ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 158 เหมือนมีคนคุยกันอยู่ในห้อง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

หลินเหราเข้าใจความหมายของเขาเป็นอย่างดี จึงตอบกลับด้วยสายตาปลอบโยน

สถานะ ‘นายน้อยตระกูลหลิน’ นี้ ทำให้เขาสะดวกสบายยิ่ง ทว่าในเวลาเดียวกันกลับทำให้เขาดึงดูดสายตาและนำพาอันตรายมาสู่ตนมากขึ้น

เหยาเฉาตั้งใจมองไปทางหลินเหราหลายครั้ง เพื่อเน้นสถานะของเขาให้กับโจรภูเขา และหลีกเลี่ยงความยุ่งยากโดยไม่จำเป็น

ถึงอย่างไรเสีย อาการบาดเจ็บบนไหล่ของเขาก็ยังไม่หายสนิทดีนัก

เหยาเฉากลับเข้าไปในเกี้ยวอีกครั้ง เสี้ยววินาทีเดียวที่หมุนตัว สีหน้าของเขาก็พลันเย็นยะเยือกลง

เมื่อนึกถึงสายตาของชายมีแผลเป็นที่มองเขาอย่างพินิจพิจารณา เหยาเฉาก็รู้สึกรังเกียจอยู่ในใจจนไม่อาจกำราบได้ อีกทั้งรู้สึกอึดอัดไปทั้งร่างกาย

นัยน์ตาดุจดอกท้อที่เดิมทีเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย บัดนี้กลับคงไว้ซึ่งความเย็นชา

ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ในใจ นอกจากดาบที่อยู่ในเกี้ยวแล้ว บนร่างกายก็ไม่มีสิ่งของใดที่สามารถเป็นอาวุธได้เลย ปิ่นปักผมที่แหลมคม รังสรรค์ขึ้นจากทองบริสุทธิ์ ระดับความแข็งกลับไม่มากพอ แต่ภายใต้แรงทั้งหมดหากเสียบลงไปบนลำคอที่เปราะบาง ก็อาจพอปลิดชีวิตได้

ประกอบกันชุดกระโปรงที่เป็นภาระชุดนี้ของเขา ครั้นฉีกออกครึ่งหนึ่งก็สามารถรัดคนตายได้ถึงสองสามคน

โทสะในใจเริ่มปั่นป่วน แต่ครั้นนึกถึงสายตาปลอบประโลมที่ไม่อาจปิดบังของหลินเหราเมื่อครู่ เหยาเฉาจึงค่อย ๆ ควบคุมความรู้สึกอันรุนแรงของตัวเองให้สงบลง

อดทนในตอนนี้ แล้วค่อยกลับไประบายอารมณ์แทนเขา นี่คือความหมายของหลินเหรา

…..

ทุกคนในจวนผู้ตรวจการเดินขึ้นเขาด้วยความตื่นตระหนกโดยไร้อันตรายไปตลอดทาง แต่กลับไม่รู้ว่าจากป่าทึบที่พวกเขาหยุดพักและพบกันนั้น มีคนเดินตามหลังพวกเขาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล กระทั่งถึงภูเขาเฮยหู่และเข้าไปในค่ายลับ

คนผู้นั้นคลุมใบหน้าไว้ ร่างเงาเคลื่อนไหวแฉลบไปมาอยู่ท่ามกลางป่าไม้ เห็นได้ชัดว่าคล่องแคล่วว่องไวมากทีเดียว แม้แต่ในค่ายลับของภูเขาเฮยหู่ ก็ดูราวกับเป็นพวกเดียวกันอยู่ลานหลังบ้าน โจรภูเขาที่ลาดตระเวนไปมาจึงไม่สังเกตเห็นเขา

เหยาเฉาถูกจัดให้อยู่ในห้องหนึ่งเพียงลำพัง มีคนเฝ้าอยู่หน้าประตูสองคน เงาร่างที่ดูปราดเปรียวนั้นได้เดินอ้อมห้องนั้นหนึ่งรอบ สุดท้ายก็เปิดหน้าต่างด้านข้างอย่างเงียบเชียบ และแทรกตัวเข้าไป

“ใครกัน?” เมื่อเหยาเฉาได้ยินการเคลื่อนไหวก็ตื่นตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสตรีที่ทุ้มต่ำออกไป

คนคลุมหน้าหลุดหัวเราะ ‘พรืด’ ออกมา จากนั้นก็ราวกับถูกจี้จุดหยุดหัวเราะฉับพลัน

ภายในห้องที่มืดสลัว กลับยังมองออกว่าผู้ที่มาเยือนนั้นมีรูปร่างเป็นเด็กหนุ่ม เหยาเฉาไม่จำเป็นต้องเห็นใบหน้าของคนผู้นั้น ก็สามารถจำเขาได้ทันที

เขากลับมาพูดด้วยน้ำเสียงอันแจ่มชัดของตัวเอง แต่ก็ยังเป็นกังวลถึงคนที่เฝ้าอยู่ข้างนอก จึงเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำว่า “ที่นี่อันตรายมากนัก เจ้ามาทำไม?”

เด็กหนุ่มถอดผ้าคลุมหน้าออกด้วยมือข้างเดียว จากนั้นก็เบะปากอย่างไม่สบอารมณ์ “เหตุใดท่านถึงจำข้าได้เล่า?”

เหยาเฉาเห็นเขาเคลื่อนไหวอย่างไร้กังวล จึงทำได้แค่พูดว่า “มาพูดใกล้ ๆ สิ”

แม้ว่าเขาจะแต่งกายเป็นหญิง ใบหน้ายังคงใบหน้าเดิมไว้ แต่ท่าทางและการกระทำกลับแตกต่างจากเมื่อครู่ไปโดยสิ้นเชิง ทำให้คนที่เห็นไม่รู้สึกสงสัยในฐานะบุรุษของเขาเลยแม้แต่น้อย

เด็กหนุ่มเดินขึ้นหน้าสองสามก้าว ขยับเข้าใกล้เหยาเฉาและถามเขาว่า “ท่านยังไม่บอกเลย ว่าเหตุใดถึงจำข้าได้?”

เหยาเฉาแสดงสีหน้าจนปัญญา พร้อมกับมองไปยังดวงตาสีดำทมิฬของเด็กหนุ่มอย่างไม่วางตา “ข้าจำเจ้าได้แน่นอนอยู่แล้ว อย่าว่าแต่จะคลุมหน้าเลย ต่อให้กลายเป็นเถ้าถ่านก็จำได้ เสี่ยวเว่ย หยุดเล่นได้แล้ว”

ประโยคนี้ไม่รู้ไปจี้จุดเด็กหนุ่มเมื่อใด ใบหน้าที่เดิมทีแฝงไปด้วยความโหดร้ายก็เผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยถามว่า “คลุมหน้า กลายเป็นเถ้าถ่าน ก็จำได้งั้นหรือ? งั้นหากข้าใส่ชุดของสตรี ท่านก็จำได้อย่างนั้นสิ?”

สีหน้าเดิมของเขาเคร่งขรึมอยู่แล้ว บางทีอาจเป็นเพราะในวัยเด็กได้รับความลำบากมามาก จึงทำลายเค้าโครงเดิม แม้แต่สีปากก็ยังก็ซีดเซียวไม่น้อย

มีแค่ดวงตาสีดำทมิฬคู่นั้น ที่คล้ายกับการวาดจุดสีดำสองจุดเข้มลงบนกระดาษสีขาวอันบริสุทธิ์อย่างไรอย่างนั้น

ตอนนี้เพราะเด็กหนุ่มกำลังยิ้ม แก้มทั้งสองข้างจึงเจือไปด้วยสีสันอบอุ่น ทำให้คนที่เห็นรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย

เหยาเฉาดีใจที่เห็นเขามีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น แต่แค่อยากคล้อยตามเขาจึงหยอกล้อออกไปว่า “หากเจ้าอยากใส่ รอประเดี๋ยวข้าจะถอดชุดให้เจ้า”

นัยน์ตาของเขาฉายแววตาอบอุ่นที่หาได้ยากยิ่ง แม้แต่น้ำเสียง ก็ยังอ่อนโยนลงไม่น้อย

เสี่ยวเว่ยไม่ได้สังเกตเห็นถึงความแตกต่างนี้ เขาแค่ยิ้มพลางขยับเข้ามาใกล้ จากนั้นก็มองพิจารณาการแต่งหน้าของเหยาเฉาอย่างละเอียด “ข้าไม่ใส่ชุดแบบนี้หรอก มันน่าเกลียด…. แต่ข้าว่า มันเหมาะสมกับท่านดีนะ”

เขาขยับเข้ามาใกล้มาก จนแม้แต่ลมหายใจก็ยังรดใส่หน้าของคนที่อยู่ตรงข้าม แม้ว่าจะไม่รู้สึกรังเกียจแต่เหยาเฉากลับต้องถอยหลังโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง

“ยังไม่เคยได้ยินใครพูดมาก่อนว่าข้าเหมาะกับชุดสีแดง”

เขาตั้งใจบิดเบือนความหมายของเด็กหนุ่ม หลีกเลี่ยงหัวข้อนี้ไม่ให้ไปต่อ

เสี่ยวเว่ยขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด และพูดอย่างจริงจังว่า “สีขาวถึงจะเหมาะสมกับท่าน”

ครั้งแรกที่เขาเจอเหยาเฉา เขาก็ใส่ชุดสีขาวทั้งตัว

ตัวเองในตอนนั้นจนตรอกหมดอาลัยตายอยาก ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีส่วนไหนดูได้เลย สีแดงเลือดเปรอะเปื้อนบนเสื้อผ้าสีขาวของเขา แต่เขากลับไม่สนใจ

เหยาเฉายิ้ม “เจ้าเห็นข้าใส่ชุดสีขาวตั้งแต่เมื่อใดกัน?”

เพราะคำนึงถึงเกียรติของเสี่ยวเว่ย เขาจึงซ่อนเด็กหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บจนสะบักสะบอมไว้ เสื้อผ้าที่เปื้อนไปด้วยเลือดทั้งตัวนั้น ก็ต้องถูกกำจัดทิ้งตั้งแต่ครั้งแรก แม้แต่เหยาเฉาเองก็ลืมไปว่าวันนั้นตัวเองสวมชุดอะไร

เสี่ยวเว่ยเบะปาก “ข้าบอกว่าเหมาะก็เหมาะสิ!”

เหยาเฉาไม่อยากโต้เถียงกับเขาอีกต่อไปจึงกดเสียงลงต่ำและพูดกับเขาว่า “ที่นี่อันตรายมาก โจรที่เจอระหว่างทาง ล้วนเป็นโจรที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เจ้ารีบไปเถอะ อย่าให้ถูกจับได้”

แม้ว่านักฆ่าในคราวที่แล้วจะเป็นเขา แต่เหยาเฉาเคยเห็นเขาในช่วงเวลาที่จนตรอกที่สุดมาแล้ว เชื่อว่าไม่มีทางเป็นสิ่งที่เสี่ยวเว่ยตั้งใจทำอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อเจอกันจึงไม่เคยที่จะโทษกล่าวเขา ในใจยังรู้สึกปวดใจกับเด็กหนุ่มผู้นี้อยู่เลือนราง

เด็กหนุ่มมีสีหน้าเย็นชาลง “ข้าแค่มาเที่ยวถิ่นเดิม เกี่ยวอะไรกับท่าน? ท่านเป็นญาติฝั่งไหนของข้าไม่ทราบ ถึงต้องมาสนใจ?”

เหยาเฉาเป็นคนที่ช่วยชีวิตเสี่ยวเว่ยให้รอดพ้นจากค่ายลับแห่งนี้ เขาไม่อยากให้เด็กหนุ่มต้องนึกย้อนกลับไปในห้วงความทรงจำที่น่าอัปยศเมื่อครั้งอดีตอีก รู้ว่าเขามีนิสัยตรงไปตรงมา จึงพูดในสิ่งที่ยากจะทนฟังได้ ด้วยการบ่ายเบี่ยงว่า “ข้าไม่ได้สนใจเจ้า เพียงแต่ที่นี่มันอันตรายจริง ๆ ไม่ใช่สถานที่เล่นสนุก มีอะไรน่าเที่ยวเล่า? วันหน้าเมื่อเหตุโจรกรรมสงบลง ข้าพาเจ้าไปเที่ยวในเมืองสักรอบ ดีหรือไม่?”

เหยาเฉานั่งอยู่ แต่อยากเห็นเสี่ยวเว่ยจึงทำได้แค่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

ความสูงระดับนี้ไม่แตกต่างกันนัก ความเป็นกังวลในสายตาของเขามองเห็นได้อย่างชัดเจนและเอาใจเด็กหนุ่มอย่างมาก

เมื่อครู่เขายังโกรธ วินาทีต่อมากลับยิ้มได้ แต่ก็ยังปากแข็งพูดว่า “ใครอยากให้ท่านพาเข้าเมือง….”

บางทีอาจเป็นเพราะน้ำเสียงในประโยคนี้ดังเกินไป ภายนอกจึงเริ่มมีการเคลื่อนไหว ทำให้คนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเอ่ยถามคู่หูด้วยความสงสัย “เฮ้ เจ้าได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังคุยกันอยู่ในห้องหรือไม่?”

ในห้องไม่สามารถซ่อนใครได้ แต่โชคดีที่เสี่ยวเว่ยมีรูปร่างทีไม่สูงมากนัก

………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เด็กคนนี้มีความสัมพันธ์ในกาลก่อนอย่างไรกับพี่เฉานะ ดูเหมือนต้องการตอบแทนที่พี่เคยช่วยชีวิตไว้ แต่บรรยากาศของทั้งคู่มัน…เฮ้ออ /ต่อเรือผีอยู่เงียบๆ/

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท