บทที่ 897 ไม่รู้คนอื่นเห็นจะคลื่นไส้หรือเปล่า
บทที่ 897 ไม่รู้คนอื่นเห็นจะคลื่นไส้หรือเปล่า
หลังจากคนในห้องตอบรับ ประตูก็เปิดออก
ผู้หญิงที่เดินเข้ามาอายุราว ๆ 20-30 ปี ดูร่าเริงและสดใสมาก สร้างความประทับใจได้ตั้งแต่แรกเห็น
“เสี่ยวจวี มาแล้วหรือ” ฟ่านชูฟางยิ้มถาม
“ฉันได้ยินมาว่าทางฝั่งนี้มีของอร่อย ๆ ด้วยก็เลยแวะมาค่ะ ท่านอธิบดีอาจไม่ทราบ แต่เจ้าพวกนั้นไม่มีน้ำใจสักนิด พอรู้ว่าฉันจะไม่อยู่กลับไม่คิดแบ่งเก็บไว้ให้เลย”
ผู้หญิงที่ชื่อเสี่ยวจวียิ้มพลางบ่นอุบ ทว่าก็ไม่ได้สร้างความขุ่นเคืองแต่อย่างใด
“แต่พวกเราเริ่มกินข้าวกันแล้วนะ ถ้าคุณไม่รังเกียจ มานั่งกินด้วยกันสิ” ฟ่านชูฟางเอ่ยอย่างเป็นกันเอง
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ ฉันไม่รังเกียจเลย พวกคุณรู้ไหมว่าอาหารบนรถไฟรสชาติแย่ขนาดไหนน่ะ?”
เธอว่า ก่อนแสดงท่าทีไม่ชอบใจออกมา
เสี่ยวเถียนหัวเราะ
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เสี่ยวหลิ่วก็เพิ่งจะเอาข้าวมานั่นไง
ถ้าได้ยินที่เสี่ยวจวีว่า ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดยังไงเหมือนกัน
เสี่ยวจวีได้ยินเสียงหัวเราะก็เอ่ยถามอย่างสนิทสนม “น้องสาว หัวเราะอะไรเนี่ย? ฉันพูดจริงนะ อาหารบนรถไฟไม่อร่อยเลย”
เสี่ยวเถียนพยักหน้าจริงจัง “ไม่อร่อยจริง ๆ ค่ะ หนูเห็นด้วยกับพี่นะ”
“ฮ่า ๆ ฉันชอบเธอจัง”
“หนูก็ชอบคนแบบพี่เหมือนกันค่ะ!”
เทียบกับเสี่ยวหลิ่วที่ไม่พูดไม่จาเอาแต่ใช้สายตาดูถูกมองมา สิ่งนี้ทำให้เด็กสาวรู้สึกว่าผู้หญิงตรงหน้านิสัยดีกว่าเยอะ
“ท่านอธิบดีคะ น้องคนนี้ใช่คนเดียวกับที่เคยมากระทรวงการต่างประเทศหรือเปล่าคะ? เหมือนเคยเจอมาก่อนเลยค่ะ”
เสี่ยวจวีไม่ได้ทำตัวสุภาพมากนัก เพราะเบื้องหน้าคือหัวหน้างานของเธอ จึงไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอะไร ทำตัวเหมือนเดิมก็พอ
และท่าทางนี้ก็ทำให้คนรู้สึกว่าไม่แสร้งทำ และเป็นคนตรงไปตรงมา
“พี่เสี่ยวจวีเคยเห็นหนูมาก่อนหรือคะ?” เสี่ยวเถียนสงสัย
เธอเคยไปรอย่าที่นั่นสองครั้ง แต่ไม่เห็นจำเสี่ยวจวีได้เลย!
ความจำของเธอดีมาก ต่อให้ไม่ได้ถึงขนาดถอดออกมาเป็นภาพถ่ายได้ แต่ถ้าได้เจอกันแล้วย่อมจำได้แน่นอน
เสี่ยวจวีได้ฟังก็รู้ทันทีว่าสาวน้อยคนนี้เคยไปกระทรวงการต่างประเทศมาก่อน ว่ากันว่าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของฉือเก๋อด้วย
ทั้งยังได้ยินคนบอกว่าความสามารถด้านการแปลของเธอเป็นที่โดดเด่นมากจนไม่มีใครในกระทรวงของเราสู้ได้
ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า
แต่เรื่องจริงที่ว่าคืออธิบดีฟ่านชอบสาวน้อยคนนี้มาก
ไม่ใช่แค่พาเด็กหญิงไปที่นั่นนะ แต่การเดินทางในครั้งนี้ ท่านยังไม่พาล่ามส่วนตัวไปเลย
งั้นคนที่ได้รับหน้าที่ก็ต้องเป็นสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้านี่ละ
เธอมองเสี่ยวเถียนด้วยสายตาเสียใจ “ฉันคลาดกับเธอตั้งสองรอบแหน่ะ รอบแรกเห็นแค่ข้าง ๆ รอบสองฉันไปไหนมาไม่รู้ พอกลับมาเธอก็ไปแล้ว”
จากนั้นก็ยิ้ม “แต่รอบนี้โชคดีที่ได้ใช้เวลาด้วยกันหลายวันนะ อยากถามมีวิธีการเรียนภาษายังหรือ? ทำไมฉันเรียนไม่เก่งขึ้นเลย?”
เสี่ยวเถียนสัมผัสได้ถึงความเกรงใจจากคำพูดนั้น
คนที่ทำงานในกระทรวงการต่างประเทศได้จะต้องเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการแปลมาก
“พี่เสี่ยวจวีถ่อมตัวเกินไปแล้วค่ะ ที่จริงหนูแค่ชอบเฉย ๆ แล้วก็ไม่ได้มีเทคนิคพิเศษอะไร อีกอย่างถ้าพี่ทำงานที่นี่ได้จะเรียนไม่เก่งได้ยังไงกันคะ?”
ได้ทำงานในกระทรวงเลยนะ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นหน้าเป็นตาของย่ารองขนาดไหน แล้วจะเป็นคนธรรมดาได้ยังไงล่ะ?
ฟ่านชูฟางฟังบทสนทนาของทั้งสองคน ก่อนถามพร้อมแย้มยิ้มว่า “ยังอยากกินข้าวกันอยู่หรือเปล่าเนี่ย?”
จากนั้นเสี่ยวจวีจึงนึกออกว่าจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้คือ การลิ้มรสอาหารอันโอชะที่ไม่มีสิ่งใดเทียบตามที่เพื่อนร่วมงานเอ่ยถึง
ทำไมฉันมัวแต่คุยกับสาวน้อยจนลืมเรื่องสำคัญไปล่ะ?
“ท่านอธิบดีฟ่าน ท่านประธานหยางแบ่งไว้ให้ฉันสักหน่อยนะคะ ได้ยินว่าหมูก้อนทอดอร่อยที่สุดเลย!”
จริง ๆ หญิงสาวไม่รู้หรอกว่าอะไรอร่อย เห็นพวกนั้นเอาแต่พูดว่าอร่อย แต่กลับไม่บอกว่าคืออันไหนเนี่ยสิ
แต่เพราะชอบหมูก้อนทอด เธอก็เลยบอกแบบนั้นออกไป
“งั้นก็รีบ ๆ ขยับตะเกียบให้ไวสิ” ฟ่านชูฟางมองด้วยสายตาไม่ชอบใจ
เพราะเสี่ยวจวีมาเลยทำให้การกินไม่ดีเท่าไร มัวแต่คุยนี่แหละจึงเผลอกินเยอะ
เสี่ยวจวีเอ่ยขอบคุณก่อนเริ่มลงมือกิน
คำแรกของมื้อคือหมูก้อนทอด ซึ่งเป็นเมนูโปรด
หลังจากกัดคำแรกก็ต้องตื่นตาตื่นใจ แม้แต่แววตายังถูกมอมเมา
“อร่อยจัง อร่อยมากเลย ฉันนึกคำมาบรรยายรสชาติอันยอดเยี่ยมนี้ไม่ได้เลยค่ะ!”
เมื่อเห็นท่าทางโง่เขลานั่นแล้ว ฟ่านชูฟางรู้สึกไม่ชอบใจเสียเลยจริง ๆ
“อิ่มแล้วหรือเหล่าหยาง? อยากไปเดินเล่นกันไหม”
เดินเล่น…ที่นี่หรือ? ทางเดิน…เดิน?
หยางลี่หมิงดูตกใจ ก่อนนึกออกว่าตัวเองก็กินเยอะเล็กน้อย จึงต้องการย่อยบ้าง
“ได้สิ!”
เธอเองก็กินเกินไปหลายคำเหมือนกัน จึงอยากขยับร่างกายนิดหน่อย จะได้ไม่เป็นกรดไหลย้อนตอนกลางคืน
เมื่อเจ้านายทั้งสองออกไป เสี่ยวจวีจึงดูผ่อนคลายมากขึ้น เธอคีบอาหารอย่างว่องไว ทั้งยังคุยกับเสี่ยวเถียนไปด้วย ไม่มีท่าทางรังเกียจเลย
“ชื่อเสี่ยวเถียนใช่ไหม? โชคดีจังที่บ้านเธอทำอาหารมา ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีโอกาสได้กินอีก”
เสี่ยวเถียนได้ยินก็ถึงเวลาเรียกลูกค้าแล้ว เธอยิ้มตอบ “ถ้าพี่เสี่ยวจวีอยากกิน มาหากันได้เสมอเลยนะคะ บ้านหนูเปิดร้านอาหารค่ะ ชื่อหออีหมิง ถ้าพี่สนใจหนูจะเขียนที่อยู่ให้นะ”
เสี่ยวจวีเคยได้ยินชื่อร้านอยู่ แต่ไม่มีโอกาสได้ไปลองเสียที
ไม่คิดเลยว่าร้านอาหารชื่อดังแห่งนั้นจะเป็นของเด็กหญิงตรงหน้า
ไม่แปลกใจเลยที่ยังอร่อยแม้จะเย็นแล้วก็ตาม
“ได้สิ ไว้พี่กลับไปจะต้องไปลองให้ได้เลย”
แค่นี้ยังอร่อยเลย ถ้าได้กินตอนร้อน ๆ รสชาติคงยิ่งกว่านี้แน่
ตอนเสี่ยวหลิ่วกลับมา เจ้าตัวก็เห็นกล่องอาหารบนโต๊ะสะอาดเอี่ยม
แววตาพลันฉายชัดถึงความไม่พอใจ
ทำไมกินกันหมดเลยล่ะ?
ไม่คิดจะแบ่งไว้ให้เธอบ้างเหรอ?
เพื่อนร่วมงานคนอื่นยังได้ชิมคนละนิดคนละหน่อยเลย
แล้วทำไมพอเป็นเธอถึงไม่เหลือไว้ให้บ้าง หมูก้อนสักลูก ซี่โครงสักชิ้นก็ยังดี!
สองคนในห้องเหลือบมองคนมาใหม่ แต่ไม่ได้พูดอะไรด้วย พวกเธอเก็บกล่องอาหารเงียบ ๆ เตรียมนำไปล้างทำความสะอาด
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทั้งสอง เสี่ยวหลิ่วจึงได้แต่กำหมัด
จวีอวี้ฟางคิดจะประจบประแจงท่านอธิบดีฟ่านสินะ ก็เลยเข้าหาสาวน้อยคนนี้!
หน้าด้าน!
ท่าทางเหมือนไม่เอาอ่าวอะไร แต่ตอนนี้กลับเสนอหน้ามาเอาอกเอาใจลูกหลานในครอบครัวเขาอีก ไม่รู้คนอื่นมาเห็นท่าทางแบบนี้จะคลื่นไส้หรือเปล่า!
แถมยังมาเพื่อกินอีก คนแบบนี้หน้าด้านจริง ๆ!