ตอนที่ 123 นี่คือบุตรชายของท่านอ๋องซิวมิใช่หรือ?
หนานหนานกลืนน้ำลายกลับลงคอ กะพริบตาด้วยความประหลาดใจ
การแข่งขันใหญ่ของสี่อาณาจักร? ฟังดูเหมือนจะสุดยอดมาก สี่อาณาจักรเชียวนะ นี่คือ…การแข่งขันใหญ่ของสี่อาณาจักร ถูกต้องแค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นการแข่งขันบรรยากาศระดับชนชั้นสูง เขาอายุแค่ห้าขวบ ห้าขวบสามารถเข้าร่วมการแข่งขันใหญ่เช่นนี้ได้ คงสามารถนำไปพูดโอ้อวดได้แล้ว
หนานหนานยืดหน้าอกเล็ก ๆ เขาพอจะจินตนาการได้ว่าหากได้รับชัยชนะจากการแข่งขัน หลังจากนี้ทุกคนก็จะตะโกนยกย่องว่าเขาเป็นอัจฉริยะ
ฮ่า ๆ ๆ ถึงเวลานั้นบางทีแม้แต่ท่านแม่ก็ต้องประจบเขา บางทีเขาอาจจะมีชื่อเสียงโด่งดัง ทุกคนที่อยู่ใต้หล้าก็จะรู้จักชื่ออวี้ฉิงหนานของเขา หลังจากนี้หากจะแต่งงานก็ไม่ต้องกังวลแล้ว เด็กสาวเหล่านั้นก็คงต้องต่อแถวรอเขาสินะ?
ฮ่า ๆๆๆ!!!
ฮ่องเต้และเย่หลานเฉิงสบตากัน ไม่เข้าใจว่าเด็กคนนี้แหงนหน้าขึ้นอ้าปากหัวเราะอะไรอยู่
“ตกลง ข้าจะเข้าร่วมด้วย” หนานหนานยิ้มมากพอแล้ว คิดมากพอแล้ว โอ้อวดมากพอแล้ว จึงได้สติกลับคืนมา มือเล็ก ๆ ตบลงบนโต๊ะในทันที พูดด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง “ไม่ต้องกล่าวถึงความสามารถอื่น การแข่งขันอะไรพวกนี้ข้าได้ที่หนึ่งมาโดยตลอด”
ฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะหลุดสรวลออกมา ความสามารถในการโอ้อวดก็ทำได้ดีมากเช่นกันมิใช่หรือ?
เย่หลานเฉิงกลับไม่ได้คิดตื้น ๆ เหมือนกับหนานหนาน การแข่งขันใหญ่ของสี่อาณาจักร เมื่อสามปีก่อนเขาก็เคยได้ยินมาก่อน
ดูเหมือนว่าแต่ละอาณาจักรจะมีคนเข้าร่วมทั้งหมด ทุกช่วงอายุต่างก็มีคนเข้าร่วม อายุต่ำกว่าสิบขวบหนึ่งกลุ่ม อายุสิบขวบถึงสิบห้าปีหนึ่งกลุ่ม อายุสิบห้าปีถึงยี่สิบห้าปีหนึ่งกลุ่ม ส่วนคนที่อายุมากกว่ายี่สิบห้าปีไม่สามารถเข้าร่วมได้แล้ว
รายการในการแข่งขันมีอยู่ทุกอย่าง ทั้งขี่ม้ายิงธนู ขับร้องบทกวี กระดานหมากรุก การละเล่นลูกหนังน้ำชู่จวี[1]และอื่น ๆ เพื่อเกียรติของอาณาจักร แต่ละอาณาจักรจะคัดเลือกบุรุษและสตรีที่โดดเด่นที่สุดภายในอาณาจักรของตนเองมาเข้าร่วม
ทว่าเสด็จปู่กลับตัดสินใจให้เขาและหนานหนานเข้าร่วมด้วย ทั้งยังเหลือเวลาให้เตรียมตัวแค่หนึ่งเดือน เวลาไม่กระชั้นชิดไปหน่อยหรือ?
อีกอย่าง สำหรับหนานหนาน…เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการแข่งขันคืออะไร เขาก็คงคาดเดาจากจินตนาการของตนเอง
เย่หลานเฉิงแอบรู้สึกหมดแรง ทว่าในเมื่อเสด็จปู่ตรัสแล้ว เขาย่อมต้องออกแรงทั้งหมดที่มี จะไม่ทำตัวเป็นตัวถ่วงเด็ดขาด
“หลานรับพระบัญชา จะไม่ทำให้ต้องอับอาย หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนหลานจะทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อให้ได้รับชัยชนะในการแข่งขันนี้”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ดูเหมือนจะพึงพอพระทัยอย่างมาก
หนานหนานที่อยู่ข้าง ๆ กระโดดแรง ๆ “ข้าด้วย ๆ ต้องได้ที่หนึ่งแน่นอน ใครไม่ให้ที่หนึ่งกับข้า ข้าจะกัดเขาให้ตายไปเลย”
ฮ่องเต้ถึงกับเกิดเส้นสีดำสามเส้นผุดขึ้นที่พระนลาฎ เด็กคนนี้เป็นลูกเต้าเหล่าใครกันแน่?
“หนานหนาน ในเมื่อเจ้าต้องเตรียมตัวเข้าแข่งขันหลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน ก็ควรจะกลับไปบอกพ่อแม่ของเจ้าสักหน่อยมิใช่หรือ? ตอนนี้เราจะให้คนส่งเจ้าออกจากวัง ดีหรือไม่?”
หนานหนานออกแรงส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก พวกเราให้ความสำคัญกับเรื่องใหญ่ เรื่องการแข่งขันมิอาจล่าช้าได้ ไม่ต้องเสียเวลานั้นเพื่อออกจากวังหรอก ตอนนี้ข้าจะคุยกับเสี่ยวเฉิงเฉิงเกี่ยวกับเรื่องของการแข่งขันให้ดี ฝ่าบาท ท่านคิดเห็นอย่างไร?”
ฮ่องเต้เลิกพระขนงขึ้น แม้เรื่องที่พระองค์ตรัสว่าจะให้หนานหนานเข้าร่วมการแข่งขันจะเป็นการตัดสินพระทัยชั่วคราว แต่เด็กคนนี้ยังมีสถานะไม่ชัดเจน พระองค์จึงไม่ค่อยวางพระทัยเท่าไรนัก จึงอยากใช้โอกาสในช่วงหนึ่งเดือนนี้ตรวจสอบให้แน่ชัด
“ฝ่าบาท ท่านแม่ของข้าพูดว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ข้ากับเสี่ยวเฉิงเฉิงเตรียมตัวเรื่องการแข่งขันกันอย่างหนักเช่นนั้น ท่านก็ควรจะจัดหาอาหารอร่อย ๆ ให้พวกเราได้กินทุกมื้อมิใช่หรือ?”
ได้กินอาหารชาววังทุกวัน ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว
ฮ่องเต้หรี่พระเนตร พระองค์รู้สึกได้ว่า เป้าหมายหลักในการเข้ามาในวังของเด็กคนนี้ราวกับมาเพื่อกินข้าวงั้นหรือ?
ระหว่างที่กำลังคิด เสียงของเหมียวเชียนชิวก็ดังขึ้นจากด้านนอก “ฝ่าบาท เตรียมพระกระยาหารไว้พร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ทอดพระเนตรยังหนานหนานที่กำลังมีดวงตาลุกวาว ภายในพระทัยก็แอบรู้สึกขบขัน
“ช้าก่อน” จู่ ๆ หนานหนานก็กระโดดลงจากเก้าอี้ “ข้าขอไปเข้าห้องสุขาเพื่อระบายของในท้องออกก่อน”
“……”
พูดเรื่องนี้ตอนที่กำลังจะกินข้าว ไร้สิ่งใดต้องเกรงกริ่งจริง ๆ
เย่หลานเฉิงถึงกับหัวเราะแห้ง มองดูหนานหนานที่วิ่งไปด้านหลังห้อง ก่อนจะเอ่ยปากพูดอย่างเกรงใจ “เสด็จปู่ ก่อนหน้านี้หนานหนานคงเจอเรื่องไม่ดี ดังนั้นเมื่อเห็นของกินอร่อย ๆ จึงไม่อยากเสียดาย เขา…คาดว่าคงเจอกับความยากลำบากในภาวะที่ต้องยอมจำนน”
จักรพรรดพยักพระพักตร์เพราะทำอะไรไม่ถูก พระองค์เป็นฮ่องเต้มาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยมีใครกล้าพูดถึงเรื่องเข้าห้องสุขาต่อเบื้องพระพักตร์เช่นนี้ โดยเฉพาะตอนที่กำลังจะกินอาหาร
หากมิใช่เพราะวันนี้พระองค์กำลังเบิกบานพระทัย เกรงว่าเด็กคนนั้นคงได้เจอหายนะเป็นแน่
ช่างเถิด ก็แค่เด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวคนหนึ่ง วันนี้นาน ๆ ทีที่จะทำให้พระองค์ได้สรวลอย่างเบิกบานเช่นนี้ อีกอย่างพระองค์ก็โปรดปรานหนานหนานมาก จึงปล่อยให้เขาทำตัววุ่นวายครั้งนี้สักครั้งก็แล้วกัน
หลังจากชะงักไป พระองค์ก็ส่งเสียงตรัสเรียกให้เหมียวเชียนชิวนำอาหารเข้ามาตั้ง ครั้นทอดพระเนตรไปยังเคอกงกงที่เดินตามเข้ามา สายพระเนตรก็หรี่ลง ก่อนจะหันไปส่งสายตาให้เหมียวเชียนชิว
เหมียวเชียนชิวเข้าใจความหมาย จึงหันไปพูดกับเคอกงกงว่า “พวกเจ้าออกไปให้หมด ข้าจะถวายการปรนนิบัติฝ่าบาทและซื่อจือเอง”
“เจ้าค่ะ” หลังจากนางข้าหลวงและขันทีนำอาหารยกเข้ามาตั้งโต๊ะแล้ว จึงค้อมกายคารวะและถอยออกไป ส่วนเคอกงกงมองมาที่เย่หลานเฉิงอยู่หลายหน ราวกับอยากให้อีกฝ่ายบอกให้เขาอยู่ที่นี่
แต่น่าเสียดาย เย่หลานเฉิงที่พึ่งพาเขามาโดยตลอด วันนี้กลับไม่มองเขาเลย เพียงแต่นั่งตัวตรงก้มหน้าลงเล็กน้อย
จนกระทั่งอีกฝ่ายออกไปแล้วและประตูถูกปิดลง ฮ่องเต้จึงทรงชี้ไปยังกล่องอาหารข้าง ๆ พร้อมตรัสกับเหมียวเชียนชิว “ตอนเดินทางกลับจงนำกล่องอาหารนี้กลับไปด้วย ส่งไปยังไท่อีเยวี่ยน สั่งให้หมอหลวงเหลียงตรวจสอบดูว่าในนี้มีพิษหรือไม่”
เหมียวเชียนชิวประหลาดใจ “ฝ่าบาทหมายความว่า…”
“ตรวจสอบเคอกงกงคนนั้นให้แน่ชัด” ครั้นตรัสถึงตรงนี้ พระองค์ก็หันมามองเย่หลานเฉิง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้แสดงสีหน้าเหนือความคาดหมาย จึงทราบได้ว่าเด็กคนนี้ก็สงสัยขันทีผู้นั้นเช่นกัน จึงเกิดความพึงพอพระทัยอยู่ในพระทัย ตรัสต่อไปว่า “เคอกงกงรับผิดชอบเรื่องชีวิตประจำวันและอาหารการกินของซื่อจื่อมาโดยตลอด มีโอกาสที่เขาจะลงมือสูงมาก”
เหมียวเชียนชิวมีสีหน้าจริงจังอย่างมาก “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วก็…” ฮ่องเต้ครุ่นคิด พระองค์ขมวดพระขนงครุ่นคิดว่าจะพูดเรื่องหนานหนานอย่างไร หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงตรัสเสียงเบา “ตรวจสอบรถม้าที่เข้าวังมาในช่วงสองวันนี้ด้วย”
เหมียวเชียนชิวถึงกับเกิดความสับสน ส่วนเย่หลานเฉิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป เสด็จปู่กำลังสงสัยหนานหนานแล้ว
“เสด็จปู่ หนานหนานไม่ใช่คนไม่ดี”
ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ไม่ให้เขาพูดอะไร “เรารู้ แต่เด็กคนนั้นปรากฏตัวขึ้นภายในวังอย่างไร้เหตุผล จึงทำให้เรารู้สึกสนใจ ไม่ว่าเขาจะมีสถานะเป็นเช่นไร ภายในวังมิอาจมีบุคคลไร้ตัวตนแน่ชัดอาศัยอยู่ที่นี่ แม้จะเป็นแค่เด็กก็ตาม”
“ใครคือบุคคลไร้ตัวตนแน่ชัด?” หนานหนานเดินลูบท้องออกมาจากด้านในด้วยความสงสัย
ทั้งสามคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้หันไปมองอย่างพร้อมเพียง วินาทีต่อมา เสียง ‘โครม’ พลันดังขึ้น กล่องอาหารที่เหมียวเชียนชิวถืออยู่ได้หล่นลงพื้น ขณะมองหนานหนานที่จู่ ๆ ก็เดินออกมาจากด้านในราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
เด็กคนนี้ เด็กคนนี้คือคนที่เขาเจอที่จวนหวังอ๋องในวันนั้นมิใช่หรือ? เด็กคนนี้คือ…บุตรชายของท่านอ๋องซิวมิใช่หรือ?
…………………………………………………………………………………………………………………….
[1] การละเล่นลูกหนังน้ำชู่จวี (蹴鞠水球) เป็นการละเล่นหรือกีฬาชนิดหนึ่งของจีนโบราณ ที่มีลักษณะการเล่นคล้ายกับฟุตบอลในยุคปัจจุบัน คำว่า “ชู่จวี” แปลตรงตัวได้เลยว่า “เตะบอล” เป็นกีฬาที่แบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย ต่างฝ่ายใช้ขาหรือเท้าเตะลูกบอลทำประตูของอีกฝ่ายให้ได้ โดยห้ามใช้แขนหรือมือ โดยประตูของกีฬาชนิดนี้จะใช้เป็นห่วงไม้ขนาดใหญ่ที่แขวนจากที่สูง
สารจากผู้แปล
หนานหนานเอ๊ย เรื่องที่ควรจริงจังก็จริงจังซักหน่อยเถอะนะ ท่าทางคงต้องตั้งรางวัลเป็นของกินแล้วล่ะ ดูน้องสู้เพื่อของกินมากเลย
จากนี้ไปท่านเหมียวกงกงจะอธิบายเรื่องนี้กับฮ่องเต้ยังไงดีเนี่ย
ไหหม่า(海馬)