บทที่ 227
ชัยชนะนอกกฎ
“แล้วเจ้าอยากจะเดิมพันด้วยอะไร?” หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนด้วยสายตาที่ครุ่นคิด และอยากที่จะดูว่ามีอะไรที่อีกฝ่ายมีแล้วทำให้ตัวนางดูดีขึ้นมาบ้าง
หลังจากที่คิดเช่นนี้ หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้รู้สึกสนใจกระบี่ของหลินซีเหยียนที่ห้อยอยู่ที่เอวของนาง
มันเป็นกระบี่ที่ดูประณีตมากและดูไม่ขัดตาเลยทั้งๆที่ห้อยอยู่ที่เอวของนางแบบนั้น นางจำได้ว่าคุณชายจงเองก็เหมือนจะชอบมันมากเช่นกัน
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของหลินเสวี่ยเหยียน หลินซีเหยียนก็ได้นึกดูถูกอย่างช่วยไม่ได้ ควรจะบอกว่าสายตาของอีกฝ่ายนั้นไม่เลวเลย หรือจะบอกว่าอีกฝ่ายนั้นโลภมากดีล่ะ? ในเมื่อนางกล้าหมายตากระบี่สวรรค์ นางก็อยากจะขอดูหน่อยเถอะว่าอีกฝ่ายจะยอมเดิมพนันด้วยหรือเปล่า?
“ถ้าเจ้าอยากที่จะพนัน ก็น่าจะพนันอะไรที่มีความหมายดีกว่า เช่นว่าถ้าข้าสามารถเข้าไปในหอเสียงสัมผัสสมบูรณ์ได้ล่ะก็ เจ้าจะต้องตะโกนต่อหน้าทุกคนสามรอบว่า “ข้ามันคนโง่”
เนื่องจากมองไปที่ตัวของหลินเสวี่ยเหยียนตั้งแต่บนจรดล่างแล้ว ไม่มีอะไรเลยที่หลินซีเหยียนอยากจะได้ หลินซีเหยียนจึงได้ตัดสินใจทำให้นางต้องขายหน้าแทน
“เจ้าสินังโง่!”
รู้กันชัดเจนอยู่แล้วแท้ๆว่าใครจะแพ้ แต่หลินเสวี่ยเหยียนกลับยังเล่นต่อ โดยเฉพาะยามที่นางเห็นความมั่นใจในตัวเองบนใบหน้าของหลินซีเหยียนเช่นนั้นแล้ว ก็ได้ทำให้นางรู้สึกโมโหมากขึ้นไปอีก
“ถ้าเจ้าแพ้ ส่งกระบี่ที่อยู่ที่เอวของเจ้ามาให้ข้าพร้อมกับคุกเข่าด้วย” หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้ยิ้มยิงฟันอย่างดุดัน ใบหน้าที่ชั่วร้ายของนางนั้นก็ได้ทำลายใบหน้าที่ตกแต่งมาอย่างดีเสีย
หลินซีเหยียนนั้นไม่อยากจะเสวนากับนางมากนัก นางจึงได้มองด้วยสายตาที่เยือกเย็นแล้วกล่าว “ข้าหวังว่าท่านพี่คงจะไม่ถอนคำพูดทีหลังนะ”
“หึ เจ้าต่างหากที่ควรจะห่วงตัวเองมากกว่า!” หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้สะบัดผ้าม่านลงแล้วไม่พูดอะไรต่ออีก
หลินรั่วจิ่งก็ได้ยิ้มอย่างขอโทษไปที่หลินซีเหยียน “พี่สามอย่าได้ถือโทษโกรธพี่สี่เลยนะ นางอารมณ์ไม่ดีน่ะ”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวเล็กน้อยและไม่ตอบอะไร และขึ้นรถม้าไปพร้อมกับเจียงหวายเย่
การที่หญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนนั่งรถม้าคันเดียวกันคุณชายแปลกหน้าเช่นนี้ ทำให้หลินรั่วจิ่งรู้สึกสงสัยอย่างมากถึงตัวตนของอีกฝ่าย เพราะนางนั้นรู้จักหลินซีเหยียนน้อยมากตั้งแต่นางได้กลับมาที่จวนมหาเสนาบดี
หลินซีเหยียนนั้นหาใช้ผู้หญิงโง่ที่ไร้ประโยชน์อีกแล้ว นางได้เปลี่ยนไปกลายเป็นคนที่ฉลาดและมากแผนการอีกด้วย
ไม่เพียงแค่นั้น แต่ยังมีผู้คนมากมายอยู่รอบตัวนางอีก ไม่ว่าจะเป็นซางกวนจิ่นบุตรโดยชอบธรรมของตระกูลซางกวน, หมอผีหลินอวิ๋นเซวียน, เยี่ยจุนเจี๋ยจากบ้านท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อ และจงซู่เฟิงองค์ชายรัฐจง
ทุกคนนี้ล้วนเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถมาก
หลินซีเหยียนทำอย่างไรถึงได้ความสงสารจากคนมากมายเหล่านี้กันนะ หลินรั่วจิ่งที่นั่งอยู่ในรถม้าก็ได้เขย่าเบาๆเพราะพื้นที่ขรุขระ
หลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่ๆ นางก็ได้หลับตาที่ว้าวุ่นใจของนางลงอย่างช้าๆ นางนั้นต้องการที่จะทำให้ชัดเจนว่าตัวนางนั้นเหนือกว่าหลินซีเหยียน นางต้องการที่จะแสดงให้เห็นว่าตัวนางนั้นคือผู้หญิงที่เป็นเลิศที่สุด
ในขณะที่ขบวนรถม้าได้มาถึงที่ย่านชานเมือง หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ข้างตัวนางแล้วจ้องไปที่เจียงหวายเย่ “หอเสียงสัมผัสสมบูรณ์นี้ตั้งอยู่ที่ชานเมืองงั้นเหรอ?”
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อคงจะไม่รู้สินะ เจ้าของหอเสียงสัมผัสสมบูรณ์นั้นมีตัวตนที่ลึกลับมาก แต่ตัวเขานั้นชื่อชอบบทกวีและงานประพันธ์ รวมถึงของที่สวยงามต่างๆ
โดยปกติหอเสียงสัมผัสสมบูรณ์แห่งนี้จะไม่เปิดให้เข้าโดยทั่วไป แต่จะเปิดให้เข้าเฉพาะเมื่อมีการแข่งขันจัดขึ้นมาปีละหนึ่งครั้ง”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว แต่สีหน้าของนางยังคงบึ้งตึง “ถ้าแค่นี้ ทำไมถึงได้เป็นที่นิยมนัก?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นี้” เจียงหวายเย่ก็ได้ยักคิ้วขึ้นมา แล้วริมฝีปากแดงและบางของเขาก็ได้เผยรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นมา “ถ้าหากว่าทุกคนเห็นด้วยที่จะให้เป็นอันดับหนึ่งแล้ว ก็จะได้รับรางวัลเป็นเงิน 100 ตำลึงทองน่ะสิ”
หลินซีเหยียนก็ได้กะพริบตาปริบๆ ราวกับว่านางมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที “ถ้างานนี้ข้าสามารถเอาชนะได้รางวัลที่หนึ่งก็คงจะดี แต่เกรงว่าข้าคงสู้คนพวกนั้นไม่ได้หรอก”
เมื่อเห็นว่าหลินซีเหยียนนั้นพูดตัดพ้อตัวเอง เจียงหวายเย่ก็ได้มองมาที่หลินซีเหยียนพร้อมกับรอยยิ้ม “ถ้าเสี่ยวเหยียนเอ๋อกลัวว่าตัวเองจะไม่ชนะ เจ้าจะขอร้องเปิ่นหวางก็ได้นะ”
“ทำไมองค์ชายถึงได้ดูมั่นใจในตัวเองนัก?” เมื่อเห็น เจียงหวายเย่ดูมั่นใจเช่นนี้ หลินซีเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเขา “ถ้าเกิดว่าข้าขอท่านแล้วท่านทำไม่ได้ขึ้นมาล่ะ?”
“ถ้าหากข้าทำไม่ได้ ข้าจะควักจ่ายให้เจ้า 100 ตำลึงทองเอง!”
รู้ดีว่าหลินซีเหยียนนั้นชื่นชอบเงินอยากมา เจียงหวายเย่จึงได้ทุ่มสุดตัวเพื่อได้รับความชื่นชอบและคว้าเส้นชีวิตของ หลินซีเหยียนเอาไว้ให้ได้
เรื่องของการได้เงินโดยที่ไม่ต้องสูญเงินสักแดงเช่นนี้ สำหรับคนฉลาดอย่างหลินซีเหยียนแล้ว ย่อมรู้ดีว่าจะต้องเลือกอะไร “แล้วท่านอยากจะให้ข้าขอร้องท่านอย่างไร?”
เจียงหวายเย่ก็ได้หรี่สายตาลงแล้วกล่าวด้วยสีหน้ายินดี “ขอเพียงแค่เสี่ยวเหยียนเอ๋อจูบเปิ่นหวาง เปิ่นหวางก็ยินดีที่จะช่วยเจ้า”
มุมปากของหลินซีเหยียนก็ได้กระตุกขึ้นมา อย่างที่คิดนางไม่น่าคาดหวังอะไรจากเจียงหวายเย่เลยจริงๆ คำพูดจริงจังจากปากคนที่ปลิ้นปล้อนเช่นนี้
“หรือว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อจะไม่ต้องการให้ข้าช่วยเจ้ากันล่ะ?” เจียงหวายเย่ก็ได้แกล้งทำเป็นผิดหวังแล้วกล่าว “จะว่าไปเราก็ลืมพูดไปเรื่องหนึ่ง เห็นว่าคราวนี้รางวัลที่หนึ่งไม่เพียงแต่จะได้ 100 ตำลึงทองแต่ยังได้หยกอุ่นล้ำค่าอีกด้วย”
“หยกอุ่น?” นั่นมันของดีนี่นา มันเป็นของล้ำค่าที่หายากมาอีกด้วย
เมื่อคิดเช่นนี้ดวงตาของหลินซีเหยียนก็ได้มืดดำขึ้นมา ก็แค่จูบเองไม่ใช่เหรอ? มันเทียบไม่ได้กับหยกอุ่นชิ้นนั้นไม่ได้เลย
หลังจากที่ตัดสินใจแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้จูบลงไปที่หน้าผากของเจียงหวายเย่อย่างรวดเร็ว และจบลงก่อนที่เจียงหวายเย่จะรู้สึกตัวเสียอีก!
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เจ้าขี้โกงนี่!” เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างไม่พอใจ “ทำอีกรอบสิ”
ในคราวนี้หลินซีเหยียนก็ได้หันหน้ามาอย่างภาคภูมิใจ แล้วนางก็ได้กะพริบตาให้เจียงหวายเย่ “ขี้โกง? องค์ชาย ท่านนี่ไม่มีเหตุผลเลย ท่านไม่ได้บอกเองนี่ว่าให้จูบที่ไหน ที่ข้าจูบที่หน้าผากของท่านผิดตรงไหน?”
หน่วยอันที่แอบตามในความมืดอยู่นั้นก็ได้มองไปที่รถม้าคันนั้นพร้อมกับรอยยิ้ม คนคนเดียวที่ทำให้เทพสงครามผู้สูงส่งต้องตกตะลึงได้ก็แม่นางหลินนี่แหละ
เจียงหวายเย่ก็ได้เอามือตบที่ริมฝีปากแล้วจากนั้นก็กล่าว “ถ้าคราวนี้เปิ่นหวางบอกให้เจ้าจูบเปิ่นหวางที่ตรงนี้ล่ะ”
ขณะที่เขาพูดนิ้วที่เรียวบางของเจียงหวายเย่ก็ได้ชี้ไปที่ริมฝีปากบางๆของเขา
“มีโอกาสหนเดียวเท่านั้น” มีหรือที่หลินซีเหยียนนั้นจะยอมทำตามที่เจียงหวายเย่บอกง่ายๆ นางมองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยแววตาชัยชนะในดวงตาของนาง
เจียงหวายเย่จึงมีสภาพเหมือนกับมะเขือยาวแช่แข็ง ทั้งตัวของเขานั้นอยู่ในสภาพห่อเหี่ยว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน รถม้าก็ได้หยุดวิ่ง หลินซีเหยียนก็ได้เปิดผ้าม่านออกมาและมองรถม้ามากมายจอดอย่างเป็นระเบียบ
เจียงหวายเย่ก็ได้ลงมาจากรถม้าก่อนแล้วจากนั้นก็ได้ยืนมือไปรอรับหลินซีเหยียน แต่หลินซีเหยียนก็ได้กระโดดลงมาเองด้วยท่าทางที่ห้าวหาญ
แต่ไม่นานนัก ก็ได้พบกับหลินเสวี่ยเหยียนและหลินรั่วจิ่งอีกครั้ง ซึ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นตั้งใจมารอหรือว่าบังเอิญ
“อ้าวพี่สาม! ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้” หลินเสวี่ยเหยียนที่เหมือนกับเป็นคนละคน ก็ได้กล่าวด้วยท่าทีที่สูงส่งอย่างมาก แม้แต่ใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มที่เป็นกันเองอย่างมาก หากคนไม่รู้ก็คงคิดว่าพวกนางทั้งสองคนนั้นสนิทสนมกันอย่างมาก
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวเล็กน้อยตอบ
แล้วก็ได้มีรถม้าตามหลังมาเรื่อยๆ แล้วผู้คนมากมายก็ได้มารวมตัวกันอยู่ที่หน้าทางเข้า แล้วพอพวกเขาพบ หลินซีเหยียน สายตาของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
สวรรค์นั้นช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ หลินเสวี่ยเหยียนที่ใช้เวลาร่วมหลายชั่วยามในการแต่งหน้า แต่กลับเทียบไม่ได้กลับหลินซีเหยียนที่ไม่ได้แต่งหน้าเลย
เมื่อหลินเสวี่ยเหยียน, หลินซีเหยียนกับหลินรั่วจิ่งอยู่ร่วมกันแล้ว ก็ได้ทำให้พวกนางโดดเด่นขึ้นมาทันที
แล้วก็ชายหนุ่มมากความสามารถมากมายมองมาที่ หลินเสวี่ยเหยียนแล้วถาม “เสวี่ยเหยียน ทั้งสองคนนี้เป็นใครเหรอ? ไม่แนะนำให้พวกเราได้รู้จักบ้างล่ะ”