บทที่ 766 ตระกูลซูเชิญแขก
บทที่ 766 ตระกูลซูเชิญแขก
หลังจากเฉียวกวางหย่วนบอกปัญหากับเพื่อนแล้ว ก็โล่งใจเป็นขึ้นมาก ที่น่าเสียใจอย่างเดียวในตอนนี้คือยังไม่สามารถหลอกล่อให้เสี่ยวเถียนมาอยู่กับเขาได้
แต่เรื่องนั้นมันเป็นปัญหาระยะยาว ยังไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไหร่นัก พวกเรายังมีเวลาอีกสามปีนั้นแหละ เรื่องนี้ค่อยให้อู่ร่างจัดการก็แล้วกัน
……
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการฝึกทหาร ช่วงเช้าจะมีการประเมินผลรอบสุดท้าย ส่วนช่วงบ่ายเป็นการแจกปริญญาบัตร ใช้เวลาไม่นานพิธีการเป็นอันเสร็จสิ้น
หลังจากฝึกฝนมาครึ่งค่อนเดือน ตอนนี้ทุกคนหายใจหายคอคล่องเสียที ทางมหาวิทยาลัยแจ้งไว้ว่า สำหรับนักศึกษาที่เข้าร่วมการฝึกจะมีวันหยุดพักผ่อน
พวกเขารู้สึกโล่งใจมาก หลังจากฝึกกันมานานก็ควรได้พักผ่อนกันให้มาก ๆ
แต่เสี่ยวเถียนเป็นหนึ่งคนที่ไม่ได้พัก และกำลังกระวนกระวายเรื่องกลับบ้าน พี่ห้าบอกจะเดินทางออกจากเมืองหลวงพรุ่งนี้เช้า เวลาที่เหลืออยู่บ้านจึงมีอย่างจำกัด ในฐานะน้องสาวอย่างซูเสี่ยวเถียน เธออยากกลับบ้านไปหาเขาจะแย่อยู่แล้ว
เมื่อเห็นท่าทางกังวลของเสี่ยวเถียน คนอื่น ๆ ในห้องต่างหัวเราะ
“เธอรีบจังเลย! วันนี้วันอังคารนะ พรุ่งนี้วันหยุด เรียนอีกสองวันก็ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์แล้วไง!”
“พี่ชายฉันจะออกจากเมืองหลวงวันพฤหัส ฯ แล้วน่ะ!”
“งั้นก็รีบกลับบ้านเถอะ วันรวมตัวครอบครัวแบบนี้อย่ารอช้าเลย” จ้าวหงเหมยรีบร้อนพยักหน้า
เสี่ยวเถียนถือกระเป๋าใบใหญ่ ในนั้นบรรจุกล่องและขวดโหลที่ย่าใส่อาหารมาให้คราวก่อนกลับไปด้วย อาทิตย์นี้อาจจะได้เอาอาหารกลับมาอีก ที่บ้านต้องอยากทำอาหารมาให้กินอีกแน่ ๆ ขณะกำลังจะเดินออกจากห้องเด็กหญิงพลันนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้
“หงเหมย ฉันคงไม่รอจนเพื่อน ๆ กลับมาแล้วล่ะ ยังไงฝากบอกทุกคนหน่อยนะว่าพรุ่งนี้มากินข้าวที่บ้านฉันกัน”
เรื่องนี้พี่ห้ากับเธอหารือกันแล้ว
พวกเราจะไปกินข้าวที่บ้านพรุ่งนี้ โดยพี่ห้าจะชวนเพื่อนทหารไปประมาณ 27 คน ส่วนเธอชวนรูมเมทในห้องไป อาจจะแค่ 2-3 คน เพราะฉู่เยว่กลับบ้าน ส่วนอิ่นหรูอวิ๋นคงกลับเหมือนกัน แต่ถึงไม่กลับเธอก็คงไม่มา
รวมทั้งหมดแล้วประมาณสามสิบกว่าคน ตอนแรกซูอู่ร่างลังเลเล็กน้อย จำนวนคนที่มาเยอะมากเหมือนกับว่าเราจะจัดงานเลี้ยงอย่างไรอย่างนั้น ถึงที่บ้านจะเปิดร้านอาหาร แต่คงไม่ถึงขนาดต้องลงทุนปิดร้านมารับแขกเองหรือเปล่า?
“เรากินที่บ้านได้ค่ะ” เสี่ยวเถียนเอ่ย
“กินที่บ้านแล้วจะกินกันยังไง? เธอทำอาหารเป็นหรือ?” อู่ร่างฉงนสงสัย เพราะเขาทำอาหารไม่เป็นน่ะสิ
“เรากินหม้อไฟกับปิ้งย่างได้ค่ะ”
ในยุคปัจจุบัน งานเลี้ยงส่วนใหญ่จะมีการกินหม้อไฟและปิ้งย่าง
“หม้อไฟกับปิ้งย่าง? ทำได้ด้วยหรือ?” ฟังดูแล้วแปลกหูไม่หยอก แต่คงกินอิ่มล่ะมั้ง?
“พี่ห้า ก่อนหน้านี้หนูเคยซื้อหม้อใบใหญ่กับเตาปิ้งมาอย่างละสองใบไงคะ”
ถึงจะไม่รู้ว่ามันจะได้เรื่องหรือเปล่า แต่ในเมื่อน้องพูดเองกับตัวก็แสดงว่าไม่น่ามีปัญหาหรอกมั้ง? น้องเล็กไว้ใจได้เสมอ!
……
ทางฝั่งหอพักครูฝึก ซูอู่ร่างทิ้งที่อยู่หออีหมิงไว้ให้เพื่อน ๆ ในกองร้อย เป็นการเชิญชวนไปเยี่ยมบ้าน แล้วรีบจากไป
เพื่อน ๆ ลังเลเล็กน้อย ตอนนี้มีคนอยู่ยี่สิบสามสิบคนได้ ถ้าเดินทางไปอย่างยิ่งใหญ่แบบนี้จะไม่เป็นไรจริง ๆ หรือ? แต่อู่ร่างเชิญพวกเรา ถ้าไม่ไปก็ดูจะน่าเกลียด
อีกทั้งสองปีที่ผ่านมา พวกเราต่างสนิทสนมกันดี
สุดท้ายหลังจากไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว เหล่าชายหนุ่มตัดสินใจรวบรวมเงินกันซื้ออาหารติดไม้ติดมือไปด้วย และเดินทางไปตามที่อยู่ที่อู่ร่างให้ไว้ โดยตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า อาหารที่เอาไปจะต้องกินหมดแน่นอน
ซูอู่ร่างเชิญเราไปเป็นแขกกินข้าวที่บ้านอย่างใจกว้างแบบนี้ พวกเราปล่อยให้เขาเสียเงินเยอะ อยู่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกนะ
“เราเอาพวกข้าว แป้ง น้ำมันไปไม่ได้ใช่ไหม?” ลู่หยางรู้สึกทุกข์ใจ
กรณีที่ไปเป็นแขกบ้านเขา จะเอาอย่างอื่นไปก็ไม่เท่าไรหรอก แต่ไอ้สามอย่างนี้เนี่ยสิ เอาไปคงเป็นเรื่องตลกน่าดู
คนอื่น ๆ นึกถึงโดยพลัน
อย่าว่าแต่ของสามอย่างนั้นเลย แค่แบกผักกันไปคนละถุงยังดูไม่ดีสักนิด สุดท้ายทุกคนก็ตัดสินใจซื้อเนื้อ ไข่ไก่ เป็ด ปลา และผลไม้เพิ่มไปอีกเล็กน้อง ของที่เอาไปไม่ควรจะน้อยเกินไปนัก
สองพี่น้อง หลังจากกลับถึงบ้านก็บอกเรื่องนี้ให้ทุกคนฟัง เมื่อคิดว่าจะมีแขกมาบ้านมากมาย คุณย่าซูก็ดีใจมาก ทั้งยังพูดอีกว่า คิดแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ พลันคิดว่าจะปิดร้านเพื่อต้อนรับเด็ก ๆ ดีหรือเปล่า
“ย่า พวกเราอยู่บ้านได้ครับ ไม่ต้องปิดร้านหรอกนะ” อู่ร่างรีบห้ามปราม
จากนั้นก็เล่าเรื่องแผนการที่ตนเองคุยกับน้องให้ผู้เป็นย่าฟัง ลานบ้านเราค่อนข้างใหญ่ เพียงพอให้ตั้งโต๊ะเพื่อกินปิ้งย่างและหม้อไฟ
“คุณย่าเปิดร้านได้สบายหายห่วงค่ะ พวกเราจัดงานรื่นเริงกันเองได้ค่ะ” เสี่ยวเถียนยิ้ม
ถึงหญิงชราจะยังห่วง แต่หลานพูดถูก ถ้าชวนเพื่อนหลานไปที่ร้านอาหาร เด็กพวกนั้นคงไม่สบายใจเท่าไหร่ แต่ถ้ามาจัดเลี้ยงกันที่บ้าน ก็ไม่มีคนช่วยทำอาหารเนี่ยสิ
“ปล่อยคนทำอาหารไม่เป็นอยู่บ้านแล้วจะกินอะไรล่ะ? ย่าจะวางใจได้ยังไง?”
“คุณย่าแค่ต้มน้ำซุปให้พวกเราก็พอ เดี๋ยวที่เหลือพวกหนูจัดการเอง ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ”
ด้วยคนที่เชิญมามีจำนวนมากทำให้การกินอย่างอื่นค่อนข้างลำบาก แค่ทำหม้อไฟกับปิ้งย่าง และเสิร์ฟด้วยน้ำผิวแอปริคอตก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
คุณย่าขบคิดตามคำพูดหลานสาว และพบว่าก็สมเหตุสมผลอยู่ แต่เด็ก ๆ ที่มาพรุ่งนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายนี่นา แล้วกินหม้อไฟกับปิ้งย่างจะพอหรือ?
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ย่าทำอาหารเพิ่มแล้วส่งไปให้ที่บ้านด้วยก็แล้วกันนะ”
เราควรเตรียมอาหารหลักให้พวกเด็ก ๆ ด้วย ตอนพวกเขามาถึงจะได้ไม่หิวกัน
ซูอู่ร่างนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า ไว้พอถึงเวลาตนจะเดินไปรับอาหารเอง ไม่ต้องให้คุณย่าเดินมาส่งหรอก คนในครอบครัวสนทนาพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา หลังจากตัดสินใจเรื่องในวันพรุ่งนี้เสร็จจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน
คืนนั้นเหลียงซิ่วนอนไม่หลับ อุตส่าห์ได้เจอลูกชายอีกคร้ัง แต่เห็นหน้าได้ไม่เท่าไรก็ต้องห่างกันอีกแล้ว
“ไม่ต้องคิดแล้วล่ะ เด็ก ๆ โตกันแล้ว” เหล่าซานเข้าใจภรรยาดี
ไม่ใช่แค่อู่ร่าง แต่ยังรวมถึงเสี่ยวปาและเสี่ยวเถียนด้วย ไม่มีทางที่เราจะอยู่กับพวกเขาไปได้ตลอด เหลียงซิ่วก็รู้ดี แต่หัวอกคนเป็นแม่ก็ยังรู้สึกไม่เต็มใจอยู่ดีนั่นละ
สามีเอ่ยปลอบได้ไม่เท่าไหร่เธอก็เริ่มคิดมากอีกครั้ง
“ฉันเข้าใจดีว่าคุณหมายถึงอะไร แต่ฉันมักจะคิดอยู่เสมอเลยนี่ว่าเมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีก”
อีกห้องหนึ่งซูอู่ร่างเองก็นอนไม่หลับ ในตอนที่เลือกเป็นทหาร เขาทำตามหัวใจตัวเอง แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถอยู่กับครอบครัวได้ มันทำให้เขารู้สึกไม่ดีเลยสักนิด ยิ่งหลังจากได้ยินจากน้องสาวว่าที่บ้านจะยกหออีหมิงให้ตนเอง มันยิ่งทำให้รู้สึกละอายใจกับพวกเขามากขึ้น
เด็กหนุ่มนอนพลิกไปพลิกมา กระทั่งเที่ยงคืนถึงผล็อยหลับไป
เช้าตรู่ในวันที่สอง หลังกินข้าวเสร็จทุกคนก็ไปร้านอาหารเหลือเพียงเสี่ยวเถียนและอู่ร่างเท่านั้น