ตอนที่ 296 ช่างมันเถอะ
ตอนที่ 296 ช่างมันเถอะ
“อ้า…” หลังจากนั้นชิ้นส่วนของรถม้าก็แหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมกับเสียงกรีดร้องดังขึ้น บุรุษสามคนในอาภรณ์งดงามกลิ้งออกมาจากรถ เศษไม้ร่วงกราวเป็นผุยผงติดอยู่ทั่วทั้งศีรษะของคนเหล่านั้น ทำให้พวกเขารู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
อุปราชดวงตาเบิกกว้าง สิ่งแรกที่เขากระทำหลังรู้สึกตัว ก็คือเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเคือง “เย่ซิวตู๋ ท่าน…”
“ท่านอุปราช ฝีมือการสร้างรถม้าของท่านช่างย่ำแย่นัก” เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้วพลางเอ่ยขัดคำพูดของอุปราช และโยนท่อนไม้ที่อยู่ในมือลงไปบนพื้นท่ามกลางแววตาตกตะลึงของฝูงชน ก่อนปัดเสื้อผ้าเดินออกไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าว
“ข้าบอกแล้วว่าพละกำลังของข้านั้นมีมากมาย เพียงแต่ยังใช้พลังไปได้ไม่เท่าไหร่ รถม้าคันนี้ก็พังยับแล้ว รถม้าแบบนี้ หากว่าคนห้าหกคนมาช่วยกันลาก ยังไม่ทันจะสัมผัสอะไรก็จะไม่แตกละเอียดเป็นผุยผงแล้วหรือ?”
ฝูงชนคาดไม่ถึงว่าเย่ซิวตู๋จะทำลายรถม้าของอาณาจักรจิงเหลย และยังทำลายมันต่อหน้าอุปราชอีกด้วย
ฉีหายเว่ยที่นั่งพัดอยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมก็หัวเราะขึ้นมา “ดี ดีมาก สมแล้วที่เป็นท่านอ๋องซิวแห่งอาณาจักรเฟิงชาง ช่างกล้าหาญจริง ๆ ถ้าจะเปรียบกับองค์รัชทายาทหรือองค์ชายท่านอื่น ๆ ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้จริง ๆ”
องครักษ์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อดที่จะพยักหน้าออกมาไม่ได้ จริง ๆ แล้วเห็นจะมีเพียงแค่เย่ซิวตู๋ผู้เดียวเท่านั้นที่มีความกล้าหาญ ดูเหมือนองค์รัชทายาทผู้นั้นจะทำได้แค่ประจบประแจง ช่างเป็นคนที่ไร้ความสามารถเสียจริง ๆ ส่วนองค์ชายเจ็ดผู้นั้นก็มีใจที่จะกู้หน้าให้กับอาณาจักรเฟิงชาง เพียงขาดประสบการณ์เล็กน้อยเท่านั้น ในส่วนของท่านอ๋องเป่า ถึงแม้ว่าสีหน้าแววตาของเขานั้นจะดีมาก ๆ แต่ยังขาดความกล้าหาญ และไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับอุปราชโดยตรง
เมื่อพิจารณาตามนี้ พวกเขาล้วนแตกต่างจากเย่ซิวตู๋เป็นอย่างมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเฟิงชางจะชื่นชอบเย่ซิวตู๋มาก หากว่าเขาได้สืบทอดราชบัลลังก์ อาณาจักรเฟิงชางก็คงจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปอีก
องค์รัชทายาทและคนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะงุนงง เดิมทีแล้วพวกเขาไม่ได้เชื่อว่าเย่ซิวตู๋จะออกไปลากรถจริง ๆ และก็ไม่ได้คาดว่าจะกล้าหาญได้มากมายขนาดนี้
เกือบจะเวลาเดียวกัน ทั้งสามคนก็ได้หันไปมองสีหน้าของท่านอุปราช
นี่เป็นครั้งแรกที่อุปราชประมือกับเย่ซิวตู๋ จึงทำให้เขาได้รู้ว่าเขาประเมินเย่ซิวตู๋ผิดไปจริง ๆ เมื่อมองไปยังเศษไม้ที่แตกหักอยู่บนพื้น แววตาของเขาก็ได้เคร่งขรึมขึ้น “ท่านอ๋องซิว ท่านทำรถม้าของอาณาจักรจิงเหลยพัง ท่านว่าควรจะจัดการเช่นไร?”
“ท่านอุปราช คำพูดของท่านช่างไม่เหมาะสม ข้าก็ได้บอกไปแล้วว่านี่เป็นปัญหาที่ตัวรถม้าเอง ท่านอุปราช หรือว่าอาณาจักรจิงเหลยให้ผู้เข้าแข่งขันนั่งรถม้าเช่นนี้? หากว่าเกิดเรื่องระหว่างทางจะทำเช่นไร? หากผู้เข้าแข่งขันนั้นเป็นอะไรไปเพราะรถม้าเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาณาจักรจิงเหลยจะให้ผู้อื่นปลอมตัวมาเป็นผู้เข้าแข่งขัน? การหลอกลวงคนเช่นนี้ นับว่าเป็นสิ่งต้องห้ามของการประลองทั้งสี่อาณาจักร เมื่อถูกจับได้ผลลัพธ์ของมันจะร้ายแรงเป็นอย่างมาก”
ครั้นเย่ซิวตู๋เอ่ยเอ่ยคำพูดนี้ขึ้น อุปราชก็รู้สึกตึงเครียด ชายหนุ่มรู้สึกว่าคำพูดเช่นนี้ของเย่ซิวตู๋ฟังดูราวกับว่าตัวเขาเองกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่?
อุปราชพิจารณาเย่ซิวตู๋อย่างถี่ถ้วน ตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะประมาทเลยแม้แต่นิดเดียว
ต่อให้ตัวเขาไม่เข้าใจคำพูดของเย่ซิวตู๋ ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะไม่เข้าใจ
บุรุษทั้งสามที่กลิ้งออกจากรถม้ามีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที เดิมทีแล้วพวกเขาต้องการประณามความผิดของเย่ซิวตู๋ แต่พอได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ก็กังวลว่าเย่ซิวตู๋จะรู้ความจริงเข้าแล้ว ในตอนนี้จึงไม่ได้สนใจความเจ็บปวดที่เกิดจากการตกรถม้า ทำเพียงเดินเข้าไปหาอุปราชและเอ่ยเบา ๆ “ท่านลุง เวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว ข้าว่าพวกเราควรไปโรงหมอก่อน”
“ถูกต้องแล้วท่านลุง พวกเราต่างก็ใช้เวลาเดินทางมาหลายวัน ต่างก็เมื่อยล้ากันหมด อีกไม่กี่วันก็จะเริ่มการประลองแล้ว ต้องพักผ่อนและทำให้จิตใจให้คงที่สิถึงจะถูก”
“ใช่แล้ว ท่านลุง วันข้างหน้ายังมีโอกาสที่จะจัดการพวกเขาอีก ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”
เด็กหนุ่มทั้งสามคนเอ่ยเกลี้ยกล่อมคนละคำสองคำ ใบหน้าของพวกเขานั้นยิ้มแย้มอยู่พักหนึ่ง อีกพักหนึ่งก็ชี้ไปที่องครักษ์ที่เหนื่อยล้า เปลี่ยนให้เขารีบกลับไปยังเรือนรับรอง และอย่าก่อเรื่องอะไรอีก
เย่ซิวตู๋ก้มหน้าลงมองดูเสื้อผ้าของตัวเองด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง และหยิบเศษไม้ชิ้นสุดท้ายออกมา
ในตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมา ก็พบเข้ากับสายตาครุ่นคิดของอุปราชพอดี แต่ชายหนุ่มเพียงเลิกคิ้วและเงียบปากไม่เอ่ยอะไรออกมา
อุปราชรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก องค์ชายทั้งสามที่เย่อหยิ่งไม่เพียงแต่จะไม่เข้าไปคิดบัญชีกับเย่ซิวตู๋ แต่ยังพยายามสงบสติอารมณ์ลง เช่นนี้จึงดูผิดปกติเป็นอย่างมาก
เมื่อครู่นี้เย่ซิวตู๋เอ่ยยั่วยุอะไรออกมา พวกเขาจึงดูร้อนรนได้ถึงเพียงนี้?
อุปราชย้อนทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง และวินาทีต่อมาสีหน้าของเขานั้นก็เปลี่ยนไปอย่างมาก หันไปมององค์ชายทั้งสามอย่างรวดเร็ว
ทั้งสามคนที่ร้อนรนมาตั้งแต่ต้น ครั้นถูกอุปราชจ้องมองด้วยสายตาเช่นนี้ จึงก้มศีรษะลงและไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“หึ ไปเรือนรับรอง” อุปราชสะบัดแขนเสื้อ และจ้องมองทั้งสามคนด้วยสีหน้าโกรธเคือง
เย่ซิวตู๋ที่ได้ยินเช่นนี้จึงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ และหันหน้าไปเอ่ยกับองค์ชายเจ็ด “น้องเจ็ด อุปราชต้องการไปเรือนรับรอง พวกเจ้าต้องอารักขาให้ดี ๆ ส่วนปัญหาเรื่องรถม้าที่พังคามือของข้า ทำให้องค์ชายทั้งสามไปยังเรือนรับรองไม่ได้ ดังนั้นเจ้าจงไปหารถมาที่ปลอดภัยมา อย่าทำให้บรรดาองค์ชายรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านพี่ห้า” เย่ฮ่าวถิงถอนหายใจด้วยความโล่งใจ ดูเหมือนว่าอุปราชผู้นี้จะไม่สร้างปัญหาอะไรมามากกว่านี้แล้ว เช่นนี้ก็ดี ในเมืองเกิดเรื่องราวมากมาย และพี่ห้าก็ได้ช่วยเหลือพวกเขาไปแล้วเช่นกัน
อุปราชมองเย่ซิวตู๋ด้วยสายตาเดือดแค้น หลังจากนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชา เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านอ๋องซิวนั้นช่างมีความสามารถเสียจริง พวกเราค่อยพบกันใหม่โอกาสหน้า”
“ท่านอุปราชค่อย ๆ เดินทางเถิด” เย่ซิวตู๋ยังคงยืนอยู่ที่เดิม และค่อย ๆ หรี่ตาลง มองดูกองกำลังผู้เข้าแข่งขันจากอาณาจักรจิงเหลยเดินทางไปยังเรือนรับรองอย่างเอิกเกริก
หลังจากที่ทั้งหมดจากไป เสียงโห่ร้องดีใจก็ดังขึ้นจากฝูงชน ผู้คนต่างจับจ้องไปยังเย่ซิวตู๋ด้วยแววตาราวกับหมาป่าจ้องมองพยัคฆ์
หนานหนานที่กลับมาสู่อ้อมกอดของเย่ซิวตู๋อีกครั้งก็ดิ้นขลุกขลัก เด็กน้อยขยับเข้าไปใกล้ใบหูของชายหนุ่มและเอ่ยขึ้นเบา ๆ “พวกเขาอยากกินพวกเราใช่หรือไม่? ท่านพ่อ ช่วงนี้ข้านั้นอ้วนขึ้นใช่หรือไม่ จึงไปกระตุ้นความอยากอาหารของพวกเขา?”
“ฮ่า ๆๆ” เย่ซิวตู๋รักเด็กน้อยผู้นี้มาก เขากอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขนแน่น หลังจากนั้นจึงขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้น “ในเมื่อรู้ตัวแล้วว่าอ้วนขึ้น เช่นนั้นแล้วก็ควรควบคุมอาหารหรือไม่?”
“…ท่านพ่อ ข้ากลับไปจะให้ท่านแม่พัฒนายาลดน้ำหนัก จะต้องมีประสิทธิภาพมากกว่าควบคุมอาหารเป็นแน่แท้” หนานหนานใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน และเอ่ยพูดอย่างเคร่งขรึม
เย่ซิวตู๋หัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ เจ้าเด็กน้อยนี่เกียจคร้านไปถึงระดับโลกแล้ว
“แต่พวกเรารีบไปกันเถอะท่านพ่อ ท่านดูแววตาของพวกเขาสิ… ” น้ำเสียงหวาดกลัวของหนานหนานดังขึ้นในโสตประสาทของเขาอีกครั้ง
…………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ต้องเจอคนจริงอย่างท่านอ๋องซิวแหละค่ะ ทั้งหน้าหนาทั้งเจ้าเล่ห์ไม่แพ้กัน
ไหหม่า(海馬)