บทที่ 144
แผนการระยะยาว
“เยี่ยจุนเจี๋ยนั้นเป็นผู้นำการปราบกองโจรครั้งนี้ ตัวตนของเขาจึงเป็นพิเศษนัก หากว่าเขาตกอยู่ในมือของพวกโจรได้เมื่อไร พวกเขาก็จะไม่กลัวอะไรอีก และจะไม่ต้องทำอะไรระแวดระวังและเป็นขั้นเป็นตอนแบบนี้อีก
ด้วยเสียงที่เบาบางแต่เร่งรีบนี้ หลินซีเหยียนก็ได้หันไปมองเขาอย่างไม่รู้ตัว แล้วสายตาของนางก็ได้ปะเขากับดวงตาที่ดำไร้ที่สิ้นสุดของเจียงหวายเย่เข้าพอดี
“ท่านอาการไม่ค่อยดีงั้นเหรอ?”
มองทะลุผ่านชั้นหน้ากากสีดำนั้นไป แม้ว่าหลินซีเหยียนนั้นจะไม่ได้มีพลังพิเศษมองทะลุอะไรแบบนั้น แต่นางก็รู้สึกได้รางๆถึงความผิดปกติของเขา
เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่ดวงตาที่สดใสของฝ่ายตรงข้ามแล้ว มุมปากของเขาก็ได้ขยับขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก็ได้แกล้งทำเป็นทรุดลงไปที่ตัวของหลินซีเหยียน
แต่ก่อนที่หลินซีเหยียนจะผลักตัวของเขาออกไป เสียงอ่อยๆของเจียงหวายเย่ก็ได้เข้าหูของนาง “ดูเหมือนบาดแผลที่หลังขององค์ชายจะเปิดออกเสียแล้ว”
ในเวลานี้พวกเขาทั้งคู่ยังไม่สามารถเรียกได้ว่าปลอดภัยนัก หลินซีเหยียนก็ได้มองไปรอบๆและเรียกหาจี๋เฟิง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา นางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยให้ เจียงหวายเย่พิงตัวนางเอาไว้
ภายใต้การนำทางของเจียงหวายเย่ หลินซีเหยียนก็พบวัดร้างแห่งหนึ่ง
วัดร้างแห่งนี้ดูเละเทะมาก และในอากาศก็เต็มไปด้วยฝุ่นลอยไปมา เมื่อหายใจเข้าไปก็ต้องไอออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเดินเข้าไปด้านใน ก็พบว่ามีส่วนที่ดูรกน้อยที่สุดอยู่และมีรูปปั้นพระพุทธรูปตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว
“ท่านพักอยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปหาฟืนมาก่อกองไฟ” หลินซีเหยียนก็ได้ประคองเขาพิงเข้ากับมุมมุมหนึ่งแล้วจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเตรียมที่จะออกไป
แต่ทว่านางเดินออกไปได้ไม่ถึงครึ่งก้าว แขนเสื้อของนางก็ถูกดึงโดยแขนที่เรียวงามแต่ทรงพลังของเจียงหวายเย่
“องค์ชาย?” หลินซีเหยียนนั้นไม่ทราบว่าเจียงหวายเย่ทำเช่นนี้ทำไม จึงได้ถามออกไป
“ปล่อยให้จี๋เฟิงเป็นคนจัดการเรื่องนี้เถอะ”
แล้วเจียงหวายเย่ก็ได้ดึงหลินซีเหยียนให้มานั่งใกล้ๆเขา แล้วเจียงหวายเย่ก็ได้ดึงหน้ากากของเขาออก เผยให้เห็นโฉมหน้าอันไร้ที่ติของเขา
แต่ใบหน้าสีขาวเนียนที่ไร้ริ้วรอยนั้น ในเวลานี้ได้มีสีหน้าที่เป็นกังวลปรากฏออกมา “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อจริงๆเหรอ?”
หลินซีเหยียนผงกหัวแล้วกล่าวอย่างแน่วแน่ “ข้าไม่อาจปล่อยให้เยี่ยจุนเจี๋ยหายไปได้เด็ดขาด อย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า”
หลังจากที่พูดจบหลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ประตูราวกับว่านางไม่อยากที่จะฟังคำเกลี้ยกล่อมของเขา ในชั่วขณะนั้นเองบรรยากาศของวัดร้างแห่งนี้ก็ได้อึมครึมขึ้นมาอย่างมาก
เจียงหวายเย่ก็ได้หรี่สายตาจ้องไปที่ด้านข้างของคนที่อยู่ข้างๆเขา แล้วสายตาของเขาก็ได้มืดดำมากขึ้นเรื่อย ซึ่งทำให้มองเขาออกได้ยากมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน แล้วจากนั้นเขาก็ได้พูดออกมาเบาๆ “เสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นชอบสร้างปัญหาให้อยู่ตลอดเลยจริงๆ แต่ไม่เป็นไรเจ้ายังมีเปิ่นหวางที่จะคอยอยู่ข้างหลังเจ้าตามแก้ปัญหาให้เสมอ”
คำพูดเช่นนี้ของเจียงหวายเย่ทำให้หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกว่าตัวนางเหมือนเป็นเด็กที่ชอบเล่นอะไรแผลงๆ
เจียงหวายเย่นั้นเป็นถึงองค์ชายที่สูงส่งมากในรัฐเจียง ถึงแม้ในเวลานี้เขาจะตกต่ำลงมาบ้าง แต่หลินซีเหยียนก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่านั่นเป็นแค่หน้าฉากเท่านั้น
มันจึงไม่มีเหตุผลอันใดที่นางจะได้รับสิทธิ์เช่นนั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลินซีเหยียนนั้นไม่กล้าที่จะเชื่อใจเจียงหวายเย่ และยิ่งเรื่องจะฝากฝังเรื่องของอนาคตให้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
อย่างที่มีคนพูดเอาไว้ ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน จะต้องระลึกได้อยู่เสมอไม่ว่าจะมีโชคดีหรือโชคร้ายเพียงไหน แต่สุดท้ายคนที่จะพึ่งพาได้ก็มีแค่ตัวเองอยู่ดี
หลินซีเหยียนก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วหยิบเอายาที่เดิมที่นางคิดจะเอาให้เจียงหวายเย่อยู่แล้ว แล้วก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก “หันหลังมาแล้วถอดเสื้อ ข้าจะทายาให้ท่าน”
เจียงหวายเย่ก็ได้ทำตามด้วยสีหน้าที่เฉยๆ เหลือเพียงความอ้างว้างที่หลงเหลืออยู่ภายในดวงตาสีดำของเขา
แต่หลินซีเหยียนที่อยู่ข้างหลังเขานั้นกลับไม่สามารถสงบนิ่งได้เลย นางนั้นคิดเอาไว้แล้วว่าแผลของเขาน่าจะปริออกเพราะการต่อสู้เมื่อสักครู่ แต่นางก็ไม่คิดว่าอาการมันจะสาหัสถึงเพียงนี้
แผลที่ด้านหลังของเจียงหวายเย่นั้นปริออกมาอย่างสาหัส และที่ผิวหนังก็ไม่มีเลือดสีแดงอีกแล้ว จะมีก็แต่เพียงแผลที่อักเสบสีเหลืองกับขาวเท่านั้น
“ในวันนี้ท่านไปทำบ้าอะไรมาเนี่ย?” หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดและถามด้วยน้ำเสียงที่โกรธจัด โชคยังดีที่นางอยู่ที่นี่ด้วย ไม่อย่างนั้นอาการคงสาหัสกว่านี้แน่ นางไม่กล้านึกถึงสภาพของเจียงหวายเย่เมื่อถึงตอนนั้นเลย
เจียงหวายเย่ก็ได้หลับตาลง เพื่อดับอารมณ์ในใจของเขาแล้วกล่าวด้วยเสียงเบาๆ “เปิ่นหวางไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไร?” หลินซีเหยียนก็ที่โมโหจัดก็ได้ยิ้มอย่างประชดชันและกล่าว “นี่ท่านคิดว่าตัวเองเป็นคนเหล็กรึยังไง? บาดแผลที่หลังของท่านน่ะมันอักเสบจนสาหัสมาก มีเพียงต้องลอกเนื้อที่เสียออกมาก่อนถึงจะรักษาชีวิตของท่านไว้ได้”
ถ้าเช่นนั้นก็ลอกออกเถอะ” เจียงหวายเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งๆออกมาจากริมฝีปากซีดๆของเขา ราวกับว่าคนที่ต้องการจะให้ใช้มีดลอกหนังของเขาออกนั้นไม่ใช่ตัวเขาเองยังไงอย่างงั้น
ในเวลานี้หลินซีเหยียนนั้นเงียบสนิท นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆและสงบจิตใจตัวเอง ไม่ให้ไปกังวลกับคนตรงหน้านางมากนัก ในความคิดของนางนั้นเจียงหวายเย่นั้นเป็นผู้ป่วยที่เอาแต่ใจมาก ซึ่งทำให้นางช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัว
หลินซีเหยียนก็ได้แกะเอากระเป๋าใบเล็กออกมาจากเอวของนาง แล้วหยิบเอาผ้าพันแผลสะอาดออกมา แล้วหยิบเอายาออกมาเตรียม แต่ทว่าไม่มียาชาอยู่ในหมู่ในนั้น…..
การที่นางไม่ได้เอายาชามาด้วยนั้นช่างเป็นเรื่องที่สะเพร่าจริงๆ? ใบหน้าที่สวยของหลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดและเต็มไปด้วยใบหน้าที่สำนึกผิด
แต่จริงๆแล้วจะโทษนางในเรื่องนี้ก็ไม่ได้ เพราะ หลินซีเหยียนก็ไม่คิดว่าแผลที่หลังของเจียงหวายเย่จะสาหัสขนาดนี้ด้วย
“ข้าไม่ได้เอายาชามาด้วย” เสียงที่ใสของนางได้พูดข่าวที่น่าเจ็บปวดออกมา
“องค์ชาย องค์หญิงขอรับ พวกเราจำเป็นจะต้องไปจากที่นี่แล้วขอรับ” จี๋เฟิงได้รีบเข้ามาในวัดร้างหลังนั้นพร้อมด้วยฟื้นแห้งๆและผลไม้ป่าในมือของเขา
“คนพวกนั้นตามมาทันแล้วเหรอ?” เจียงหวายเย่ก็ได้หยิบเอาเสื้อมาใส่อย่างรวดเร็วและถามอย่างใจเย็น
จี๋เฟิงก็ได้ผงกหัว เขาโยนฟืนแห้งทิ้งไปแล้วส่งผลไม้ป่าให้หลินซีเหยียนและเจียงหวายเย่ ในเวลานี้ทั้งสามคนนั้นกำลังหิว พวกเขาจึงได้รีบทานคนละลูกสองลูกอย่างมูมมาม
“ยังเหลือระยะทางอีกไกลจากที่นี่กว่าจะถึงฐานที่มั่นของเรา รีบไปกันเถอะ”
เจียงหวายเย่กล่าวด้วยเสียงเบาๆจนยากจะฟังได้ยิน แล้วเขาก็ใส่หน้ากาก ส่วนหลินซีเหยียนก็ได้หยิบเอากระเป๋าใบเล็กมาห้อยแล้วออกเดินทางไปด้วยกัน
ระหว่างทางดวงตาของหลินซีเหยียนก็ได้จับจ้องไปที่แผ่นหลังของเจียงหวายเย่ หลังของเขามีสภาพเช่นนั้นแต่ในเวลานี้ก็ต้องรีบเดินทางอีก ไม่รู้เลยว่าเขานั้นต้องอดทนต่อความเจ็บปวดมากขนาดไหน โชคยังดีที่เขายังสามารถรักษาสีหน้าของเขาไว้ได้โดยไม่เปลี่ยน
ยิ่งนางมองมากเท่าไร นางก็ยิ่งโมโหมากขึ้นเท่านั้น หลังจากนั้นสักพักหนึ่งหลินซีเหยียนก็ได้เริ่มกัดฟันด้วยความโมโห
แม้มันออกจะเร็วเกินไปหน่อยที่จะพูดในเวลานี้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปอดทนกับการพูดว่าเจ็บ เพราะถ้าประมาทกับเรื่องนี้อาจถึงตายได้!
ในระหว่างที่รีบเดินทางหลินซีเหยียนก็ยังคงจ้องไปที่เจียงหวายเย่พลางคิดถึงเรื่องนี้ ด้วยความไม่ระวังนางก็ได้ไปสะดุดอะไรบางอย่างเข้าแล้วเข้าไปชนข้างหลังของเจียงหวายเย่
แต่เจียงหวายเย่ก็รู้สึกตัวทันและหันหลังกลับในทันที แล้วกอดรับคนที่พุ่งเข้ามาหาเขาเอาไว้
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ” แล้วนางก็รู้สึกได้ถึงความร้อนจากบนหัวของนาง ปลายหูของหลินซีเหยียนนั้นร้อนขึ้นมาเล็กน้อย
เจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มออกมา จากนั้นก็ได้เข้าสวมกอดเอวของหลินซีเหยียนด้วยแขนของเขา
หลินซีเหยียนก็มองดูเขาด้วยความตกใจ โดยไม่กล้าที่จะขัดขืนเพราะกลัวว่ามันจะไปสร้างภาระให้บาดแผลที่หลังของเขา “ปล่อยข้าได้แล้ว ข้าเดินต่อเองได้”
“ชู่ววว”
ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังพูดกับเจียงหวายเย่อยู่นั้น มือใหญ่ๆของเขาก็ได้ปิดปากของหลินซีเหยียนเอาไว้
“พวกเจ้ามั่นใจนะว่าเจ้าพวกนั้นอยู่ในวัดร้างนี้น่ะ?” มีเสียงแปลกๆดังขึ้นมาไม่ไกลจากพวกเขา