ตอนที่ 131 เหตุใดรู้สึกเหมือนเคยเห็นมาก่อน ?
เย่ฉางชิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้กับเยี่ยนเทียนซาน และก้าวขึ้นไปบนแท่นอย่างมิรีบร้อน
สุดท้ายเขาก็ไปยืนอยู่ใจกลางของค่ายกลห้วงเวลา
นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เย่ฉางชิงทะลุมิติมายังโลกเซียนแห่งนี้ ที่จะได้เดินทางผ่านค่ายกลห้วงเวลา
ทำให้ภายในใจของเขาเวลานี้อดที่จะเกิดความรู้สึกกังวลมิได้
เขายังจำคำอธิบายของค่ายกลห้วงเวลาที่อยู่ในนิยายแฟนตาซีได้เป็นอย่างดี
ค่ายกลห้วงเวลาจะอาศัยจุดเชื่อมต่อระหว่างสองสถานที่ เพื่อสร้างเป็นเส้นทางขึ้นมา
แม้การเปิดใช้ค่ายกลห้วงเวลาจะทำให้จุดเชื่อมต่อทั้งสองเกิดการเหนี่ยวนำ จนสามารถเดินทางไปถึงอีกฟากหนึ่งของจุดเชื่อมต่อได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีอันตรายที่แอบแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน
อย่างเช่นว่าสงครามของเหล่าผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทาน อาจทำให้ห้วงเวลาเกิดการบิดเบี้ยว ทำให้การเหนี่ยวนำขณะนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลง
ทำให้ขณะที่เดินทางผ่านค่ายกลห้วงเวลา อาจทำให้จุดหมายเกิดการเปลี่ยนแปลงได้
ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ
หากพบกับพายุระหว่างทาง จะทำให้หลงอยู่ในห้วงเวลานั้น ๆ ได้
หรืออาจจะไปปรากฏตัวในสถานที่อันตราย เพราะรอยแยกใดรอยแยกหนึ่งของห้วงเวลาก็เป็นได้
เย่ฉางชิงคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็อดมิได้ที่จะหวาดหวั่น
แม้จะมายังโลกเซียนแห่งนี้ได้หลายปีแล้ว แต่เพราะมิมีรากวิญญาณ จนถึงวันนี้เขาก็ยังเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง
หากเกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นมาจริง ๆ เขาคงทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมเท่านั้น
‘หรือ… หรือว่าจะกลับไปดี ? ’
‘มิไปเมืองหลวงแล้ว ? ’
ทันใดนั้นแม้ภายนอกเย่ฉางชิงจะยังดูสงบนิ่ง แต่ภายในใจกลับกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ
‘มิได้ ! ’
‘เราจะกลับไปมิได้เด็ดขาด ! ’
‘เราจะอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือไปจนตายมิได้ ! ’
หลังจากต่อสู้กับความขัดแย้งภายในใจแล้ว
เย่ฉางชิงจึงตัดสินใจเดินหน้าไปเมืองหลวง เพื่อออกไปเจอกับโลกกว้าง
อีกทั้งเขารู้สึกว่าหากพลาดโอกาสนี้ บางทีชั่วชีวิตนี้เขาอาจจะต้องแก่ตายอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือเป็นแน่
เช่นนั้นเขาจึงสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เท้าที่เตรียมจะก้าวออกไปจึงวางลงที่เดิม
จากนั้นเยี่ยนเทียนซานจึงเดินนำคนที่เหลือเข้ามายังค่ายกลห้วงเวลา
“ท่านเย่ พวกเราออกเดินทางกันเถิด”
เยี่ยนเทียนซานเอ่ยกับเย่ฉางชิงพร้อมรอยยิ้ม
เย่ฉางชิงแม้จะพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเป็นการตกลง แต่ภายในใจกลับรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาอีกครั้ง
จากนั้นเยี่ยนเทียนซานเอ่ยสั่งการขึ้น
“เริ่มได้”
ได้ยินเช่นนั้นชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ตรงสี่มุมของค่ายกลห้วงเวลาก็สบตากัน ก่อนที่แต่ละคนจะหยิบศิลาวิญญาณออกมาจากแขนเสื้อของตนเองคนละก้อน
มือข้างหนึ่งของพวกเขาถือศิลาวิญญาณ อีกข้างหนึ่งทำท่ามุทราอย่างรวดเร็ว
“ฟิ้ว ! ”
มินานศิลาวิญญาณในมือของพวกเขาก็เปล่งแสงอันงดงามออกมา และลอยขึ้นอย่างช้า ๆ
ขณะเดียวกันลวดลายเก่าแก่ซับซ้อนที่สลักอยู่บนค่ายกลห้วงเวลาพลันบังเกิดแสงเรืองรอง เพียงพริบตาก็เปล่งประกายเจิดจ้า
ฉับพลันพลังเวทย์ลึกลับและทรงอานุภาพก็ปะทุขึ้น เพียงพริบตาก็โอบล้อมพวกเย่ฉางชิงเอาไว้
ทันใดนั้นเย่ฉางชิงรู้สึกเหมือนมีแสงสะท้อนตรงหน้าจนต้องหลับตาลง
แต่ในตอนที่เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
กลับพบว่าตนนั้นได้มาอยู่บนลานที่มีขนาดมิใหญ่มากนักอีกแห่งหนึ่งแล้ว
ส่วนเท้ายังคงยืนอยู่บนค่ายกลห้วงเวลาเหมือนกับก่อนหน้านี้
‘มาถึงเมืองหลวงแล้วงั้นหรือ ? ’
‘แต่ที่นี่มิเหมือนเมืองหลวงเลยนี่นา ! ’
‘หรือว่าเมืองหลวงของโลกเซียนแห่งนี้จะมิเหมือนเช่นที่เราคิดไว้ ? ’
‘หรือว่า’
‘จะมาผิดที่เยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘มิผิดแน่ ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน ! ’
เย่ฉางชิงมองไปรอบ ๆ ก่อนจะกะพริบตาปริบ ๆ ท่าทางเต็มไปด้วยความงงงวย
ตอนนั้นเองเยี่ยนปิงซินจึงหันไปยิ้มให้แก่เย่ฉางชิงพลางเอ่ยว่า “ท่านเย่ ที่นี่เป็นชานเมืองทางใต้ของเมืองหลวง เนื่องจากค่ายกลห้วงเวลามีความสำคัญยิ่งเช่นนั้นจึงถูกวางเอาไว้ที่นี่เจ้าค่ะ”
‘ค่ายกล ? ’
‘ที่แท้ก็มิได้เกิดเหตุมิคาดฝันระหว่างที่เดินทางมาที่นี่จริง ๆ ’
‘ดี ! ’
‘เยี่ยมมาก ! ’
เย่ฉางชิงถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะพยักหน้ายิ้ม ๆ
“ท่านเย่ พวกเราลงไปกันเถิด”
เยี่ยนเทียนซานหันมาโค้งคำนับให้เย่ฉางชิงด้วยท่าทางนอบน้อม
เย่ฉางชิงจึงโบกมือไปมาแล้วเอ่ยว่า “ท่านเยี่ยน ข้ายังต้องรบกวนพักอยู่ที่จวนของท่านอีกหลายวัน เช่นนั้นต่อไปเราอย่าได้เกรงใจกันเช่นนี้อีกจะดีกว่า”
เยี่ยนเทียนซานรีบส่ายหน้าทันที “ต่อหน้าท่านเย่ มิว่าเยี่ยงไรข้าก็เป็นเพียงผู้น้อย เช่นนั้นจะเสียมารยาทมิได้เด็ดขาด”
เย่ฉางชิงเห็นท่าทางแน่วแน่ของเยี่ยนเทียนซานก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
แม้เขาจะมิอาจบำเพ็ญเพียรได้ แต่ทักษะด้านอักษรพู่กัน ภาพวาด หมาก และพิณ เขามั่นใจว่าตนนั้นถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์เช่นกัน
ในเมื่อเยี่ยนเทียนซานแน่วแน่เพียงนี้ เช่นนั้นเขาจึงมิได้แย้งใด ๆ อีก
เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นจึงเดินนำลงไปก่อน จากนั้นพวกเยี่ยนเทียนซานก็ได้ทยอยเดินตามหลังไป
ทว่าตอนนั้นเองที่ลานด้านหน้าจู่ ๆ ก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างมิรู้สาเหตุ ราวกับค่ายกลถูกใครบางคนเปิดออก
มินานบุรุษท่าทางน่าเกรงขามก็เดินนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ผู้ที่มานั้นก็คือฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเยี่ยน
เยี่ยนหยางเหนียน
‘สมแล้วที่เป็นยอดคน เพียงแค่ท่วงท่าภายนอกก็ดูราวกับเซียนก็มิปาน’
เยี่ยนหยางเหนียนที่เพิ่งพบหน้าเย่ฉางชิง ก็ลอบถอนใจออกมา
ขณะเดียวกันเยี่ยนหยางเหนียนก็หันไปกำชับบุรุษหนุ่มที่สวมเสื้อแพรข้าง ๆ “จิ่งหง จำคำที่พ่อบอกเจ้าไว้ก่อนหน้านี้ให้ดี บางทีการได้ติดตามข้างกายท่านเย่อาจเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้าก็ได้ แต่ขณะเดียวกันก็อาจทำให้เจ้าสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในตอนนี้ไปได้เช่นเดียวกัน”
องค์รัชทายาทเยี่ยนจิ่งหงชะงันทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “เสด็จพ่อได้โปรดวางพระทัย หากท่านเย่เกิดมิพอใจลูกขึ้นมา ท่านก็ทรงยึดตำแหน่งรัชทายาทของข้า และส่งข้าไปอยู่ที่ชายแดนได้เลยพะยะค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นเยี่ยนหยางเหนียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ท่านคงเป็นท่านเย่ใช่หรือไม่ ? ”
เยี่ยนหยางเหนียนที่สวมอาภรณ์สีขาวเดินมาตรงหน้าของเย่ฉางชิง แล้วโค้งคำนับลงเล็กน้อย
ขณะเดียวกันก็ลอบสบตากับเยี่ยนเทียนซานที่อยู่ทางด้านหลังของเย่ฉางชิง
“ท่านคือ ? ”
เย่ฉางชิงพิจารณาเยี่ยนหยางเหนียนเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยถามขึ้น
“เรียนท่านเย่ ข้าคือบิดาของปิงซินขอรับ”
เยี่ยนหยางเหนียนเอ่ยอย่างนอบน้อม “ก่อนหน้าเพราะได้ท่านเย่คอยดูแล ข้ามิรู้จะตอบแทนท่านเช่นไรจริง ๆ ”
“ที่แท้ก็เป็นบิดาของคุณหนูเยี่ยนนี่เอง”
เย่ฉางชิงเผยรอยยิ้มสุภาพออกมา พลางประสานมือคารวะตอบเยี่ยนหยางเหนียน
เยี่ยนเทียนซานจึงเอ่ยขึ้นว่า “หยางเหนียน ที่ข้ากำชับเจ้าก่อนหน้านี้ เจ้าเตรียมไว้พร้อมแล้วหรือยัง ? ”
เยี่ยนหยางเหนียนหันไปมองเยี่ยนเทียนซาน ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างหวาดหวั่น “จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี”
เยี่ยนเทียนซานพยักหน้าให้ แล้วจึงหันไปเอ่ยกับเย่ฉางชิงด้วยรอยยิ้ม “ท่านเย่ พวกเราเข้าเมืองหลวงกันก่อนดีหรือไม่ ? ”
“ดี ๆ ”
เย่ฉางชิงพยักหน้ารับ
ความจริงแล้วหากมิใช่เพราะพวกเยี่ยนหยางเหนียนโผล่มาเสียก่อน เขาคงพุ่งตัวออกจากตรงนี้ เพื่อไปดูว่าเมืองหลวงเป็นเช่นไรตั้งนานแล้ว
เพราะตั้งแต่เขาหลุดเข้ามายังโลกเซียนแห่งนี้
เขาก็อาศัยอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือมาตลอด ต้องอยู่อย่างหดหู่เช่นนั้นมาถึงห้าปีเต็ม
บัดนี้เมื่อมาถึงอีกฟากหนึ่งของค่ายกลห้วงเวลาอย่างปลอดภัย ก็เป็นการขจัดความกังวลก่อนหน้านี้ของเขาได้เป็นอย่างดี
เวลานี้ภายในใจของเขาจึงเต็มไปด้วยความยินดีและตื่นเต้น ราวกับนกน้อยที่ถูกปล่อยออกมาจากกรง
หลังจากเย่ฉางชิงเดินออกมาจากลานแห่งนั้น
ความจริงก็ปรากฏขึ้น
ภาพของเมืองขนาดใหญ่และเก่าแก่ก็ปรากฏสู่สายตา กำแพงเมืองมีความสูงหลายสิบจั้ง ราวกับมังกรยักษ์ในตำนานกำลังหลับใหลอยู่ตรงนั้น
มีคูน้ำล้อมรอบและมีเรือมากมายจอดเทียบท่าอยู่ กลางแม่น้ำมีเรือลำเล็กใหญ่สัญจรไปมา ดูคึกคักยิ่งนัก
เมื่อทอดมองออกไปจะเห็นประตูเมืองที่สูงตระหง่าน มีผู้คนเข้าออกพลุกพล่าน บรรยากาศดูเป็นเมืองที่รุ่งเรืองมิน้อย
เย่ฉางชิงที่เห็นภาพตรงหน้า ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ในตอนนั้นเองก็มีสายลมพัดวูบมา
เย่ฉางชิงผงะไปเล็กน้อย พลางขมวดคิ้วมุ่น
‘เหตุใดรู้สึกเหมือนเคยเห็นมาก่อนกันนะ ? ’
‘ราวกับว่าได้หวนคืนสู่บ้านเก่าก็มิปาน…’