บทที่ 563 ขอบเขตและอุตสาหกรรม
บทที่ 563 ขอบเขตและอุตสาหกรรม
เสี่ยวเถียนมองพี่สี่ด้วยความประหลาดใจ การตอบสนองของเขาปราดเปรียวเกินคาดจริง ๆ ขนาดเธอยังคิดไม่ได้เลย แต่มันก็เป็นแค่ฝันเฟื่องเท่านั้น
อันที่จริงที่นั่นก็สามารถเป็นตลาดใหญ่ได้ แต่ตอนนี้เราอยู่เมืองหลวงนะ ไม่มีทางไปทำธุรกิจที่นั่นได้หรอก
“เราจะมีเวลาก็ตอนวันหยุดฤดูร้อนนะ แต่ช่วงสองสามเดือนนี้ก็อยู่เฉย ๆ ไม่ได้เหมือนกัน” ฉืออี้หย่วนส่ายหัว
ถึงการหาเงินจะสำคัญ แต่เรามีเวลาอีกแค่เทอมเดียวก่อนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราจะเลื่อนการสอบเพื่อหาเงินไม่ได้นะ
ถ้าทำแบบนั้นปู่เสียใจตายแน่
“น่าเสียดายจริง ๆ นั่นแหละ แต่ไม่ต้องเครียดไป พวกนายตั้งใจอ่านหนังสือสอบไป เรื่องนี้เดี๋ยวจัดการเอง แค่จ่ายค่าแรงให้ฉันก็พอ”
เสี่ยวซื่อตัดสินใจจัดการเอง
เรื่องเรียนไม่มีปัญหาเท่าไร
เพราะมหาวิทยาลัยไม่ได้มีตารางเรียนแน่นเท่ามัธยม และอิสระในการจัดการเวลาด้วย
“…” เสี่ยวเถียน
เหมือนว่าคนที่มีความสามารถด้านการทำธุรกิจโดยไม่ต้องเรียนจะเป็นพรสวรรค์นะ! เช่นพี่สี่ของเธอไง
ฉืออี้หย่วนเชื่อในความสามารถของเสี่ยวซื่อ จึงพยักหน้า
“แต่พวกเรายุ่งกันทั้งนั้นเลยนะครับ ถ้าช่วงเวลาสั้น ๆ ก็พอช่วยได้อยู่ เพราะถ้าพี่ทำคนเดียวจะลำบากเกินไปนะ”
“พี่สี่ หนูแนะนำว่าหลังจากนี้เราหยุดตั้งแผงดีกว่าค่ะ แต่ให้เปิดเป็นร้านทำอย่างเป็นทางการไปเลย”
นี่คือเป้าหมายสูงสุดของเสี่ยวเถียน ต่อให้การตั้งแผงขายจะดี ทำเงินได้เยอะแต่มันก็แค่เฉพาะตอนคนเยอะเท่านั้นแหละ ถ้าคนน้อยก็ไม่ไหว
เสี่ยวซื่อและคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจความหมายที่เธอจะสื่อ
ในเมื่อเราตั้งแผงได้ดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ทำให้ใช้เงินเยอะสิ เพราะเงินที่หามาก็เป็นของตัวเองหมด
แต่ถ้าเราเปิดเป็นหน้าร้านขึ้นมา เราจะต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมากนะ
“พี่สี่ การทำธุรกิจสักอย่างต้องมองระยะยาวนะ ตอนนี้เราตั้งเป็นแผงขายอยู่ก็จริง แต่พี่คงไม่คิดจะตั้งแบบนี้ไปตลอดชีวิตหรอกใช่ไหม?”
ประโยคนั้นทำให้เสี่ยวซื่ออดคิดไปวูบหนึ่งไม่ได้ จากนั้นเขาก็รีบส่ายหัวทันที ไม่เอาด้วยหรอก
ตั้งแผงไปตลอดชีวิตหรือ จะไปมีอนาคตได้ยังไง? เขาต้องการหาเงินให้ได้มาก ๆ ต่างหาก!
“แน่นอนอยู่แล้วว่าเราจะไม่ทำแบบนั้นไปตลอด แต่ตอนนี้เรามีเงินแค่นี้เอง จะเปิดร้านต้องใช้เงินเยอะไม่ใช่หรือไง?”
เสี่ยวเถียนไม่รู้จะพูดอะไร
ถ้าพวกเรารวมเงินกันก็ได้หลายหมื่นแล้ว แต่ค่าเงินในยุคนี้มันไม่ใช่น้อย ๆ น่ะสิ
อีกอย่างนะแค่เงินห้าพันหยวนของพี่สี่ ก็มีพอทำให้คนหน้ามืดแล้ว
แล้วดูที่พี่สี่พูดสิ?
เงินแค่นี้เอง!
พวกแวร์ซาย*[1]ชัด ๆ!
“อันที่จริงเราก็มีเงินพอจะเปิดร้านได้นะ”
ฉืออี้หย่วนพยักหน้าว่าสนับสนุนความเห็นเสี่ยวเถียน
“เราอยากเปิดร้านแบบไหน ต้องคิดให้รอบคอบมาก ๆ!”
เด็กสาวยิ้มให้คนเป็นพี่ พี่อี้หย่วนรู้ใจเธอที่สุด
เสี่ยวซื่อได้ยินที่ทั้งสองเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ก็เริ่มขบคิดขึ้นมา
ถ้าจะตั้งร้านก็แค่ตั้งให้ไวหน่อย แต่ถ้าเปิดเป็นร้านเลยจะมีปัญหาที่ต้องใส่ใจอีกเพียบ
สถานที่ตั้งก็สำคัญมาก การวางตำแหน่งของร้านก็เช่นกัน
เราคงไม่สามารถเปิดร้านมา ซื้อเข็มกับด้ายขายต่อเดือนได้ร้อยสองร้อยหยวนหรอกมั้ง ใช่ว่าจะขายได้ทุกวันด้วย
“เสี่ยวเถียนมีความคิดดี ๆ ไหม?” พี่สี่มองไปยังน้องเล็ก
เขาคิดว่าการที่เธอพูดแบบนี้ จะต้องมีความคิดอะไรแน่ ๆ
“ความคิดหนูคือเปิดร้านครบวงจรค่ะ ขายของในชีวิตประจำวันราคาถูก เช่น เข็มกับด้าย ผ้า สิ่งทอ วิทยุ เครื่องบันทึกเทป และโทรทัศน์”
สิ้นประโยค คนอื่น ๆ มองเสี่ยวเถียนด้วยความตกใจ
คิดได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ สินค้าต้องเยอะมากเลยนะ แล้วร้านต้องใหญ่ขนาดไหนถึงจะพอล่ะ
“เสี่ยวเถียน แน่ใจหรือ?” เสี่ยวซื่อเอ่ยด้วยความยากลำบาก
สำหรับเขา ร้านขายของชำเป็นยังไงก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่วันยังค่ำ
เด็กสาวผงะ สิ่งที่เธอนึกถึงคือพวกซูเปอร์มาร์เก็ตที่ในอนาคตจะมี มันจะเป็นแบบร้านขายของชำแบบที่พี่สี่บอกได้ยังไง?
แต่คิด ๆ ดู ถ้าเทียบกันแล้ว ซุปเปอร์มาร์เก็ตจะใหญ่กว่าและสินค้าก็ครบครันกว่าด้วย
“พี่สี่ เราก็ทำให้มันถึงที่สุดไงคะ มันจะได้ไม่กลายเป็นร้านขายของชำไง” เสี่ยวเถียนยิ้มสดใส
“แต่ไม่ว่าร้านขายของชำจะดีแค่ไหน มันก็ยังเป็นร้านขายของชำอยู่ดีนะ เสี่ยวเถียน พี่ว่าร้านขายเครื่องประดับหรือเสื้อผ้าก็ดีนะ เรามาลองตั้งร้านเสื้อผ้าดีไหม?”
เสี่ยวซื่อยังเกลี้ยกล่อมน้องให้ล้มเลิกความคิดเปิดร้านขายของชำ
เสี่ยวเถียนไม่รู้จะอธิบายเลยไง เลยคว้าปากกากระดาษมาแล้ววาดให้เห็น
“เราจะทำแบบนี้ ส่วนนี้เป็นของใช้ในบ้าน ส่วนนี้สำหรับเสื้อผ้า ส่วนนี้เป็นเครื่องใช้ภายในบ้าน ตรงนี้เราจะเปลี่ยนเป็นของใช้ประจำวันก็ได้ค่ะ ถ้าเราหาพื้นที่ได้ใหญ่พอและจัดหาสินค้าได้ทัน ตรงด้านข้างยังสามารถเพิ่มพื้นที่สำหรับผักผลไม้สด และอาหารปรุงสุกได้อีกด้วยนะ”
เสี่ยวเถียนอธิบายไปด้วยวาดไปด้วย เมื่อพูดจบทุกคนต่างตะลึงงัน
เสี่ยวซื่อเป็นคนแรกที่ตอบสนองได้ เขาปรบมือทันที “นี่ไม่ใช่ร้านขายของชำแล้ว ไม่ใช่ร้านค้าด้วย แต่เป็นร้านที่มีหลายร้านย่อยรวมกัน!”
“จะว่าแบบนั้นก็ได้ค่ะ พอถึงเวลานั้นทุกอย่างจะรวมอยู่ในที่เดียวกันค่ะ บางคนมาซื้อเสื้อผ้าแล้วก็อาจจะเลยไปซื้อของใช้ก็ได้ หรือจะซื้ออย่าอื่นกลับไปก็ได้ค่ะ!”
เด็กหนุ่มขบคิด “แต่ร้านใหญ่ขนาดนี้ใช้เงินไม่น้อยนะ พี่ไม่รู้ว่าพวกเราจะมีพอหรือเปล่า”
“น่าจะพอค่ะ ถ้าไม่พอเดี๋ยวหนูจ่ายส่วนที่เหลือเอง” เด็กสาวเอ่ยอย่างใจกว้าง
ก็เธอมีเงินจริง ๆ ไม่ได้ลำบากอะไรด้วย
เสี่ยวลิ่วตื่นเต้นมาก “แล้วร้านหลู่เว่ยของพวกเราตั้งในนั้นได้ไหม?”
เสี่ยวเถียน “ได้ค่ะ เราไม่จำเป็นต้องรวมหลู่เว่ยเข้ากับร้านอาหารเลยก็ได้ อีกอย่าวหลู่เว่ยที่ว่าก็สามารถทำเป็นอุตสาหกรรมได้เช่นกัน”
คนอื่นดูไม่เข้าใจกับอุตสาหกรรมที่ว่า
มันเป็นแค่อาหารกินเล่นเองนะ ดีสุดก็ยกเป็นอาหารจานเนื้อ แล้วจะไปถึงอุตสาหกรรมได้ยังไง?
หรือจะมีคนปรับเปลี่ยนมันได้?
“เสี่ยวเถียน ที่เธอว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วนะ!”
“เป็นไปได้ค่ะ แค่พวกเราไม่ได้ขายกันแค่ในเมืองหลวง เราสามารถทำเป็นอุตสาหกรรมได้เลยค่ะ”
เสี่ยวลิ่วขมวดคิ้ว น้องพูดง่ายจัง หลู่เว่ยเป็นอาหารปรุงสุกนะ ถ้าเราทำแล้วจะทิ้งไว้นาน ๆ ไม่ได้ ไม่งั้นจะเสีย
ถ้าหน้าหนาวยังพอได้อยู่ อยู่ได้มากสุดสองวันแต่ในหน้าร้อนเราจะทำได้ยังไงล่ะ?