชคดีที่สองสามีภรรยาเฉินโทรมาบอกก่อนเลยรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ จึงหาทางเจอได้อย่างง่ายดายมาก
เหล่าซานมองลูกสาววิ่งไปหาฉืออี้หย่วน หัวใจเขาเย็นเฉียบ
ทำไมลูกสาวถึงไม่ทำตัวสนิทแบบนี้กับเขาบ้าง!
ฉืออี้หย่วนมักจะทำให้ลูกสาวเขามีความสุขเสมอเลย
ไม่ได้การ กลับไปต้องสอนลูกเสียแล้ว ตอนนี้เธอโตแล้วต้องอยู่ให้ห่างจากเจ้าเด็กนั่นไว้
ส่วนซื่อเลี่ยงก็ไม่พอใจเช่นกัน
ไอ้เด็กนี่ในหัวคิดแต่จะขโมยน้องเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเลย
อุตส่าห์มาหรงเฉิง ก็ยังถ่อมาหาจนได้!
เสี่ยวเหมยไม่ได้ไปอีกฮั่วซือเหนียน แต่เป็นอีกฝ่ายที่เดินมาหาแทน
ตลกแล้ว ถ้าเธอไม่มาหางั้นจะรอให้มาเองหรือไง?
ฝันยังไวกว่าอีก
“เสี่ยวเหมย เธอไปนานเกินไปแล้วนะ!”
อาจารย์ฮั่วไม่กล้าพูดต่อ ถึงเขาจะหน้าหนาแต่ก็ไม่ได้กล้าขนาดนั้น