ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 50 เคยทำอะไรเช่นนี้มาก่อน

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 50 เคยทำอะไรเช่นนี้มาก่อน?

มิใช่ว่าหลินเหราไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ ออกมาเมื่อมาถึงห้องครัว ทว่าเป็นเหยาซูเองที่กำลังคิดถึงเรื่องต่าง ๆ จึงไม่ได้ยินเสียงของเขา

หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดตัวเองเล็กน้อยยามรู้สึกว่าเสียงพูดของเขาทำให้ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ

ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าสีแดงนั้นย้อมจนถึงใบหูของเหยาซู แม้แต่ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดของนางก็ยังเป็นประกายภายใต้สีแดงนั่น

“ข้าขอโทษ” เขายังคงพูดต่อ “หั่นมันใช่ไหม?”

เหยาซูเห็นเขาหยิบมีดขึ้นมาจึงพยักหน้า “หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ”

นางหันไปอีกทางหนึ่งเพื่อวางกระทะบนเตา จากนั้นเทน้ำมันลงไปเล็กน้อยเตรียมให้น้ำมันร้อน แต่หางตากลับเหลือบมองคนที่หั่นผักอยู่ด้านข้าง

ข้อต่อนิ้วมือของเขาปูดโปนชัดเจน แม้จะถือมีดทำครัวขนาดเล็กอยู่ มันก็ดูสงบและทรงพลัง

ในตอนแรกเขาไม่ค่อยชำนาญนัก ทว่าหลังจากหั่นไปสองสามครั้งความเร็วก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพียงแค่ช่วงเวลาที่เหยาซูกำลังใจลอยอยู่นั้น เขาก็หั่นกะหล่ำปลีไปครึ่งลูกแล้ว

คิดไปคิดมาดูเหมือนว่าเขาทำมันด้วยความเคยชิน

ชายคนนี้หยิบจานที่สะอาดขึ้นมาอีกใบแล้ววางผักที่ถูกหั่นเสมอกันอย่างสวยงามลงไปในจานก่อนที่จะยื่นให้กับเหยาซู

นางกลับมามีสติอีกครั้ง กระทะน้ำมันเริ่มมีควันลอยออกมาเป็นสัญญาณว่ามันกำลังร้อนเต็มที่ เหยาซูจึงใส่ต้นหอมและขิงลงกระทะ ต่อมาก็เทกะหล่ำปลีที่หลินเหราหั่นเอาไว้ลงไป

น้ำมันในกระทะเกิดเสียงดังเปรี๊ยะ ๆ ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรต่อกัน ในห้องครัวจึงมีแค่เสียงน้ำมันร้อน ๆ ดังฉู่ฉ่ากับเสียงตะหลิวที่กำลังผัดอาหาร

จนกระทั่งเหยาซูใส่เกลือ น้ำส้มสายชูและเครื่องปรุงอื่น ๆ อย่างชำนาญ เมื่อผัดเสร็จแล้วทั้งสองก็ยังไม่เอ่ยคำใดออกมา

เมื่อผัดเสร็จ เหยาซูก็กำลังจะหันหน้าไปหยิบจาน แต่มือของชายหนุ่มได้ยื่นจานสะอาดส่งมาให้พอดี

เหยาซูหยิบจานที่ชายหนุ่มส่งมาให้ จากนั้นเอ่ยโดยไม่คิดว่า “ท่าน…”

เขาเคยทำอาหารมาก่อนงั้นเหรอ?

แม้ว่านางจะเพิ่งพูดไปแค่คำเดียว และไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไปอีก ชายหนุ่มก็เหมือนจะรู้ว่านางต้องการจะถามสิ่งใด เขาจึงพูดว่า “เมื่อก่อนเป็นข้าที่ทำอาหารทั้งหมด เจ้าในตอนนั้นไม่สามารถแยกเกลือกับน้ำตาลได้ เจ้าเรียนรู้การทำอาหารมากขนาดนี้ได้อย่างไรรึ?”

เหยาซูกลอกตาในใจ นางไม่เคยชินกับน้ำเสียงของหลินเหรา แต่นางอยากจะตอบเขาว่า ‘ภรรยาคนเดิมที่ถูกตระกูลหลินข่มเหงรังแกจนเสียชีวิตแยกเกลือกับน้ำตาลไม่ออกอย่างนั้นเหรอ?’

แม้ว่านางจะเพิ่งเคยพบหน้าหลินเหราเป็นวันแรก แต่ในสายตาของหลินเหรานั้น พวกเขาเป็นสามีภรรยากันมาหลายปีแล้วและมีลูกด้วยกันถึงสามคน

นางพูดออกไปตามตรง “การทำอาหารไม่ใช่เรื่องยาก แค่เรียนรู้ก็สามารถทำได้แล้ว”

พูดไปก็รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย เมื่อก่อนตอนที่นั่งอยู่กับลูก ๆ นางคิดเพียงแค่ว่าตัวเองเป็นแม่ของเด็กทั้งสามคน

หากนางมองหลินเหราในฐานะสามีและถูกเขาดูแลเอาใจใส่ เหยาซูมักจะรู้สึกว่าเขาขโมยอะไรบางสิ่งไปจากร่างเดิมของนาง

ในฐานะสามีภรรยาที่อยู่กันมาหลายปี พวกเขาน่าจะมีความรู้สึกและความเข้าใจกันดีไม่ใช่หรือ?

หลินเหรามองภรรยาของตนแล้วกระซิบว่า “เมื่อก่อนเจ้าไม่ยอมพูดกับข้าแบบนี้”

เหยาซูกลัวว่าจะถูกมองออก จึงทำได้เพียงเบือนหน้าหนีและแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เป็นไปได้ไหมว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองจะไม่ค่อยดี?

แต่สิ่งที่ทำให้เหยาซูคิดไม่ออกก็คือตามคำอธิบายในเนื้อเรื่องเดิมของนิยาย พระเอกมีความสามารถและมีความรับผิดชอบมาก ในสายตาของเหยาซู รูปร่างของบุรุษตรงหน้าดูโดดเด่นและเป็นบุคลิกที่อยู่เหนือมนุษย์ทั่วไป

เหตุใดร่างเดิมจึงเกลียดชายผู้นี้จนถึงกับไม่พูดกับเขาแม้แต่คำเดียว หรือเป็นเพราะตระกูลหลินหลอกลวงนางในเรื่องแต่งงาน?

นางคิดไม่ออกและไม่อยากจะคิดอีก สิ่งเดียวที่เหยาซูมั่นใจก็คือ ไม่ว่าคนตรงหน้าจะดีงามหรือโดดเด่นแค่ไหน ในอนาคตเขาก็จะถูกลิขิตให้ตกหลุมรักกับนางเอก

เขาเอาแต่เฝ้ามองแม่ดอกบัวขาวอย่างนางเอกของเรื่อง ซึ่งเหยาซูคิดว่าเขาช่างตาบอดนัก

ในเมื่อร่างเดิมไม่ชอบพูดกับเขา เช่นนั้นนางก็จะพูดน้อยลงเสียสักสองสามประโยค

เหยาซูกำลังพูดในใจแล้วบอกกับตัวเองว่า ‘จะไปพูดอะไรกับคนตาบอด’ จากนั้นนางก็เดินกลับไปที่ห้องหลักพร้อมกับกะหล่ำปลีผัดน้ำส้มสายชูที่พึ่งปรุงเสร็จใหม่ ๆ

ทันทีที่นางเดินข้ามธรณีประตู นางก็เห็นอาจื้อและอาซือนั่งอย่างเบื่อหน่ายอยู่บนโต๊ะโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เมื่อมองเข้าไปใกล้ ๆ ก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าของอาจื้อเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ส่วนอาซือนั้นดูไม่สบอารมณ์แต่ยังคงนั่งกะเทาะถั่วลิสงอยู่

“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” นางวางผัดกะหล่ำปลีบนโต๊ะด้วยความประหลาดใจ และพูดหยอกล้อเด็กทั้งสองว่า “ทั้งสองคนแย่งอาหารกันแล้วร้องไห้หรือ?”

ผู้เป็นลูกสาวเอ่ยแผ่วเบา “ท่านแม่…”

เมื่อครู่หัวใจของเหยาซูถูกหลินเหราทำให้ปั่นป่วน ทว่าตอนนี้กลับอ่อนลงราวกับถูกโยนลงไปในน้ำอุ่น ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้นไม่ได้คิดแล้ว นางนั่งลงข้างอาซืออย่างเอ็นดูแล้วเช็ดน้ำตาให้กับเด็กน้อย “ทำไมช่วงนี้เจ้าเอาแต่ร้องไห้ ทำไมเหรอ? โดนพี่ชายรังแกหรืออย่างไร?”

เด็กหญิงตัวน้อยส่ายศีรษะ

เหยาซูจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “หยุดร้องไห้ได้แล้ว พวกเรายังต้องกินข้าวอีก เจ้าลองคิดดูสิ น้ำตาทั้งขมทั้งเค็ม หากตกลงไปในข้าวแล้วจะกินอย่างไร?”

พูดจบนางก็ถามอาจื้อว่า “ดูปากเล็ก ๆ ของเจ้าสิ แทบจะแขวนตะเกียงน้ำมันได้แล้ว สองคนทะเลาะกันเหรอ?”

เด็กชายตัวน้อยยังเด็กมากนัก แม้ว่าปกติเขาจะอ่อนน้อมถ่อมตนและดูแลน้องสาวของเขาอย่างดี แต่พวกเขาทั้งสองก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากต่อกัน

เขาพึมพำออกมาว่า “ก็น้องสาวโง่เกินไป”

น้ำตาของเด็กน้อยไหลรินอีกครั้ง

หลินเหราไม่เคยเห็นเด็กทะเลาะกันมาก่อน เขารู้สึกว่าควรจะแยกทั้งสองคนออกจากกัน หากทำเช่นนั้นพวกเขาก็จะไม่ทะเลาะกันแล้ว

เขาคิดว่าภรรยาของเขาจะไม่ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายหนุ่มขมวดคิ้วและเตรียมคำพูดสองสามประโยคที่จะตำหนินาง แต่เขาไม่เคยคิดว่ายังไม่ทันที่จะเอ่ยปากก็ได้ยินนางหัวเราะออกมาดังหึ ๆ

เด็กสองคน คนหนึ่งร้องไห้ อีกคนหนึ่งโมโห แต่แม่ของพวกเขากลับหัวเราะอย่างนั้นเหรอ?

หลินเหราขมวดคิ้ว ความไม่พอใจในตัวภรรยาที่หายไปนานกลับมาอีกครั้ง

“ท่านแม่!”

อาซือเอ่ยประท้วง น้ำตาก็ยิ่งไหลออกมา

เหยาซูควบคุมตนเองไม่ให้หัวเราะอีก นางอุ้มลูกสาวขึ้นมาปลอบใจ “เอาล่ะ ลูกสาวของแม่เป็นเด็กดี แม่จะไม่หัวเราะเยาะเจ้า แม่หัวเราะพี่ชายของเจ้าต่างหาก”

เด็กหญิงตัวน้อยเบะปากร้องไห้ “ฮือ ๆ”

เหยาซูหอมแก้มลูกสาวแล้วกระซิบกับนางว่า “ลูกรองของเราฉลาดที่สุด แล้วจะโง่ได้อย่างไร หืม? พี่ชายของเจ้าทำให้เจ้าเสียใจใช่ไหม? เด็กดีหยุดร้องไห้ได้แล้ว แม่อยู่นี่!”

ตอนนี้อาซืออายุมากกว่าเมื่อก่อนหนึ่งปี ทำให้เหยาซูอุ้มลูกแล้วรู้สึกหนักอึ้ง

หลินเหราเห็นว่านางลำบากจึงยื่นมือออกมาหมายจะอุ้มอาซือไว้ในอ้อมแขน แต่เหยาซูถลึงตาใส่แล้วเบี่ยงตัวหลบ

เหยาซูอุ้มอาซือไว้บนเก้าอี้ กล่อมไม่ให้ร้องไห้แล้วแสร้งทำเป็นดุอาจื้อ

“เจ้าเด็กดื้อมานี่ซิ!”

อาจื้อสามารถบอกได้ว่าเมื่อใดที่มารดาของเขาโกรธจริงหรือเมื่อใดต้องการเพียงขู่เขาให้ตกใจเท่านั้น จากนั้นเหยาซูก็พูดขึ้นว่า “ใครบ้างที่บอกว่าน้องสาวตัวเองโง่ หืม?”

เด็กน้อยพึมพำ “นางเกือบทำให้ข้าโกรธแทบตาย…”

เหยาซูไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางไม่รู้ว่าลูกชายตัวน้อยของนางนั้นเรียนรู้คำพูดพวกนี้มาจากที่ใด นางเพียงยื่นนิ้วเรียวขาวออกมาจิ้มบนหน้าผากของเด็กน้อย “ตกลงแล้วใครกันที่โกรธ? หืม? น้องสาวของเจ้าเรียนรู้เร็วแล้วก็เขียนหนังสือสวยด้วย โง่ตรงไหน?”

ใบหน้าของอาจื้อย่นยู่

ตัวหนังสือของน้องสาวสวยอย่างนั้นเหรอ? เมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องคนรองแล้ว พี่รองก็ยังเขียนได้สวยกว่า! ทว่านางยังเด็กและยังมีโอกาสก้าวหน้าอีกมาก ในอนาคตเขาต้องดูแลน้องสาวเวลาฝึกคัดอักษรให้ดี อย่าให้ฝึกตามพี่รองเด็ดขาด

“ขอโทษน้องสาวเจ้าเร็วเข้า”

เหยาซูจิ้มหน้าผากอาจื้อจนเหนื่อยแล้วจึงวางมือลงหยิกแก้มนุ่มของเขา “ได้ยินไหม?”

การทะเลาะวิวาทของเด็กทั้งสองเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างเด็ก เหยาซูไม่ได้ถามถึงสาเหตุและลูกทั้งสองก็ไม่มีทีท่าว่าจะพูดออกมา

อาจื้อถูกบีบแก้มจนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “น้องสาวข้าขอโทษ!”

“หืม? นี่คือคำขอโทษเหรอ..”

เหยาซูยกมือดึงแก้มอีกข้างของอาจื้อและพูดขึ้นว่า “บอกด้วยว่าน้องสาวเจ้าฉลาดและน่ารัก!”

เมื่อเป็นเช่นนี้แก้มทั้งสองข้างของเด็กชายก็ถูกบีบจนเผยให้เห็นฟันหลอด้านหน้า อาซือเห็นดังนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้

“น้องสาวฉลาดและน่ารัก”

แม้ใบหน้าของเขาจะถูกดึงแถมยังฟันหลอ แต่คำพูดของเขาก็เต็มไปด้วยพลัง

อาซือเม้มปากหัวเราะไม่หยุด นางนั่งลงบนเก้าอี้ ขาลอยอยู่ในอากาศแกว่งไปมา ลืมไปเสียสนิทว่าที่ตนร้องไห้หนักเมื่อครู่ก็เพราะเหตุใด รู้เพียงว่าพี่ชายช่างน่าขบขันเสียจริง

นางออดอ้อนเหยาซู “ท่านแม่ ให้พี่ชายพูดอีกครั้งนะเจ้าคะ!”

คราวนี้ไม่ต้องรอให้เหยาซูสั่ง อาจื้อก็เอ่ยขึ้นอีกสองครั้ง “น้องรองทั้งฉลาดและน่ารัก น้องสาวของข้าทั้งฉลาดและน่ารัก!”

เขาพูดขึ้นจนทำให้อาซือยิ้มจนหน้าบาน

เมื่อเห็นว่าลูกสาวตัวน้อยของนางมีความสุข เหยาซูก็ปล่อยมือจากแก้มของอาจื้อแล้วลูบหัวเขา

“กินข้าวกันเถอะ”

แม้ว่าในภพก่อนนางจะไม่เคยมีลูก แต่เนื่องจากที่นางเติบโตมากับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นางก็มักจะกลับไปที่บ้านพักเด็กกำพร้าเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ตลอด

เด็ก ๆ มักจะมีความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่เสมอ จึงขึ้นอยู่กับว่าผู้ใหญ่จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร หากจัดการได้ดีทั้งสองฝ่ายก็จะมีความสุขและลืมเรื่องราวนั้นอย่างรวดเร็ว หากจัดการไม่ดีเด็กทั้งสองคนก็จะร้องไห้ไปอีกครึ่งค่อนวัน

เหยาซูมีวิธีที่จัดการเกี่ยวกับการกระทำเหล่านี้

เมื่อทั้งสองคนนั่งลงอย่างสงบ เหยาซูก็หันไปหาชายคนนั้นแล้วพูดว่า “ท่านก็มานั่งด้วยกันสิ”

หลินเหรายืนอยู่ข้าง ๆ และเฝ้าดูปฏิสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก เขาโตมากับพ่อแม่ตระกูลหลิน ในความทรงจำไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนที่เป็นแม่จะใช้การดุด่าที่รุนแรงหรือแม้แต่การตำหนิเพื่อแก้ปัญหา

ต่อมาหลังจากแต่งงานกัน เหยาซูก็ทนไม่ไหว มักจะทิ้งลูกชายและลูกสาวไว้ข้างหลังอย่างเฉยเมย นางไม่เคยสนใจเรื่องของพวกเขาเลย

เดิมทีเขาคิดว่าเหยาซูจะด่าพวกเด็ก ๆ หรือไม่ก็เพิกเฉยต่อเรื่องนี้ แต่ความอ่อนโยนที่นางแสดงออกมานั้นทำให้หลินเหรารู้สึกราวกับว่าไม่เคยเห็นเหยาซูที่แสดงความรักและความอดทนต่อเด็ก ๆ เช่นนี้

อีกทั้งเขาเองก็ไม่เคยเห็นมารดาตนทำเช่นนี้มาก่อน

หลินเหรานั่งลงข้าง ๆ เหยาซูและเอ่ยแผ่วเบา “เจ้าเปลี่ยนไปมากจริง ๆ”

นางเหลือบมองเขาและไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

การเลี้ยงดูเด็กนี่สำคัญมากเลยนะคะ เด็กจะเติบโตมาเป็นคนแบบไหนขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูจากผู้ใหญ่เลย คนบางคนก็ไม่พร้อมที่จะเป็นพ่อแม่ใครจริง ๆ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท