บทที่ 637 เปิดโรงงาน
บทที่ 637 เปิดโรงงาน
รัฐมนตรีฉางตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
หลี่ว์หรูหยายังจะพูดอะไรได้อีก?
หลังจากทั้งสองคนเข้ามาก็เห็นฉากที่ซูเสี่ยวเถียนกำลังพูดคุยกับออกัสและคริสติน่าอย่างมีความสุข
รัฐมนตรีฉางในตอนนี้นับว่าเชื่ออย่างสมบูรณ์แล้ว
และซูเสี่ยวเถียนในเวลานี้ก็เข้าใจแล้วว่าครั้งนี้ที่ออกัสมาประเทศจีนก็เพื่อธุรกิจเสื้อผ้า ยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายหลักยังเป็นผ้าไหมของตะวันออก
ซูเสี่ยวเถียนขะมักเขม้นในการชื่นชมผ้าไหมของประเทศจีนไม่ขาด ไม่กี่ปีมานี้ที่เป็นล่ามให้กับบริษัทโรงงานผ้าไหมซูเสี่ยวเถียนก็มีความเข้าใจเรื่องผ้าไหมอย่างลึกซึ้ง ในตอนนี้จึงพูดคุยได้อย่างฉะฉาน
ออกัสได้ยินที่ซูเสี่ยวเถียนพูดก็ยิ่งคาดหวังกับอนาคตของผ้าไหม
“ซูเธอเป็นนักธุรกิจที่ยอดเยี่ยมมากครับ!” ออกัสพูดชมเชย
“ซูเป็นคนมีพรสวรรค์ที่หาได้ยากมาก!” พูดประโยคนี้จบออกัสก็พูดกับรัฐมนตรีฉาง
ล่ามของรัฐมนตรีฉางแปลประโยคนี้ให้รัฐมนตรีฉางฟังทันที
รัฐมนตรีฉางอดไม่ได้ที่จะมองไปยังซูเสี่ยวเถียนอีกครั้ง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงชั่วพริบตาก็สามวันแล้ว ออกัสและคริสติน่ามีเที่ยวบินรอบเย็น ซูเสี่ยวเถียนมีเวลาพอดีจึงไปส่งด้วย
“ซูปัญหาของเครื่องจักรบรรจุก่อนหน้านี้ หลังจากฉันกลับประเทศแล้วจะติดต่อโรงงานเพื่อแก้ไขทันที เพียงแต่เธอต้องรู้ไว้ว่ามันอาจไม่ทันสมัยที่สุด”
ออกัสพูดเรื่องธุรกิจใหญ่และยิ่งชื่นชมซูเสี่ยวเถียน ส่วนเครื่องบรรจุสุญญากาศที่ซูเสี่ยวเถียนเสนอก็เก็บใส่ใจไว้แล้ว
ซูเสี่ยวเถียนวางแผนขยายธุรกิจไข่พะโล้จึงคิดจะเปิดโรงงาน
แต่ตอนนี้ในประเทศยังหาเครื่องบรรจุสุญญากาศที่เธอต้องการไม่ได้ เรื่องการสร้างโรงงานจึงทำได้เพียงต้องเลื่อนออกไปก่อน
ตอนนี้ออกัสรับปากว่าจะช่วยเธอแก้ปัญหาเรื่องเครื่องบรรจุสุญญากาศ เรื่องการสร้างโรงงานจึงสามารถวางกำหนดการได้แล้ว
เมื่อส่งสองพี่น้องออกัสและคริสติน่าแล้ว ซูเสี่ยวเถียนก็เริ่มวางแผนสร้างโรงงาน เพียงแต่ในฐานะนักเรียนโดยเฉพาะนักเรียนที่อีกไม่กี่เดือนต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงนี้ซูเสี่ยวเถียนจึงยุ่งมาก
คุณปู่ซูและคุณย่าซูตอนที่ได้ยินว่าซูเสี่ยวเถียนวางแผนจะเปิดโรงงานก็ล้วนคิดว่าตัวเองฟังผิด เด็กคนนี้คิดแต่ละอย่างออกมาได้อย่างไร?
โรงงานนี่สร้างง่ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
โรงงานในปัจจุบันล้วนเป็นของรัฐบาลมีเพียงไม่กี่แห่งที่เป็นของเอกชน
หากสร้างโรงงานจะไม่ถูกคนเรียกว่านายทุนหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นหากเสี่ยวเถียนร่วมมือกับคนต่างชาติจะไม่ถูกคนเรียกว่าเป็นพวกเดินตามทุนนิยมหรือ?
คุณปู่ซูและคุณย่าซูมีความอ่อนไหวในด้านนี้มาก
พวกเขาเปิดร้านอาหารก็ไม่มีคนมาก้าวก่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าหากเปิดโรงงานแล้วจะไม่มีคนมาก้าวก่าย!
ไม่ง่ายกว่าซูเสี่ยวเถียนจะสามารถอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจนทั้งหมดได้
ประเทศในตอนนี้ไม่ได้ห้ามเอกชนเปิดโรงงานแล้ว ผ่านไปไม่กี่ปีโรงงานของรัฐหลายแห่งที่จวนจะล้มละลายล้วนถูกเอกชนรับซื้อไป
เธอก็จะไม่ต้องกังวลปัญหาเหล่านี้อีก
คุณปู่ซูและคุณย่าซูตอนนี้นับว่าเป็นคนที่เปิดหูเปิดตาแล้วจึงมีความสามารถในการรับรู้กว่าแต่ก่อนไม่รู้เท่าใด
หลังจากซูเสี่ยวเถียนอธิบายแล้วทั้งสองคนจึงยอมรับในที่สุด
ซูเสี่ยวเถียนมีความคิดทั้งยังมีการปกป้องของราชามังกร ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอนจึงยิ่งไม่คัดค้าน
แต่หลังจากนั้นคนชราทั้งสองก็ห่อเหี่ยวเพราะปัญหาใหม่ เงินที่เก็บมาสองปีนี้ให้พวกหลานไปจ่ายเงินซื้อบ้านแล้ว เรื่องนี้พวกเขาจึงไม่สามารถช่วยซูเสี่ยวเถียนได้
“เสี่ยวเถียนปู่กับย่าไม่มีความสามารถอะไรเลยหาเงินได้น้อย ก่อนหน้านี้พวกพี่ชายของหลานไปซื้อบ้านเงินทั้งหมดก็ใช้จ่ายไปแล้ว”
ตอนที่คนชราทั้งสองมองไปยังซูเสี่ยวเถียน แววตาก็ล้วนมีความละอายใจ
ถ้ารู้เร็วกว่านี้เงินพวกนั้นคงไม่เอาไปให้หลานใช้แต่คงเอาทั้งหมดมาให้เสี่ยวเถียนแล้ว
เหลียงซิ่วก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถเช่นกันจึงไม่อาจช่วยอะไรลูกสาวของตัวเองได้ แต่เธออยู่กับแม่สามีมาโดยตลอดก็พูดไม่ออกเช่นกันว่าอยากทำเรื่องนี้เอง
ซูเสี่ยวเถียนยิ้มพลางพูด “คุณปู่คุณย่าตราบใดที่พวกคุณไม่คัดค้านหนูย่อมมีเงินค่ะ”
เมื่อได้รับการสนับสนุนจากคนในบ้านอย่างราบรื่นซูเสี่ยวเถียนก็อารมณ์เบิกบานยิ่ง
เงินเธอไม่เคยขาดอยู่แล้วช่วงนี้จากปันผลที่เธอรวบรวมมาในมือเธอยังมีเงินเก็บอีกหลายหมื่น
หลานหมื่นหยวนนี้หลังจากนี้หลายสิบปีจะไม่มีมูลค่า แต่วางไว้ในยุคสมัยนี้กลับเป็นเงินที่มีมูลค่ายิ่ง
หาเช่าโรงงานเก่าสักแห่งไม่ก็ซื้อมาก็เป็นอันใช้ได้แล้ว
ซูเสี่ยวเถียนอยากหาซื้อโรงงานอาหารแปรรูปมาสักแห่ง สุดท้ายโรงงานที่มีพื้นฐานอยู่แล้วย่อมง่ายกว่า
แต่สมัยนี้จะหาโรงงานที่ขายอยู่ได้จากที่ไหน?
โรงงานในปัจจุบันล้วนเป็นทรัพย์สินของรัฐบาล แม้จะแทบไม่อาจประคองต่อไปได้ก็ไม่สามารถยื่นคำร้องล้มละลายได้ ถึงอย่างไรหากขาดทุนก็ยังมีเงินจากรัฐบาล เหล่าผู้นำของโรงงานก็ไม่ต้องร้อนรนเป็นพิเศษ
ไม่ง่ายกว่าจะหาโรงงานที่ปล่อยขายได้แต่ข้อเรียกร้องสูงจริง ๆ ไม่เพียงแต่ตัวอาคารโรงงานและเครื่องจักรมีราคาสูง แต่ยังต้องแก้ปัญหาลูกจ้างในโรงงานด้วย
ตอนที่ซูเสี่ยวเถียนได้ยินข้อมูลก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เครื่องจักรในโรงงานใช้มาหลายปียังจะขายในราคาเดิมแบบนี้ใครจะรับได้
ยิ่งไปกว่านั้นในยุคนี้เจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจแต่ละคนยังเคยชินกับการกินข้าวหม้อใหญ่*[1] หากรับคนเหล่านี้เข้ามาอย่างไม่ระวังก็จะทำให้ล้มเหลวไปเอง
หลังจากครุ่นคิดอีกครั้งซูเสี่ยวเถียนก็ตัดสินใจ ว่าต้องการหาโรงงานที่ถูกทิ้งร้างมาปรับปรุงใหม่ก่อนจะติดตั้งเครื่องจักร และค่อย ๆ จ้างคนงานอีกครั้ง หรือไม่ก็ซื้อที่ดินและสร้างอาคารโรงงานใหม่
ไม่ว่าจะเลือกใช้วิธีใดซูเสี่ยวเถียนก็ไม่คิดจะอยู่ใจกลางเมือง สมัยนี้ราคาที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองล้วนพุ่งขึ้นสูงจึงไม่คุ้มค่า
กลับกันแถวชานเมืองจะมีความเหมาะสมกว่า
ซูเสี่ยวเถียนมีแผนใหญ่หากโรงงานสามารถเริ่มการผลิตได้อย่างราบรื่น ทั้งยังแปรรูปไข่พะโล้ออกมาขายได้อย่างราบรื่น เธอก็ต้องการเสนอความต้องการให้ตลาด
วัตถุดิบจะต้องควบคุมไว้ในมือตัวเองถึงจะเรียบร้อย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้วัตถุดิบมีปัญหาไม่น่าพอใจแต่คำพูดเหล่านี้ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้คิดจะพูดออกไป
เธอกังวลว่าหากพูดเป้าหมายแรกที่ยิ่งใหญ่เกินไปจะทำให้คนในบ้านตกใจ
ในฐานะที่เป็นแก้วตาดวงใจก็ต้องค่อย ๆ พูดทีละนิดจึงจะเกลี้ยกล่อมได้ง่าย
ตู้ถงเหอและภรรยาในฐานะชาวเมืองหลวงหลังจากได้ยินแผนของซูเสี่ยวเถียนก็รับหน้าที่เรื่องการหาโรงงานที่เหมาะสมให้
“สถานที่ที่เหมาะสมหาได้ยากขอเพียงหาสถานที่ได้ที่เหลือก็ง่ายแล้ว”
เรื่องคนงานตู้ถงเหอและภรรยาล้วนไม่เคยกังวล
คนหนุ่มสาวจำนวนมากเพิ่งกลับจากชนบท คนเหล่านี้ไม่สามารถหางานในเมืองหลวงได้จึงมีชีวิตที่ลำบาก
แม้จะเป็นโรงงานเอกชนแต่ตราบใดที่มีตำแหน่งที่ได้รับค่าจ้างก็ยังมีคนจำนวนมากเต็มใจทำ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เคยอยู่ชนบทเคยผ่านชีวิตที่อยากลำบากมามาก หลังมาถึงเมืองหลวงเทียบกับคนในเมืองแล้วมีโอกาสน้อยกว่ามาก
คนแบบนี้กลับจะยิ่งรักษาโอกาสที่หาได้ยากไว้
ซูเสี่ยวเถียนต้องยุ่งกับการเรียนจึงไม่สามารถไปดูแลโรงงานได้ช่วงหนึ่ง
ในตอนนี้เองที่คุณย่าซูได้รับโทรศัพท์จากเหล่าต้าของบ้านตัวเอง
[1] กินข้าวหม้อใหญ่ หมายถึง สวัสดิการของจีนในสมัยก่อนที่รัฐบาลจะทำอาหารปริมาณมากทีเดียวมาเลี้ยงคนงาน