บทที่ 941 ชักชวนให้อยู่ต่อ
บทที่ 941 ชักชวนให้อยู่ต่อ
พวกผู้ชายกำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ในห้องโถงอีกฝั่งหนึ่ง
ส่วนอีกฝั่งมีเสี่ยวเฉ่ากำลังคุยกับพวกคุณย่าซู
พอรู้ข่าวว่าหลานสาวจะมาอบรมในเมืองหลวง ท่านก็มีความสุขมาก
“งั้นก็มาพักที่บ้านย่าสิ อย่าปฏิเสธเลย”
ที่จริงท่านชอบเสี่ยวเฉ่ามาก
ช่วงที่เสี่ยวเฉ่ากับเสี่ยวเหมยเรียนอยู่ในเมือง พวกเธอก็พักที่บ้านเราเหมือนกัน และท่านก็ชอบที่สองคนนี้ขยันทำงานมาก
ตอนนี้เสี่ยวเหมยอาศัยอยู่ในเมืองหลวงจึงเจอกันได้บ่อย ๆ แต่เสี่ยวเฉ่าไม่ค่อยเจอตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยน่ะ
อุตส่าห์ได้พบกันทั้งที ท่านเลยดีใจมากตอนที่ได้ยินว่าเจ้าตัวจะมาอบรมที่นี่อีกหลายเดือน
เสี่ยวเฉ่าลังเลเล็กน้อย
สรุปแล้วก็…
“ฉันว่าพักในโรงเรียนสะดวกกว่าค่ะคุณย่า”
“ทำไมยิ่งโตยิ่งเกรงใจเนี่ย? ใช่ว่าหนูจะไม่เคยอยู่บ้านเราสักหน่อยนะ ย่าไม่เคยเห็นหนูอิดออดแบบนี้มาก่อนเลย”
เสี่ยวเฉ่า “…”
มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ
มนุษย์ก็แบบนี้แหละ พอความคิดเปลี่ยน อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปด้วย
เสี่ยวเฉ่ารู้สึกว่าเธอไม่เหมาะจะพักที่บ้านซูในตอนนี้ ด้วยกลัวว่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
แต่อีกฝ่ายจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ
คุณย่าซูถาม “หนูมาอบรมที่โรงเรียนมัธยมอันดับ 7 ใช่ไหม พวกเสี่ยวเถียนก็เคยเรียนที่นั่นเหมือนกัน ไม่ไกลจากบ้านเราเลยนะ อยู่ที่ไหนไม่สบายเท่าที่บ้านแล้ว เชื่อย่าเถอะ มาอยู่ด้วยกัน!”
หญิงสาวลดสายตาลง
สุดท้ายก็ต้านทานท่านไม่ไหวจึงตอบตกลงไป
เป็นอันตัดสินแล้วว่าเสี่ยวเฉ่าจะอยู่บ้านซู
ซูฉางจิ่วที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งตกใจมากตอนที่รู้ข่าวว่า เสี่ยวเหมยเองก็คลอดลูกเหมือนกัน ทั้งยังมีอายุน้อยกว่าจื่อเล่อแค่ห้าวันเท่านั้น
“ผมยังพูดอยู่เลยว่าจะไปเยี่ยมบ้านเถาฮวาสักหน่อย ไม่คิดเลยว่าจะได้เป็นย่าคนแล้ว” เขาเอ่ยด้วยความตื้นตันใจ
ชีวิตของเถาฮวาเรียกได้ว่าอยู่ในจุดสูงสุดเลย
สมัยยังสาวชีวิตเกือบพังเพราะต้องมาเจอกับไอ้หลี่ฉางหมิง
แต่ใครจะรู้เล่าว่าเจ้าตัวโชคดีมากที่ได้มาพบกับเสิ่นจื่อเจิน
“ไหน ๆ ผมก็มาแล้ว ผมไปเยี่ยมหลานที่บ้านเธอด้วยดีกว่าครับ” เขายิ้ม
คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านหนานหลิ่งเป็นคนจากตระกูลซู แม้ในแง่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดจะไม่ได้ใกล้กันมาก แต่ทุกคนล้วนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ช่วยเหลือกันและกันจึงสนิทไปโดยปริยาย
“ต้องไปอยู่แล้วละ แต่พวกเธอเดินทางมาเหนื่อย ๆ พักสักคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยไปทักทายเพื่อนเก่าก็ได้”
ซูฉางจิ่วเงียบลงเมื่อได้ยินคำว่าเพื่อนเก่า
“ตระกูลตู้กับตระกูลฉือก็อยู่ที่เมืองหลวงทั้งนั้น มาแล้วก็ไปหาสักหน่อยไหมล่ะ?”
คนหนุ่มกว่าพยักหน้า
การไปหาพวกเขาย่อมเป็นเรื่องสมควร อีกฝ่ายยังเป็นผู้อาวุโสด้วย จะให้มาเองก็ไม่เหมาะสม
“พวกเขาอยู่ไกลไหมครับ?”
เขาถาม
ตอนมาถึงสถานีรถไฟก็พบว่าสถานีที่นี่ใหญ่กว่าตัวเมืองมาก
“ไม่ไกลหรอก เดินไม่กี่นาทีก็ถึง” ชายชราว่าพลางหยิบมวนบุหรี่ขึ้นมา “งั้นมะรืนพวกเราก็ไปบ้านเถาฮวากัน”
“ถ้าไม่ไกล งั้นตอนเช้าไปเยี่ยม พอบ่ายก็ไปบ้านเถาฮวาแล้วกันครับ ผมเป็นห่วงงานที่บ้านด้วยน่ะ เลยว่าจะกลับวันมะรืนครับ” เขารีบบอก
“ไม่ได้หรอก มะรืนนี้เด็ก ๆ ครบเดือนพอดีนะ ถ้าไม่ได้มาแต่แรกก็แล้วไป แต่ไหน ๆ มาแล้วรอครบค่อยกลับซี”
ไม่ทันจะพูดต่อ หญิงชราที่ได้ยินบทสนทนาก็เอ่ยรั้งเอาไว้เช่นกัน
ซูฉางจิ่วตั้งใจว่าจะอยู่ไม่เกินสองวันแล้วกลับ แต่เหมือนจะไม่ได้แล้ว เขาต้องอยู่จนเด็ก ๆ ครบเดือนถึงค่อยไป
“ใช่ครับหัวหน้า อุตส่าห์มาที่นี่ทั้งทีอยู่ต่อสักหน่อยเถอะ” เหล่าซานรีบชวน “ถ้าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ผมว่างจะพาคุณไปเดินเที่ยวนะ”
“ในเมื่อมาเมืองหลวงแล้วก็ต้องมาดูการเชิญธงชาตินะครับ แล้วก็ไปเยี่ยมชมวีรบุรุษ ยังมีที่พำนักที่ฮ่องเต้เคยประทับด้วยนะครับ ไหน ๆ ก็มาแล้วลองไปดูสักครั้งไหม?”
ตอนที่มาซูฉางจิ่วไม่ได้นึกเรื่องนี้เลย
พอได้ยินที่เหล่าซานบอกก็รู้สึกว่าสมเหตุผล
ชั่วชีวิตหากไม่มีเรื่องพิเศษอะไรก็คงมาเมืองหลวงแค่รอบเดียวแหละ แต่ถ้าไม่ไปจะไม่เป็นการเสียเที่ยวหรอกหรือ?
ในเมื่อไปเยี่ยมชมได้ ก็จะได้เอาไปบอกเล่าให้ชาวบ้านตอนกลับไปถึงยังไงละ
“แต่เราคงไม่ได้ซื้อของเฉพาะถิ่นเมืองหลวงหรอกนะ ต้องใช้เวลาน่ะ ฉางจิ่ว ในเมื่อเธอมาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ ให้เราได้ต้อนรับเธอหน่อยนะ!” คุณย่าซูเอ่ยอย่างใจกว้าง “อยู่บ้านเรานี่แหละ ไม่ต้องไปพักโรงแรมข้างนอกให้เสียดายเงินหรอก”
“ใช่ครับ ๆ หัวหน้าโทรไปบอกพี่สะใภ้ว่าจะอยู่ต่ออีกสองสามวันก็ได้นะ” เหล่าซานชักชวนอีกแรง
หลังจากคิดอยู่สักพัก ซูฉางจิ่วก็ตอบตกลง
เขาเสียค่าโดยสารในครั้งนี้ไปเยอะมาก ถ้ากลับไปเฉย ๆ ก็เสียเปล่าหมดสิ
“ได้ครับ งั้นผมอยู่ต่ออีกสองวันแล้วกัน ไว้ดื่มสุรางานเด็ก ๆ ครบเดือนแล้วค่อยกลับแล้วกัน”
เขายินดีอยู่แล้ว ตอนเดินทางมาเขาเอาเงินในบ้านมาจนหมด ไม่งั้นคงก็ไม่มีเงินเป็นของขวัญในงานหรอก
หลังจากพูดคุยสักพัก คุณปู่ซูก็บอกให้ไปพักผ่อน
กลุ่มนักเดินทางก็ไปโดยไม่ลังเล
ส่วนเด็ก ๆ จะกลับมาตอนวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น ให้อยู่บ้านเราได้ไม่มีปัญหา
ระหว่างที่คนอื่น ๆ ไปพักผ่อน บ้านซูก็คึกคักอีกครั้ง
นอกจากลุ่มซูฉางจิ่วแล้ว ยังมีบ้านตู้ถงเหอมาด้วย
ตอนนี้ฉือเก๋ออาศัยอยู่ที่บ้านกำพร้าของถานจื่อสือ จึงไม่ได้มา
ข้าวเย็นวันนี้ทำไว้อย่างดี อาหารหลากหลายจาน ทั้งเนื้อทั้งปลา มีข้าวและหมั่นโถว
ซูฉางจิ่วมองอาหารเหล่านั้น อดหิวขึ้นมาอีกไม่ได้
ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ ทำไมหิวอีกแล้วล่ะ?
ก่อนหน้านี้บอกเองไม่ใช่หรือว่ากินแค่บะหมี่ก็พอ ไม่ต้องกินข้าวเย็นหรอก
แต่อาหารเย็นวันนี้อุดมสมบูรณ์มากจริง ๆ นะ ช่วงปีใหม่บ้านเขาไม่ได้กินอาหารเยอะขนาดนี้เลย
“ฉางจิ่วรีบมากินข้าวเร็ว พอพักแล้วหน้าตาสดใสขึ้นเยอะเลย” คุณย่าซูทักอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
“หัวหน้าซู ไม่เห็นบอกกันเลยว่าจะมา ไม่งั้นเราคงตั้งตารอคุณแล้ว” ตู้ถงเหอเข้าไปจับมือแล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้น
ตอนเราถูกส่งไปอยู่ที่หงซิน ถือว่าโชคดีมาก ๆ ที่มีหัวหน้าอย่างซูฉางจิ่วและคนใจดีอย่างบ้านซู ไม่งั้นเราสองคนคงเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้กลับมาเมืองหลวงตลอดชีวิต
สองสามีภรรยาตู้จดจำบุญคุณบ้านซูได้ และไม่เคยลืมบุญคุณของหัวหน้าคนนี้เช่นกัน
ซูฉางจิ่วมองคนทั้งสองที่ต่างไปจากสมัยอยู่หมู่บ้านโดยสิ้นเชิง แทบไม่กล้านึกถึงเลย
ต่างจากเดิมเยอะมาก ๆ
“พวกคุณสบายดีนะครับ? ผมยังพูดอยู่เลยว่าจะไปหาพรุ่งนี้ ไม่คิดว่าพวกคุณจะมาที่นี่ด้วย”
เขาละอายใจจริง ๆ ตนควรจะไปเยี่ยมผู้อาวุโสสิ
แต่กลับให้พวกเขามาหาแทนได้อย่างไร