บทที่ 640 ได้ในสิ่งที่ต้องการ
บทที่ 640 ได้ในสิ่งที่ต้องการ
ซูซานไม่เชื่อว่าหลานชายคนโตกับสะใภ้ยอมแพ้เรื่องแย่งสิทธิ์ในการดูแลฟาร์มไป
หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาใช้ความพยายามไปกับมันมากแค่ไหนนะ?
จากที่คนในหมู่บ้านพูดคือ หัวหน้าซูสินะ ตอนนี้เถียนเสี่ยวเหอลูกสะใภ้ของหัวบอกว่าทั้งสองไม่อยากมีเรื่องขัดแย้งกัน เขาเองยังไม่อยากเชื่อเลย
ถ้าครอบครัวพี่ใหญ่พะวงหน้าพะวงหลังจริง ๆ ก็คงไม่สามารถมีชีวิตอย่างตอนนี้ได้หรอก
วันนี้ซูซานเอาแต่นั่งอยู่ขอบทางตลอดทั้งบ่าย
ไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเปลี่ยนความคิดอะไรบ้างแล้ว
แต่ละครอบครัวที่มีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวพี่ใหญ่กำลังมีชีวิตที่ดีขึ้น เป็นเขาเอง น้องชายแท้ ๆ ที่สูญเสียโอกาสเหล่านั้นไป
เรื่องนี้ควรโทษพี่ใหญ่ไหม?
ไม่หรอก โทษตัวเองเถอะ!
ฝั่งเหล่าต้ากับภรรยาที่ใช้ชีวิตในหมู่บ้านอย่างเพลิดเพลินเตรียมตัวที่จะออกเดินทาง
ในที่สุดนโยบายเหมารวมสมบัติภายในครัวเรือน*[1]ก็ได้ดำเนินการในหมู่บ้านแล้ว
ตระกูลซูมีสมาชิกหลายคน พวกเขาจึงมีพื้นที่เพาะปลูกเยอะมาก
เรื่องนี้คนในหมู่บ้านมีความเห็นไปต่าง ๆ นานา บางคนบอกว่าตอนนี้บ้านซูไม่มีคนอยู่เลย ไม่ควรแบ่งพื้นที่เพาะปลูกให้
แต่ซูฉางจิ่วบอกว่าสมาชิกบ้านนี้แค่ออกไปทำงานข้างนอกชั่วคราวเท่านั้น นอกจากพวกเด็ก ๆ ที่เรียนมหาวิทยาลัย คนอื่น ๆ ยังมีทะเบียนบ้านอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงควรแบ่งที่ดินด้วย
แต่เหล่าต้าและภรรยาไม่ได้ตั้งใจจะเพาะปลูกที่หมู่บ้านแล้ว ฉะนั้นเขาจึงให้คนอื่นเช่าที่ดินเราไปก่อน
ส่วนเรื่องฟาร์ม เถียนเสี่ยวเหอภูมิใจมากที่ประสบความสำเร็จในการทำสัญญารับช่วงฟาร์มหมูต่อ
เธอยังพูดต่อหน้าสองสามีภรรยาคู่นี้อีกว่า เธอสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องออกไปขายไข่ข้างนอกด้วย
หวังเซียงฮวาได้ยินก็อยากพุ่งเข้าไปแยกร่างอีกฝ่ายเป็นชิ้น ๆ แต่กลับถูกสามีรั้งเอาไว้
“เหอะ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นโจวปาผี*[2]เจ้าของที่หน้าเลือด*[3] ทำไมไม่ปลูกในแปลงอันน้อยที่บ้านตัวเองเสียล่ะ? ตัวเองก็ไม่ทำเองแล้วยังให้เขามาเช่าที่อีก! พวกคุณคงไม่รู้ล่ะมั้งว่าร้านขายไข่ไก่ร้านนั้น บ้านเจ้าโจวปาผีมันเอากำไรตั้ง 20%!”
คนข้าง ๆ ที่ได้ยินหญิงสาวพูดจาไร้เหตุผลกว่าเดิมก็เกลี้ยกล่อม “เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนะ ที่ดินเขาขอค่าเช่าสักหน่อยไม่เห็นจะเป็นอะไร ก่อนหน้านี้พวกเจ้าของที่มันเอากำไรตั้ง 20-70% ไม่ใช่หรือ ปีนึงเอาแปลงละ 100 จิน ตอนนี้เราก็ถือว่าเป็นแปลงระบบชลประทานที่ดีที่สุดแล้วนะ”
เถียนเสี่ยวเหอไม่ฟังคำสักนิดเอาแต่ส่งสายตาจ้องเขม็ง “คุณก็เห็นว่าบ้านเขามีเงิน แล้วจะไปประจบประแจงเพื่ออะไร?”
จากนั้นก็เบนสายตาไปยังสองสามีภรรยาอย่างมีชัย “ฉันทนเห็นความอยุติธรรมไม่ไหวแล้ว คนแบบนี้ฉันไม่ชินสักนิด เราไม่ต้องเอาเปรียบคนอื่น พึ่งพาตัวเอง ก็มีชีวิตที่ดีเหมือนกันได้จ้ะ!”
หวังเซียงฮวาหัวเสียมาก พูดจาอะไรของนาง?
แล้วบ้านเราไปเอาเปรียบใครตอนไหน?
“อย่าไปสนใจคนแบบนี้เลย มันเป็นหมาบ้า!” เหล่าต้าก็โมโหเช่นกัน จึงไม่คิดต่อล้อต่อเถียงแล้วพาภรรยากลับบ้าน
ตอนนี้เถียนเสี่ยวเหอทำสัญญารับช่วงต่อฟาร์มแล้ว เราจึงไม่ต้องไปที่นั่นอีกต่อไป
หญิงสาวเคยเลี้ยงหมูเองที่บ้าน ทว่าไม่เคยเลี้ยงเป็นฟาร์มขนาดใหญ่เช่นนี้มาก่อน ครู่เดียวก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น
เธอเอาแต่บ่นว่าเหล่าต้า พวกคนในหมู่บ้านไม่รู้จักช่วยบ้างเลย
“เธอบอกเองไม่ใช่หรือว่ามีความสามารถในการทำ? สะใภ้เหล่าเอ้อร์ หมูพวกนี้มันมีค่าใช้จ่ายนะ ถ้าเลี้ยงไม่ดี อย่าว่าแต่มีชีวิตดีเลย จะประคับประคองให้ดำเนินต่อไปได้ก็คงยาก”
ซูฉางจิ่วเพิ่งรู้เลยว่าลูกสะใภ้ที่พูดจาไพเราะเหมือนตอนนี้จะใช้ชีวิตด้วยปาก
คืนนั้นเขาปรึกษากับภรรยาว่าเราควรแยกบ้านออกมา
ลูกชายทั้งสองคนของเขาแต่งงานแล้ว แต่เหมือนกับคนบ้านซูที่เราอยู่บ้านเดียวกัน
ฝ่ายภรรยาแปลกใจมาก
“เราก็อยู่ปกติสุขดีนะ ทำไมต้องแยกบ้านออกมาด้วยล่ะ?”
เธอไม่อยากย้ายเลย อยู่รวมกันคึกคักจะตายไป
“ถึงก่อนหน้านี้จะดีอย่างที่ว่า แต่ฉันไม่คิดว่าสะใภ้เหล่าเอ้อร์จะประสบผลสำเร็จหรอกนะ ยิ่งถ้าทำเธอรับทำฟาร์มต่อแบบนี้ด้วย อาจจะเสียเงินก็ได้!” ซูฉางจิ่วกังวลใจ
ภรรยามองผู้เป็นสามี “ทำไมคุณพูดอย่างนั้นล่ะ? เกิดสะใภ้ได้ยินขึ้นมาจะไม่ทะเลาะกันเอาหรือ? อาจพูดด้วยซ้ำว่าคุณไม่คาดหวังให้เธอดีขึ้นสักหน่อยน่ะ?”
ซูฉางจิ่วร้องเหอะ “ฉันหวังให้เธอดีขึ้นอยู่แล้ว แต่ดูซิ มันเป็นแบบนี้อยู่แล้วจะให้ดีได้ยังไง?”
“โอ๊ย ที่คุณพูดมันก็ถูก งั้นเราก็แยกสินะ? จะอยู่กับลูกคนไหนล่ะ?” ถึงจะไม่อยากทำแต่พอคิดถึงเรื่องยุ่งยากที่ลูกสะใภ้คนรองทำช่วงนี้มันก็จริงอย่างที่ว่า
“แยกไปให้หมดนั่นล่ะ เราอยู่กันสองคนได้ เลี้ยงลูกสาวอีกคนก็พอแล้ว ส่วนลูกชายก็ส่งเงินเกษียณมาให้เราทุก ๆ ปีก็พอ!”
ฝ่ายภรรยาเห็นด้วยเมื่อตัดสินใจเช่นนี้
ในไม่ช้า ข่าวเรื่องแยกบ้านกันอยู่ของซูฉางจิ่วแพร่สะพัดในหมู่บ้าน
ยามนี้เหล่าต้าและหวังเซียงฮวาเก็บกระเป๋าพร้อมเดินทางไปเมืองหลวงแล้ว
ขณะนั่งอยู่บนรถไฟยังคุยเรื่องนี้เลย
“คุณว่าทำไมครอบครัวหัวหน้าซูแยกกันง่ายจัง?” หวังเซียงฮวาแปลกใจ
“เธอก็ดูสิ เถียนเสี่ยวเหอดูไม่ใช่คนเลี้ยงหมูเป็นสักนิด เมื่อวานฉันเดินผ่านฟาร์มมา เห็นพวกมันผอมโซทุกตัว”
เหล่าต้าปวดใจนัก
“คุณเดินไปดูโดยเฉพาะเลยหรือ? ฉันไม่เคยเห็นคนที่อยากเลี้ยงหมูมากเท่าคุณมาก่อนเลย!” เธอยิ้ม
“หรือเธอไม่รู้สึกล่ะ? กล้าพูดไหมว่าไม่รู้สึกอะไรตอนเลี้ยงพวกมัน?”
“ฟาร์มไก่ยกให้คนอื่นไปแล้ว ต่อให้ฉันทนไม่ไหวแต่จะไปทำอะไรได้ล่ะ?” หวังเซียงฮวาว่าเสียงเศร้า
“คนเราต้องมองไปข้างหน้าเสมอ” เหล่าต้าสะเทือนใจ
หลายปีที่ผ่านมาครอบครัวเรามองไปข้างหน้าเสมอ และมันก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
“คุณเห็นพวกมันผอมลงจริง ๆ หรือ? เพิ่งจะผ่านไปกี่วันเอง?”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก เพียงแต่ลูกหมูที่เคยอ้วนตอนนี้มันซูบลงอย่างเห็นได้ชัดน่ะ”
“ฉันเข้าใจแล้วล่ะ หัวหน้าซูแกคงกลัวลูกสะใภ้จะเสียเงินจนทำให้ลำบากกันทั้งครอบครัว”
เหล่าต้าไม่อยากเชื่อเท่าไร แต่คิด ๆ ดูก็คงเป็นไปได้
ถ้าเธอเสียเงินขึ้นมา แล้วไม่ได้แยกครอบครัวกัน พวกเขาจะต้องรับผลที่ตามมากันหมด แต่ถ้าแยกออกมามันก็จะเป็นแค่เถียนเสี่ยวเหอเท่านั้น
พอถึงตอนนั้นเธอที่หมดเนื้อหมดตัวกับคนอื่น ๆ จะไม่ได้เกี่ยวข้องกันอีก
“เธออาจเดาถูก พี่ฉางจิ่วเป็นคนที่คิดถี่ถ้วน มีหรือจะมองไม่ออกว่าลูกสะใภ้ไร้ความสามารถน่ะ?”
“ช่างเถิด เราอย่าคิดเรื่องคนอื่นอีกเลย ตอนนี้เรากำลังจะไปเมืองหลวงนะ ไม่รู้ควรจะดำเนินชีวิตอย่างไรต่อไปดี” หวังเซียงฮวากังวลเรื่องของอนาคต
ตอนนี้ทางฝั่งเถียนเสี่ยวเหอยังคงรู้สึกว่าฟาร์มหมูที่เธอรับช่วงมา หากอิงจากผลกำไรของปีที่แล้วคาดว่าชีวิตคงดีขึ้นเป็นแน่
แยกครอบครัวไปเสียก็ดี จะได้ไม่ต้องข้องเกี่ยวกันอีก
[1] นโยบายเหมารวมสมบัติภายในครัวเรือน คือ การผลิตแบบเหมาครัวเรือน ก็ได้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิดของนโยบาย 三自一包 (แปลแบบตรงตัวว่า สามตนเองหนึ่งเหมา) คือ
1. มีที่ดินของตัวเอง (ให้แต่ละครัวเรือนมีไร่นาที่ต้องรับผิดชอบเอง)
2. มีตลาดเสรี (ตลาดที่สามารถผลิตและแลกเปลี่ยนสินค้าอย่างเสรี)
3. รับผิดชอบเรื่องกำไรและขาดทุน และ
4. เหมาการผลิตของแต่ละครัวเรือน (รวมผลผลิตของแต่ละบ้านแล้วส่งให้รัฐ) หรือ นโยบายเหมารวมสมบัติภายในครัวเรือน
[2] โจวปาผี – ตัวละครจากเรื่องสั้น The cock crows at midnight มีนิสัยชอบเอารัดเอาเปรียบ
[3] เจ้าของที่หน้าเลือด ใช้เรียกเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งที่ชอบกดขี่ชาวนาหรือคนงาน ว่าง่าย ๆ คือพวกคนมีเงิน