บทที่ 750 ผมแซ่ซูครับ
บทที่ 750 ผมแซ่ซูครับ
เราทั้งสามกินข้าวกันอย่างมีความสุข
ถึงซูอู่ร่างจะอยากคุยกับน้องต่อกันตามลำพัง แต่เขาทนเห็นความหน้าหนาของฉืออี้หย่วนต่อไปไม่ไหว บอกตามตรงไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่ได้ผลสักนิด เลยทำได้แค่ยอมรับและสนทนากันทั้ง ๆ ที่มีคนไม่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย
เวลาล่วงเลยผ่านนานนับชั่วโมงกระทั่งกินข้าวเสร็จ ซูอู่ร่างที่ได้รับรู้ความเป็นไปของคนที่บ้านจึงตัดสินใจใช้ช่วงเวลามาฝึกทหารกลับบ้านไปกับน้องด้วย
สามพี่น้องเดินทางกลับมหาวิทยาลัยอย่างเปรมปรีดิ์ ซูเสี่ยวเถียนได้ฉืออี้หย่วนมาส่งถึงหอเช่นเคย เหตุผลไม่มีอะไรมาก แค่ทางผ่านก็เท่านั้น!
ทางฝั่งของซูอู่ร่าง หลังจากกลับมาถึงก็วางสัมภาระเตรียมไปฝึกทหาร ทว่ากลับได้รับคำสั่งจากผู้บังคับกองร้อยให้ไปคุยด้วย
เขาวิ่งไปยังห้องที่ผู้บังคับอยู่ด้วยอารมณ์สุนทรียหลังจากได้เจอน้องสาว แต่ใครจะรู้เล่าว่าตอนก้าวเท้าเข้าไปกลับได้ยินสิ่งเข้าใจยากทันที
ชั่วขณะหนึ่งที่รู้สึกสับสนและเริ่มคิดถึงสิ่งที่ได้ทำผิดไปในวันนี้
ผู้บังคับกองร้อยมองซูอู่ร่างด้วยสีหน้าหลากหลาย
เฉียวกวางหย่วนให้ความสำคัญต่อคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก หากให้เขาพูด ก็คงบอกว่าซูอู่ร่างเกิดมาเพื่อเป็นทหาร พื้นฐานดี ขยันขันแข็ง และทำคะแนนสูงในทุก ๆ ด้าน
สองปีที่ผ่านมาก ซูอู่ร่างเป็นนักเรียนที่ได้รับรางวัลในการแข่งขันต่าง ๆ พูดได้เลยว่าเขาห่วงเด็กทุก ๆ คน ยกเว้นซูอู่ร่างเท่านั้น แต่เรื่องที่จะพูดวันนี้คือ ซูอู่ร่างเป็นคนแรกที่ตอบรับคำเชิญไปกินข้าวกับนักศึกษา
แค่การฝึกแรกก็โดนคนมารายงานแล้ว
ถ้าไม่จัดการให้ดี มีแนวโน้มว่าจะส่งผลกระทบต่ออาชีพทหารในภายภาคหน้าของซูอู่ร่างแน่นอน
“ท่านครับ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น!”
ซูอู่ร่างยังไม่เข้าใจ เขาคิดอย่างหนักแต่เหมือนจะไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ หรือเรื่องที่ไม่สนใจนักศึกษาที่ได้รับบาดเจ็บ? แต่ว่าเธอคนนั้นแกล้งเจ็บนะ
“คิดให้ดี ๆ!” ผู้บังคับเฉียวนึกว่าอีกฝ่ายแกล้งโง่
“ถ้าเรื่องที่นักศึกษาได้รับบาดเจ็บ ผมอธิบายได้ครับ!” เด็กหนุ่มกังวล
ครั้งนี้เราเดินทางมาทำหน้าที่เป็นครูฝึก ไม่ใช่แค่ต้องให้คะแนนพวกนักเรียนแต่ผู้ทำหน้าที่เป็นครูฝึกก็ต้องได้รับการประเมินด้วย เขาไม่อยากทำให้การได้เป็นทหารล่าช้าไปเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้
ตอนนี้จึงได้แต่นึกเสียใจ ถ้ารู้เร็วกว่านี้คงพาเธอไปส่งโรงพยาบาลแล้ว
“เรื่องที่นักศึกษาจากกองร้อย 13 บาดเจ็บเป็นเรื่องโกหก เธอไม่ได้เป็นอะไรเลย ทางมหาวิทยาลัยแจ้งว่าพรุ่งนี้เธอจะได้รับอนุญาตให้เข้ารับการฝึกทหารต่อไป!”
ผู้บังคับเฉียวโบกปัด
“แต่มันไม่ใช่ปัญหานี้!”
ถ้าเด็กบาดเจ็บจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้ว
ซูอู่ร่างสับสนหนักกว่าเก่า นอกจากเรื่องนี้เขาก็ประพฤติตัวดีนี่นา
“ซูอู่ร่าง เมื่อเย็นคุณไม่ได้มากินข้าวกับทุก ๆ คนแต่ออกไปกินข้าวข้างนอกใช่ไหม?” น้ำเสียงผู้บังคับบัญชาเคร่งขรึมจริงจังขึ้น
เรื่องที่ไม่เข้าใจก่อนหน้านี้ ตอนนี้กระจ่างแล้ว
“ผู้บังคับกองร้อยครับ เรื่องที่ผมออกไปกินข้าวข้างนอกมาผมสามารถอธิบายได้ครับ!” ซูอู่ร่างร้อนรนกว่าเดิม
นี่เขาจะตายอย่างอยุติธรรมจริง ๆ นะเนี่ย
“ซูอู่ร่าง ระเบียบวินัยที่เราย้ำแล้วย้ำอีกมันไม่มีอยู่แล้วหรือไง?”
น้ำเสียงเขารุนแรงกว่าเก่าทันทีที่อีกฝ่ายยอมรับการกระทำ เขาหวังว่าซูอู่ร่างจะไม่ได้ออกไปกินข้าวข้างนอกนั่น แต่ความจริงก็คือความจริง!
“ผู้บังคับกองร้อย ระเบียบวินัยว่าไว้ว่าไม่สามารถตอบรับคำเชิญไปกินข้าวกับพวกนักเรียนได้ งั้นมันก็ไม่น่านับพวกที่ไม่ใช่นักเรียนหรือเปล่า?”
ซูอู่ร่างยึดมั่นในหลักการ ไม่คิดหลบหลีก แต่กับเรื่องที่เขาไม่ได้ทำทำไมต้องมารับผลของการกระทำด้วย?
“เมื่อเย็นคุณออกไปกินข้าวกับนักศึกษาจากคณะภาษาจีนไม่ใช่หรือ ชื่อซูเสี่ยวเถียน เด็กจากกองร้อย 13 ที่คุณรับหน้าที่เป็นครูฝึกให้พวกเขาใช่ไหม?”
ผู้บังคับกองร้อยรำคาญเหลือทน เด็กคนนี้ไม่เคยทำตัวแบบนี้มาก่อนเลย ทำไมถึงเปลี่ยนไปตั้งแต่วันแรกที่มาทำหน้าที่เลยล่ะ?
ซูอู่ร่างเข้าใจแล้วว่าทำไมฉืออี้หย่วนถึงยืนกรานจะเป็นคนเลี้ยงอาหารให้ บางทีเขาคงคิดถึงปัญหาที่ตามมาก่อนแล้วก็ได้!
“ท่านครับ ที่ผมตอบรับคำเชิญของฉืออี้หย่วนเพราะเราเป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกัน ส่วนตัวเขานั้นเชิญซูเสี่ยวเถียนมาด้วย!”
“อู่ร่าง แค่คุณกับซูเสี่ยวเถียนกินข้าวด้วยกัน มันก็ไม่สำคัญหรอกนะว่าใครจะเป็นคนเชิญ”
ผู้บังคับกองร้อยรู้สึกว่าตนทำให้นักเรียนตัวเองโง่หรือเปล่า? มันคือหลุมพรางชัด ๆ มองไม่ออกหรือไง? แล้วเพื่อนที่บอกว่าโตมาด้วยกันเชื่อถือได้ไหมล่ะ? ถ้าเชื่อได้ แล้วจะสร้างปัญหาให้ตัวเองหรือ?
ซูอู่ร่างร้อนใจกว่าเดิม
เหตุผลมันยังไม่ชัดพอหรือไง?
“ผู้บังคับกองร้อย ผมแซ่ซูครับ!”
คนเป็นหัวหน้ามองเด็กหนุ่มที่ตระหนก ก่อนกลอกตาด้วยความโมโห
สอนมาสองปีทำไมจะไม่รู้ว่าเขาแซ่ซู?
“ผมรู้ว่าคุณแซ่ซู ก็ในเมื่อคุณชื่อซูอู่ร่าง!”
ตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นก็มองเด็กตรงหน้าด้วยความตกใจ
“คุณหมายถึง…”
“ท่านครับ ต่อให้วันนี้ท่านไม่เรียกผมมา ผมก็จะรายงานให้ท่านทราบอยู่ดีครับ”
เหมือนเรื่องที่ฉืออี้หย่วนห่วงจะไม่มากเกินไปเลย
“พูดมา!”
“ซูเสี่ยวเถียนเป็นน้องสาวของผม น้องสาวที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน หลังจากมาถึงก็เพิ่งรู้ว่าเธอเป็นนักเรียนที่ผมต้องฝึกสอน แต่เพราะเวลากระชั้นชิดเลยไม่มีเวลารายงานเรื่องนี้ให้ท่านทราบ เลยคิดว่าตอนเย็นจะมารายงานให้ได้ฟัง ท่านบอกว่าผมไม่มีโอกาสได้เจอครอบครัว แล้วการที่ไปกินข้าวด้วยกันมันผิดอะไรครับ?”
มีเรื่องผิดถูกเยอะแยะมากมายให้รายงาน แต่ดันมารายงานเรื่องที่สองพี่น้องที่ไม่ได้เจอกันนานนั่งกินข้าวด้วยกันเนี่ยนะ!
ซูอู่ร่างอธิบายความคิดให้อีกฝ่ายได้ฟังอย่างชัดเจน รวมถึงบอกว่าเพื่อความยุติธรรมแล้วจะขอเปลี่ยนไปสอนกลุ่มอื่นแทน
คราวนี้เป็นฝ่ายผู้บังคับกองร้อยที่ลังเลแทน
ถ้าเปลี่ยนทันทีหลังจากโดนรายงาน มันจะดูแปลก ๆ นะ!
“อู่ร่าง คุณเพิ่งแจ้งรายงานมา ถ้าเปลี่ยนตอนนี้มันจะไม่ดีต่อตัวคุณนะ!”
“ผู้บังคับ ไม่มีอะไรสิ่งใดไม่ดีเลยครับ การไม่เปลี่ยนผมออกต่างหากที่จะเป็นเรื่องแย่!” ซูอู่ร่างเอ่ยอย่างหนักแน่น
“คุณหมายถึง?”
“น้องสาวผมจะต้องเป็นนักเรียนดีเด่นแน่นอนครับ การให้ผมเป็นครูฝึกต่อ การตัดสินใจในตอนท้ายจะเป็นเรื่องยากครับ!”
เขาตัดสินใจแล้วว่าหลังจากนี้จะนั่งกินข้าวกับน้องทุกวัน แต่แค่ไปกินด้วยครั้งเดียวก็โดนรายงานเสียแล้ว และถ้าไปทุกวันก็ไม่รู้ว่าจากนี้จะโดนคนคุยลับหลังว่าอะไรอีก
คำพูดมนุษย์เป็นสิ่งที่น่ากลัว!
ผู้บังคับกองร้อยได้แต่แค่นหัวเราะ มั่นใจได้ยังไงว่าน้องสาวจะเป็นนักเรียนดีเด่น?
“คุณคิดว่าถ้าเป็นคนสอนเด็กกลุ่มนี้ จะทำให้น้องสาวกลายเป็นนักเรียนดีเด่นหรือ?”
“ท่านครับ ท่านเป็นผู้บังคับกองร้อยของผม และผมก็เคารพท่านมาก แต่ผมไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านพูดครับ!” ซูอู่ร่างร้อนรน
ผู้บังคับกองร้อยพูดแบบนี้ได้ยังไง?