บทที่ 846 เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
บทที่ 846 เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
ถึงจะเจอต้นตอปัญหาแต่ใช่ว่าจะแก้กันได้ง่าย ๆ เลขาตู้เองก็ใช่ว่าจะไม่อยากช่วยเหลือ เขาคิดเรื่องของเสี่ยวซู่ค่อนข้างหนัก
ไม่รู้มีใครในเมืองที่ฐานะดีสักหน่อยแล้วรับเลี้ยงเด็กคนนี้บ้างหรือเปล่า คงจะดีไม่น้อยถ้าได้ครอบครัวแบบนั้นรับเอาไว้
“เหล่าตู้ ฉันว่าลองไปถามใครสักคนดูไหมว่ามีใครรู้จักครอบครัวดี ๆ อยากเลี้ยงลูกสักคนหรือเปล่าน่ะ ที่สำคัญคือทางบ้านต้องดูแลเด็กดีด้วยนะ”
นายกเหลียงคิดเหมือนเลขาตู้เช่นกัน
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” เลขาตู้พยักหน้า
“แต่คงจะยากหน่อยเพราะเสี่ยวซู่โตแล้ว หลาย ๆ บ้านคงไม่อยากเลี้ยงเด็กวัยนี้น่ะ”
เสิ่นจื่อเจินคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน จึงเสนอความคิดที่ต่างออกไป แต่ถ้าเรารับเลี้ยงเด็กแล้วคอยดูแลมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ก็ยิ่งจะทำให้สนิทสนมเพิ่มมากขึ้น
คนทั้งสองรู้อยู่แล้ว จึงได้แต่หวังว่ามันจะเป็นความหวังสุดท้าย
ก่อนจะสนทนาจบ ก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังสนั่น จนพวกเขาสะดุ้งโหยง
ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้วนะ ทำไมถึงมีเสียงฟ้าร้องล่ะ?
“เกิดอะไรขึ้น?”
เสิ่นจื่อเจิน จำได้ว่าเมื่อสิบนาทีที่แล้ว ท้องฟ้ายังสดใสไร้วี่แววของเมฆ ตอนนี้เสียงฟ้าร้องทำเอาพวกเขาตกใจเล็กน้อย
เสี่ยวเถียนรีบวิ่งออกไปดู
ตอนเห็นท้องฟ้าก็พบว่ามีเมฆดำมืดปกคลุมไปแล้วครึ่งนึง ลมพัดกระโชกแรง จนใบไม้ปลิวว่อน
ต้องขอบคุณภูเขาและแม่น้ำที่นี่ หากเป็นทรายตอนนี้คงเกิดพายุทรายย่อม ๆ ไปแล้ว จากนั้นก็เห็นเมฆดำกำลังกระจายไปยังอีกฟากหนึ่งของท้องฟ้าด้วยความรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียว ดวงอาทิตย์ทางฝั่งตะวันตกถูกก้อนเมฆพวกนั้นบดบังจนมิด และท้องฟ้าก็มืดลงทันที
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดไปหมดจนน่าตกใจ นี่คือสภาพอากาศตอนเกิดภัยธรรมชาติที่หยวนกั๋วชิ่งบอกใช่ไหม
คนในบ้านออกมายืนมองอยู่ใต้ชายคา
สีหน้าซานกงหลังเห็นความเปลี่ยนแปลงกะทันหันคือแทบไม่อยากเชื่อ
“ดูเหมือนสภาพอากาศจะไม่ค่อยดีเท่าไร น่าจะเกิดฝนตกห่าใหญ่อีกวันแน่เลย” เลขาตู้ว่าพลางขมวดคิ้ว
ทุกครั้งที่เกิดฝนฟ้าคะนองรุนแรง คนส่วนมากจะได้รับผลกระทบทั้งนั้น บางคนหนักถึงขั้นต้องย้ายถิ่นฐาน
เขาไม่อยากเห็นเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเลยจริง ๆ
แต่ภัยพิบัติมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงเพราะเจตจำนงของมนุษย์หรอกนะ
“เห็นว่าสภาพภูมิอากาศในเดือนหกเหมือนเด็กใช่ไหมครับ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด นี่ก็สิ้นเดือนสิบแล้วนะครับ ทำไมมีเหตุการณ์แบบนี้อีกล่ะ?” ซานกงแปลกใจ
“ปีนี้อากาศดีมาตลอดเลย แต่ใครจะรู้ล่ะว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น สงสัยสวรรค์จะทนเห็นมนุษย์ใช้ชีวิตสงบสุขไม่ได้” นายกเหลียงว่าแล้วถอนหายใจ
“โชคดีที่เกี่ยวข้าวใกล้เสร็จแล้วนะ ไม่งั้นเราคงอดอยากไปอีกปีแน่เลย”เลขาตู้
ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ควรฉลอง เราเก็บเกี่ยวข้าวในทุ่งส่วนใหญ่ไปหมดแล้ว
ปัญหาเดียวตอนนี้คือเรายังไม่ได้ทำการนวดข้าวบางส่วน และมันน่าจะเสียหายหลังจากโดนน้ำฝน
แต่เทียบกับผลผลิตที่จมอยู่ใต้น้ำ เรื่องนี้ดูจิ๊บจ๊อยไปเลย
ส่วนทางฝั่งเสิ่นจื่อเจินที่กำลังมองท้องฟ้าอยู่นั้นเริ่มรู้สึกว่าจะกลับบ้านยังไงดี
แปลกมากที่ฟ้าเกิดสั่นสะเทือนในช่วงนี้
เรายังไม่ได้เตรียมตัวกันเลย
เราต้องใช้เวลาปั่นจากจักรยานกลับไปหนึ่งชั่วโมงเลยนะ ขนาดว่าเส้นทางสะดวกยังใช้เวลามากขนาดนี้ แล้วจู่ ๆ สภาพอากาศก็เปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าจะเกิดปัญหาแล้วสิ
“อาจารย์เสิ่นครับ สภาพอากาศไม่ดีเลย” นายกเหลียงมองคนเป็นอาจารย์ด้วยความกังวล “อย่างที่เขาว่า ‘ฝนตกแขกอยู่ ฝนไม่อยู่แขกก็ไป’ สงสัยคืนนี้พวกคุณต้องอยู่ที่หมู่บ้านพวกเราแล้วละ”
“อิงตามที่พวกคุณบอกไว้ สภาพอากาศแบบนี้จะทำให้เกิดภัยพิบัติค่อนข้างใหญ่เลยนะ” เสิ่นจื่อเจินเป็นกังวล
ตอนหยวนกั๋วชิ่งบอกก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่พอได้มาเห็นจริง ๆ ก็เป็นกังวล ถึงมันจะเกิดขึ้นแน่ ๆ แต่ขอบเขตของเรื่องนี้ก็ควรค่าให้ถกเป็นประเด็นอยู่นะ
“เป็นไปได้ครับ อาจารย์เสิ่นกลับไปพักที่บ้านเลขาตู้ก่อนนะ เดี๋ยวผมไปดูเขื่อนหน่อย”
นายกเหลียงเอ่ยพลางเตรียมตัวออกไป เขาทนอยู่เฉย ๆ ในสภาพอากาศแบบนี้ไม่ได้หรอก
“ใส่เสื้อกันฝนกับหมวกไปด้วย”
เลขาตู้หยิบเสื้อกันฝนและหมวกฟางให้อีกฝ่าย
“ถ้าให้ฉันเอาไป แล้วแกจะทำยังไงล่ะ?”
นายกเหลียงลังเล ไม่ได้เอื้อมมือไปรับไว้
“ที่บ้านฉันยังมีอยู่ แกเอาไปใส่ก่อน เขื่อนมันยังมีปัญหาอยู่อย่ารอช้าเลย”
เรารู้ว่ามันมีปัญหามาสักพักแล้ว แค่รอให้หมดฤดูเก็บเกี่ยวแล้วค่อยเร่งซ่อม แต่กลายเป็นว่าไม่ทันได้ลงมือฝนก็มาแล้ว
เราสองคนรู้เรื่อง แต่เสิ่นจื่อเจินไม่รู้
พวกเขามองนายกเหลียงจากไปด้วยความเร่งรีบ จากนั้นก็เหลือบมองมาทางอาจารย์
ตามหลักแล้วถ้าแขกอยู่บ้าน เราควรจะอยู่คุยกับเขาน่ะ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเลยจริง ๆ กำลังนึกอยู่ว่าถ้าบอกไปตรง ๆ อีกฝ่ายจะโกรธไหม?
ได้ยินว่าปัญญาชนพวกนี้นิสัยไม่ค่อยดี โดยเฉพาะกับเรื่องที่ไม่มีใครให้ความเคารพตน
ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ที่เขื่อนมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าครับ? เราไปดูกันเถอะ”
การที่นายกเหลียงเร่งรีบออกไปแบบนั้น แสดงว่าจะต้องมีอะไรแน่ ๆ
ถึงเลขาตู้กับท่านนายกจะไม่ใช่ผู้นำในเขตเดียวกัน แต่ปัญหาเรื่องเขื่อนคงไม่ใช่เรื่องเล็ก
ได้ยินเช่นนั้น ฝ่ายเลขาก็รีบเอ่ย “อาจารย์เป็นแขกนะครับ ผมจะให้คุณไปเขื่อนได้ยังไง? แถมที่นั่นก็อันตรายด้วย”
ถึงตนจะไม่สามารถอยู่กับแขกได้ แต่เราไม่มีเหตุผลให้พวกเขาไปเสี่ยงหรอกนะ
“บ้านของผมอยู่ในที่สูง มันจะไม่เกิดอันตรายครับ อาจารย์เสิ่นอยู่บ้านดีกว่า เดี๋ยวผมไปดูเอง”
นอกจากนี้เขาต้องพาชายหนุ่มและชายวัยกลางคนในหมู่บ้านไปด้วย หากมีแค่พวกเราคงไม่ไหวแน่ ๆ
แต่เสิ่นจื่อเจินกลับส่ายหัว “เดี๋ยวผมไปด้วยครับ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง”
ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจได้
อาจารย์เสิ่นเรียนหนังสือมา เขาอาจรู้เรื่องโครงสร้างของเขื่อนและเรื่องอื่น ๆ อีกก็ได้ ถ้ามีคนกลุ่มนี้ช่วยเหลือ ก็ไม่แปลกใจเท่าไรหากเราได้ผลลัพธ์กลับมาสองเท่าทั้ง ๆ ที่พยายามไปแค่ครึ่งเดียว
ทว่าเลขาตู้ไม่รู้ ถึงเสิ่นจื่อเจินจะเรียนสูงแต่เชี่ยวชาญในเรื่องเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นรู้แค่เล็กน้อย
“อาจารย์ครับ เดี่ยผมไปด้วย”
ซานกงรีบเอ่ยทันที
เสิ่นจื่อเจินไม่คัดค้านอะไร
เพราะอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่ม ถ้าไปด้วยกันคงช่วยกันได้