อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ] – ตอนที่ 154 ยุให้รำตำให้รั่ว

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ]

ตอนที่ 154 ยุให้รำตำให้รั่ว

เหมิงกุ้ยเฟยถลึงตาใส่แผ่นหลังของเขา นิ้วมือถูกกำเข้าหากันจนแน่น

เย่ซิวตู๋ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ช่วงนี้หวังว่าหมู่เฟยจะดูแลผู้อารักขาของข้าให้ดี เช่นนี้ย่อมเกิดผลดีกับทุกคน ถึงอย่างไร น้องเจ็ดก็ยังนอนอยู่ตรงนั้น”

“ออกไป!!!” เหมิงกุ้ยเฟยเตะเก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ เท้าจนคว่ำ ร่างกายของนางถึงกับสั่นเทิ้มเพราะความโกรธ

เย่ซิวตู๋ไม่อยากพูดกับนางให้มากมาย จึงเปิดประตูห้องและสาวเท้าเดินออกมา

เจี่ยนเซียงทำความเคารพให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินเข้าไปด้านใน “เหนียงเหนียง”

เหมิงกุ้ยเฟยเม้มปากแน่น นิ้วมือเรียวยาวขาวผ่องจิกเข้ากับฝ่ามือ นางเงยหน้ามองเย่ฮ่าวถิงที่ยังนอนสลบไม่ได้สติอยู่อย่างนั้น แอบสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับความโกรธที่อยู่ในใจ

ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงได้ยินเสียงที่แสนจะธรรมดาของนาง “ไปเรียกตัวหมอเสิ่นมา”

เจี่ยนเซียงชะงัก รีบขานตอบและหมุนกายวิ่งออกไปอีกครั้ง

เพียงไม่นาน นางก็นำตัวอาจารย์เสิ่นที่อยู่ห้องโถงข้าง ๆ เดินกลับเข้ามาอีกครั้ง

เมื่อเห็นข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้น สายตาของอาจารย์เสิ่นพลันไหววูบ ร่างกายสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ มิอาจรักษาความนิ่งสงบและความหยิ่งยโสที่เคยมีไว้ได้แล้ว

“เหนียงเหนียง” ตอนนี้เขาเพิ่งจะตระหนักได้ถึงความยากลำบากภายในวังแห่งนี้ อันตรายเกิดขึ้นได้ทุกย่างก้าว หากก้าวพลาดโดยไม่ทันได้ระวังคงได้ถูกตัดหัว ความชอบของเจ้านายขึ้นอยู่กับอารมณ์ทั้งหมด

เขาไม่มีความสามารถที่จะถอนพิษขององค์ชายเจ็ดได้ คาดว่าตนคงมิอาจอยู่ในวังแห่งนี้ได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อครู่ตอนที่ยืนอยู่ด้านนอก เขาเอาแต่ตรึกตรองอยู่ตลอดว่าจะออกจากวังแห่งนี้อย่างไร คิดไม่ถึงเลยว่ายังไม่ทันจะคิดหาทางออกได้ก็ถูกเหมิงกุ้ยเฟยเรียกให้เข้าพบอีกครั้ง

ดูจากท่าทางเช่นนี้ก็ทราบว่าเหมิงกุ้ยเฟยเพิ่งจะลุแก่โทสะ ตอนนี้อย่าได้ซวยติดร่างแหไปด้วยเลย

“อาจารย์เสิ่น” เหมิงกุ้ยเฟยเก็บสีหน้าแล้วกลับมาอยู่ในท่าทางสง่างามเช่นนั้นอีกครั้ง “เรื่องยาถอนพิษตอนนี้พับเก็บไว้ชั่วคราวก่อน”

อาจารย์เสิ่นเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ เหตุใดจู่ ๆ กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงถึงได้เปลี่ยนใจ? หรือว่านางไม่คิดจะดูอาการให้องค์ชายเจ็ดแล้ว?

“แต่เหนียงเหนียง องค์ชายเจ็ด…”

“เรื่องของฮ่าวถิง เรารู้ว่าต้องทำอย่างไร ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดของท่านก็คือคิดหาวิธีขึ้นไปนั่งตำแหน่งหัวหน้าไท่อีเยวี่ยนให้ได้ จากนั้นก็ช่วยจัดการเรื่องนั้นแทนเราให้เรียบร้อย” เหมิงกุ้ยเฟยเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ความสามารถของเย่ซิวตู๋เป็นเช่นไรนางย่อมทราบดี แม้จะไม่เจอกันสี่ปี แต่นางก็รับรู้ได้ถึงความคิดด้านมืดของอีกฝ่าย หากเขามีความคิดวางยาใส่ฮ่าวถิง และรู้ถึงสถานการณ์ที่นางมีหมอปีศาจอยู่ข้างกาย เช่นนั้นพิษนี้คงถอนออกไปได้ยาก คงไม่ง่ายที่จะปรุงยาถอนพิษออกมา

เป้าหมายของเย่ซิวตู๋คือผู้อารักขาคนนั้น ตอนนี้เขาจึงไม่กล้าทำอะไรฮ่าวถิงจนถึงชีวิต

แม้อาจารย์เสิ่นจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเหมิงกุ้ยเฟยถึงได้เปลี่ยนใจอย่างฉับพลัน แต่ในเมื่อไม่ต้องให้เขาปรุงยาถอนพิษ เขาก็โล่งอกกับเรื่องนี้แล้ว อย่างน้อย ๆ ตนก็ไม่ต้องคิดหาวิธีออกไป ถึงอย่างไรตำแหน่งหัวหน้าไท่อีเยวี่ยนก็เป็นสิ่งดึงดูดใจคนอย่างมาก หากนั่งอยู่บนตำแหน่งนี้ได้ เขาก็จะได้เสวยสุขอยู่บนความรุ่งเรืองมั่งคั่งอย่างไม่มีสิ้นสุดนับจากนี้ไป

คิดเช่นนี้ ความหวาดกลัวของอาจารย์เสิ่นที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จึงหายไปจนหมด พยักหน้ากล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

“แล้วก็ การประลองอีกสิบวันหลังจากนี้ เราต้องการให้ท่านชนะ ต้องชนะเท่านั้น”

“ขอรับ” เสียงของอาจารย์เสิ่นดังขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกมั่นใจกับการประลองฝีมือแพทย์เป็นอย่างมาก แม้ทักษะทางการแพทย์ของเขาจะไม่ถึงขั้นหมอปีศาจ แต่เมื่อเทียบกับหมอธรรมดาทั่วไปแล้วก็มากเกินพอแล้ว

การประลองฝีมือแพทย์นั้นช่างเป็นเรื่องง่ายดายที่เขาจะชนะ อีกอย่างเขาก็ต้องการให้ท่านอ๋องซิว เสนาบดีฝั่งขวา รวมถึงรองเจ้ากรมฝ่ายการทหารอะไรนั่นชดใช้ให้เขาอย่างสาสมด้วย เขามั่นใจว่าการประลองฝีมือแพทย์ย่อมทำให้เขาขยับเข้าใกล้ตำแหน่งหัวหน้าไท่อีเยวี่ยนมากยิ่งขึ้น

เหมิงกุ้ยเฟยคลึงหว่างคิ้วเบา ๆ นางโบกมือกล่าวด้วยความรู้สึกปวดหัว “ท่านออกไปก่อน ไปวินิจฉัยและรักษาผู้อารักขาของท่านอ๋องซิวคนนั้นที่ห้องเล็กทางซ้ายมือนั่นสักหน่อย อย่าให้บนร่างกายของเขามีบาดแผลเหลือทิ้งไว้แม้แต่เส้นเดียว”

เสิ่นอิงเป็นผู้อารักขาของเย่ซิวตู๋ เหมิงกุ้ยเฟยย่อมไม่มีทางทำให้เขาได้อยู่อย่างสุขสบาย ตอนที่นำตัวกลับมา นางได้สั่งให้คนจัดการอย่างหนักไปหนหนึ่งแล้ว

ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่เพียงแค่นางจะแตะต้องเขาไม่ได้ แต่ยังต้องให้คนไปดูแลเขาเป็นอย่างดีด้วย

เย่ซิวตู๋ที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาสี่ปี ชักปีกกล้าขาแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

อาจารย์เสิ่นรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ยอมออกไปอย่างเชื่อฟัง หลังจากเดินออกจากตำหนักอี๋ซิ่ง สายตาจึงหันมองไปยังตำแหน่งที่เย่ซิวตู๋เดินจากไปเมื่อครู่โดยไม่รู้ตัว สมองเกิดความสับสน ท่านอ๋องซิวพูดอะไรกับเหมิงกุ้ยเฟยกันแน่? เหตุใดภายในระยะเวลาสั้น ๆ กลับทำให้เหมิงกุ้ยเฟยเปลี่ยนความคิดครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้?

เขาสะบัดหน้าและข่มความคิดกลับเข้าไปอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ยกมือไพล่หลังด้วยท่าทางสูงส่งเดินเข้าไปในห้องขนาดเล็กที่กักขังเสิ่นอิง

ภายในห้องช่างมืดมิด ผู้อารักขาหกคนของตำหนักอี๋ซิ่งยืนตัวตรงอยู่ข้าง ๆ เสิ่นอิง ไม้ตะบองที่อยู่ในมือเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด

อาจารย์เสิ่นถึงกับขมวดคิ้ว ทว่าเมื่อนึกถึงสีหน้าของเย่ซิวตู๋ที่มองเขาด้วยท่าทางดูหมิ่นโดยไม่คิดจะไว้หน้าเขาภายในโรงเตี๊ยมเมื่อวานนี้ เมื่อได้เห็นสภาพของเสิ่นอิงเช่นนี้ก็รู้สึกได้ระบายอารมณ์อย่างมาก

เขามองผู้อารักขาหกคนนั้นปราดหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พวกเจ้าออกไปให้หมด เหนียงเหนียงให้ข้ามารักษาบาดแผลของเขา”

ทั้งหกคนนั้นหันสบตากัน จนกระทั่งเห็นเจี่ยนเซียงที่ยืนพยักหน้าให้อยู่ด้านนอก จึงยอมเดินออกมา

ร่างกายของเสิ่นอิงชุ่มไปด้วยเลือด ความเกลียดชังทั้งหมดที่เหมิงกุ้ยเฟยมีต่อเย่ซิวตู๋ถูกระบายลงบนตัวของเขา ตะปูที่อยู่บนไม้ตะบองเหล่านั้น เมื่อทุบเข้าที่ตัวของเขาแต่ละครั้งทำให้เลือดไหลอาบออกมา

อาจารย์เสิ่นเดินมาตรงหน้าเขา หมุนวนรอบ ๆ หนึ่งครั้งอย่างเนิบช้า ส่งเสียงเดาะลิ้นพูดว่า “ดูสภาพของเจ้าสิ ถูกทุบตีจนอยู่ในสภาพนี้แต่ก็ยังไม่เห็นเจ้านายของเจ้ามาช่วยเหลือ ตอนนี้คงรู้แล้วสินะว่าจุดจบของคนที่เลือกติดตามเจ้านายผิดคนเป็นเช่นไร”

เสิ่นอิงถูกมัดมือและเท้าไว้ เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงชั่วร้ายของอีกฝ่ายจึงถ่มโลหิตลงบนพื้นแรง ๆ พลางยิ้มเยาะ “เหอะ เลือกเจ้านายผิดคน? ทั้งชีวิตนี้สิ่งที่ข้าไม่เคยรู้สึกเสียใจก็คือการที่เลือกติดตามท่านอ๋อง เหตุใดเจ้าถึงรู้สึกไขว้เขวอยู่ในใจเสียได้เล่า”

“ยังจะปากแข็งอีก ข้าจะบอกอะไรให้ ท่านอ๋องซิวเพิ่งจะกลับไป ทั้งยังคุยกับกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงอยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ไม่คิดจะเอ่ยปากพูดถึงเจ้าสักคำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะมาช่วยเหลือเจ้า ภายในใจของท่านอ๋องซิว เจ้ามันก็แค่สุนัขตัวหนึ่ง เขาไม่คิดจะพาเจ้าออกไปหรอก ตายไปแล้วก็ปล่อยให้ตายไป”

เสิ่นอิงหัวเราะ ส่ายหน้าสะบัดเหงื่อที่ไหลอยู่บนเปลือกตา ทว่ากลับไม่ได้ตอบสนองต่อคำพูดยั่วยุของอาจารย์เสิ่น

เขาติดตามท่านอ๋องมาหลายปีขนาดนี้ เหตุใดถึงจะไม่เข้าใจนิสัยของท่านอ๋อง? ต่อให้เพิ่งรู้จักกับแม่นางอวี้มาไม่นาน แต่เขาก็รู้สึกได้ว่านางไม่มีทางกลับไปมือเปล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่านอ๋อง

หากท่านอ๋องไม่ได้ทำอะไร เหตุใดคนแซ่เสิ่นถึงได้มาที่นี่เพื่อรักษาเขา? ระหว่างนี้หากท่านอ๋องไม่ได้พูดหรือทำอะไร เกรงว่าตอนนี้เขาคงเหลือแค่ครึ่งชีวิตไปแล้ว

เพียงแต่ หากช่วยเขาแล้ว เกรงว่าเรื่องระหว่างท่านอ๋องและเหมิงกุ้ยเฟยคงยิ่งวุ่นวายมากขึ้น

เย่ซิวตู๋ไม่สนใจหากต้องขัดแย้งกับเหมิงกุ้ยเฟย สำหรับเขา เมื่อเทียบเหมิงกุ้ยเฟยและเสิ่นอิง เสิ่นอิงคล้ายกับญาติของเขามากกว่าเหมิงกุ้ยเฟยเสียอีก

อวี้ชิงลั่วเดินตามหลังเย่ซิวตู๋ นางเห็นเขาเงียบขรึมตลอดทาง ไม่รู้ว่าภายในใจกำลังคิดอะไรอยู่ ทว่าเมื่อครู่ตอนที่เดินออกมา นางเห็นคนแซ่เสิ่นถูกเรียกตัวเข้าไป คาดว่าคงกำลังคุยเรื่องยาถอนพิษอยู่กระมัง

ยาพิษของอวี้ชิงลั่ว นักต้มตุ๋นนั่นจะถอนออกได้อย่างไร?

“ปึก…” อวี้ชิงลั่วก้มหน้าลงเล็กน้อยขณะเดินเหม่อลอย จู่ ๆ คนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็หยุดลงอย่างฉับพลัน นางจึงชนเข้ากับเขาโดยไม่ทันได้ระวัง “ท่านทำอะ…”

เสียงของนางหยุดกะทันหัน มองไปตามสายตาของเย่ซิวตู๋ ภายในใจก็เกิดอาการเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ขึ้นมา

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แง สงสารพี่เสิ่นอิงของฉันมาก นังกุ้ยเฟยแก…

หมอเสิ่นเจิ้นคิดจะเอาชนะชิงลั่วเหรอ เอาความมั่นใจมาจากไหนคะ ขนาดพิษบนตัวองค์ชายเจ็ดยังถอนไม่ได้เลย

ไหหม่า(海馬)

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ]

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว [ 坑爹儿子鬼医娘亲 ]

Status: Ongoing
จากภรรยาผู้เป็นที่รังเกียจของสามีและถูกใส่ความว่าเป็นชู้กับบุรุษอื่นจนกระทั่งมีบุตรด้วยกัน​ อีกหกปีให้หลังได้เป็นหมอหญิงฉายา​ ‘หมอปีศาจ’​ ผู้ลือนามพร้อมบุตรชายแสนซนที่สรรหาเรื่องราวต่างๆ​ รวมถึงบุรุษที่คาดว่าจะเป็นบิดาตนมาให้ไม่หยุดหย่อน​ อวี้ชิงลั่ว​ แพทย์หญิงมือฉกาจจากยุคปัจจุบันผู้ทะลุมิติ​มาเข้าร่างของหมอปีศาจผู้นี้จะทำอย่างไรต่อไปดี​ ในเมื่อปริศนาเกี่ยวกับตัวเองก็ต้องสืบ​ ส่วนบิดาของลูกติดเจ้าของร่างก็ต้องหา?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท