ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 184 จะมาเยี่ยมในเมืองชิงถงบ่อย ๆ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

แม้ว่าเซี่ยเชียนจะเป็นบัณฑิตที่มักอวดความสามารถ แต่กลับจัดการเรื่องราวได้อย่างเด็ดขาดและเป็นระเบียบยิ่ง

นับตั้งแต่วินาทีที่เขารับรู้ถึงการมีตัวตนของหลินเหรา เขาก็ตั้งใจจะยอมรับหลานชายคนนี้

ไม่ว่าหลินเหราจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นสายเลือดเดียวของตระกูลเซี่ย

เดิมทีเขาเตรียมความพร้อมมากพอแล้ว คิดว่าตนสามารถพบครอบครัวชาวนาธรรมดาที่มีความซื่อสัตย์และถ่อมตนได้

บัดนี้เมื่อได้เจอ เซี่ยเชียนก็สัมผัสได้ว่า เงาของตระกูลเซี่ยที่สะท้อนอยู่บนตัวของหลินเหรานั้นยังไม่หายไปไหน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งความภาคภูมิใจที่ฝังอยู่ในกระดูกดำนั้น แค่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่ามีเชื้อสายของตระกูลเซี่ยอยู่

ประกอบกับที่ทั้งสองคนมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน เขาจึงไม่มีความลังเลที่จะพูดออกไปโดยตรง

เซี่ยเชียนเห็นหลินเหราไม่พูดสิ่งใด จึงเกิดความรู้สึกกังวลขึ้นในใจเป็นครั้งแรก ก่อนจะกระแอมและพูดต่อว่า “พวกเราเป็นน้าหลานแท้ ๆ กัน เจ้าจะยอมกลับไปยังตระกูลเซี่ยหรือไม่?”

ครั้นได้ยินประโยคนี้ ดวงตาสีดำขลับดุจน้ำหมึกของหลินเหราได้ชำเลืองมายังเซี่ยเชียน “ท่านพ่อและท่านแม่ของข้ายังอยู่ เหตุใดถึงกลายเป็นลูกหลานของตระกูลเซี่ยเสียได้?”

คำถามนี้ กลับมีแค่ท่านผู้ตรวจการเท่านั้นที่ตอบ “อาเหรา สามีภรรยาตระกูลหลินคู่นั้น … ไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของเจ้า”

หัวคิ้วของหลินเหราค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน ก่อนจะพูดอย่างเฉียบขาด “ข้าคือสายเลือดตระกูลหลิน”

หัวหน้าผู้ตรวจการพยักหน้า “ตอนนั้นหลังจากที่พ่อแม่ของเจ้าจากโลกนี้ไป ปู่ของเจ้าจึงยกเจ้าให้ผู้เป็นอาดูแล เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในตระกูลหลิน มีแค่คนเก่าคนแก่เท่านั้นที่รู้”

หลินเหรามองไปทางผู้ตรวจการ แต่กลับไม่แสดงความรู้สึกใดออกมาทางสีหน้า มีแค่ความเงียบไร้เสียงพูดใด

ครั้นชายชราเห็นหลินเหราไม่มีทีท่าว่าจะยอมรับแม้แต่น้อย จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หัวหน้าเซี่ย เกรงว่าอาเหรายังไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องแน่ชัด เจ้าพอจะเล่าเรื่องราวของตระกูลเซี่ยให้เขาฟังสักหน่อยได้หรือไม่?”

เซี่ยเชียนไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องของผู้ใด แต่หลินเหราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตระกูลเซี่ยเลย การสะเพร่าถามเช่นนี้กลับไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร

เขาพยักหน้า จากนั้นก็เล่าเรื่องของตระกูลเซี่ยให้หลินเหราฟัง

“ตระกูลเซี่ยรับราชการมาหลายชั่วอายุคน สมัยจักรพรรดิองค์ก่อน ตระกูลเรามั่งคั่งร่ำรวยมาก ท่านพ่อเป็นข้าราชการผู้ซื่อสัตย์ ได้รับขนานนามว่าจงรักภักดีไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพียงแต่ทายาททางสายเลือดโดยตรงล้วนไม่สมบูรณ์ เมื่อครั้งพ่อแม่อายุได้สามสิบปีจึงมีข้าและพี่สาวชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ต่อมาตระกูลเซี่ยได้เข้าไปพัวพันกับคดีฉ้อโกง ท่านพ่อจึงต้องถูกประหารชีวิตอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งตระกูลถูกเนรเทศ…เหลือเพียงข้าและพี่สาว ซึ่งเป็นแม่ของเจ้าที่หนีตายออกมาได้”

ครั้นเอ่ยถึงพี่สาว แววตาของเขาก็พลันอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด

“ตอนนั้นข้าอายุได้เพียงเจ็ดขวบ พี่สาวพาข้าหลบ ๆ ซ่อน ๆ ทั้งยังเย็บปักถักร้อยหาเลี้ยงชีพประทังชีวิตไปวัน ๆ ต้องลำบากตรากตรำไม่รู้ตั้งเท่าไร แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่นางก็ยังกัดฟันเลี้ยงข้าจนเติบใหญ่ สนับสนุนให้ข้าได้ร่ำเรียนต่อ ให้ข้าจดจำการประทุษร้ายต่อตระกูลเซี่ยจนขึ้นใจ”

“เราไม่กล้ากลับเข้าเมืองหลวง ทำได้แค่ซ่อนตัวอยู่ในชนบท …เป็นอยู่อย่างนี้สองปี แต่ต่อมากลับต้องประสบกับความอดอยาก ธัญพืชล้วนเก็บเกี่ยวไม่ได้ กระทั่งเกิดเรื่องราวที่มีการนำลูกไปแลกอาหารในชนบท ตอนนั้นข้าเองก็ยังเด็ก ไม่สามารถต้านลมหนาวและเป็นที่บังฝนให้แก่พี่สาวได้ พี่สาวจึงทำได้แค่พาข้าหนีหัวซุกหัวซุนอีกครั้ง”

“ต่อมาเราสองคนเกิดพลัดหลงกัน พี่สาวอยู่ที่ไหนไม่อาจรู้ได้ ข้าไม่เคยยอมแพ้ที่จะถามหาข่าวคราวของพี่สาวสักครั้ง แต่กลับไม่เคยได้ยินข่าวของนางอีกเลย”

ครั้นพูดถึงตรงนี้ นัยน์ตาของเซี่ยเชียนก็ดูเหมือนจะมีน้ำตาเอ่อล้นออกมา เขามองใบหน้าของหลินเหราราวกับเห็นพี่สาวที่พาเขาหนีหัวซุกหัวซุนเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน

เขาพูดเสียงแหบแห้งว่า “อาเหรา ทันทีที่ข้าเห็นเจ้าก็รู้เลยว่าเจ้าต้องเป็นลูกพี่สาวของข้า ท่านพ่อมักพูดเสมอ แม้ว่าพี่สาวและข้าจะห่างกันไม่กี่ปี แต่กลับเหมือนคลอดออกมาพร้อมกัน รูปร่างหน้าตาหรือแม้แต่นิสัยใจคอต่างคล้ายกันมาก อาเหรา ลองคิดพิเคราะห์อย่างเงียบ ๆ ดูนะ ว่าเจ้าเป็นหลานชายแท้ ๆ ของข้าใช่หรือไม่?”

ทั้งสองคนต่างก็มีท่าทางที่นิ่งสงบ กอปรกับหน้าตาที่มีความคล้ายคลึงกันถึงสามส่วน สำหรับหลินเหราแล้วก็คงไม่อาจพูดได้ว่าไม่เชื่อ

หลินเหราไม่ได้ยอมรับในทันที หัวคิ้วขมวดเข้าหากันตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ “แม่ผู้ให้กำเนิดของข้าคือพี่สาวของหัวหน้าเซี่ยหรือขอรับ? เช่นนั้นหัวหน้าเซี่ยคงต้องเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวให้ชัดเจนอีกครั้ง”

แม้จะบอกว่าหลินเหราเติบโตอยู่ในตระกูลหลินตั้งแต่เด็ก พ่อหลินและแม่หวังไม่เคยแสดงสีหน้าที่ดีกับเขา ทว่าเขาก็ไม่เคยสงสัยในชีวิตของตัวเองมาก่อน

อีกทั้งเขาไม่ค่อยสนใจใยดีครอบครัวเท่าไร ต่อให้รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่จะไม่บุ่มบ่ามยอมรับคนที่เรียกตนเองว่า ‘น้า’ โดยเด็ดขาด

ครั้นเห็นหลินเหราแสดงสีหน้านิ่งเฉย เซี่ยเชียนก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

เขายืนหยัดเล่าต่อว่า “เพราะพี่สาวเป็นบุตรสาวของขุนนางที่กระทำความผิด จึงไม่สามารถประกาศสถานะของตัวเองออกไปได้ ข้าจึงทำได้แค่สืบหาที่อยู่ของพี่สาวอย่างเงียบ ๆ จนข้าเจอเจ้าในที่สุด ต้องขอบคุณการช่วยเหลือของท่านผู้ตรวจการ”

ครั้นหัวหน้าผู้ตรวจการเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวของน้าและหลานคู่นี้ตกอยู่ในสภาวะนิ่งงัน จึงทำได้แค่เอ่ยเสริมว่า “แม่ผู้ให้กำเนิดของอาเหราเป็นลูกสาวของตระกูลเซี่ยหรือไม่นั้น ข้าเองก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามตัดสินชี้ขาด เพียงแต่หลังจากที่ได้เห็นรูปภาพที่หัวหน้าเซี่ยให้ข้าดู จึงมั่นใจว่าเจ้ามีความละม้ายคล้ายคลึงกับแม่ของเจ้ามากทีเดียว”

หากเป็นเมื่อก่อน หลินเหราจะไม่สืบหาความจริงเรื่องนี้อย่างแน่นอน

หลายปีที่ผ่านมาสิ่งที่พ่อหลินกับแม่หวังปฏิบัติต่อเขาและภรรยาได้บั่นทอนความคาดหวังทั้งหมดที่เกี่ยวกับพ่อแม่ของเขาไปนานแล้ว

แต่ถึงอย่างไรความอดทนและความอ่อนโยนที่เหยาซูมีต่อหลินเหรา กลับทำให้หลินเหราอดจินตนาการไม่ได้ว่าแม่ผู้ให้กำเนิดของเขาจะรักลูกของตัวเองได้แบบนี้หรือไม่

ดวงตาของเขาหลุบมองต่ำเล็กน้อย “ไหน ๆ ท่านก็เคยเจอกับแม่แท้ ๆ ของข้าแล้ว รู้หรือไม่ว่านางเป็นผู้หญิงเช่นไรขอรับ?”

ใบหน้าของชายชราได้เผยรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าเองก็มีวาสนาได้เจอกับแม่ของเจ้าครั้งหนึ่ง แม่ของเจ้าเป็นสตรีที่อ่อนโยนและงดงามยิ่ง รู้หนังสือ แม้แต่การพูดการจาก็ช่างดูรอบรู้ยิ่งนัก”

ใจของหลินเหราเต้นระรัวเล็กน้อย แม่ของเขาเป็นคนที่อ่อนโยนดั่งที่ท่านผู้ตรวจการบอกไว้จริง ๆ หรือ?

เสียงของเขาค่อนข้างแหบเล็กน้อย “แล้วนางมายังหมู่บ้านตระกูลหลินได้อย่างไรขอรับ?”

“นอกจากวาสนาที่ได้เจอกันครั้งนั้นแล้ว ก็ยังมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแม่แท้ ๆ ของเจ้าด้วย ข้าเองก็รู้มาจากปากปู่ของเจ้า ข้ารู้ว่านางแซ่เฉียน หนีตายมาจากทิศตะวันตก ต่อมาก็ตามฝูงชนเข้ามาในเมืองหลวง แต่กลับเป็นลมเพราะความหิวโหยอยู่บนภูเขา พ่อของเจ้าได้ช่วยชีวิตนางไว้ ต่อมาทั้งสองคนก็แต่งงานกัน ไม่นานก็มีเจ้า”

หลินเหราสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะถามต่อว่า “เหตุใดข้าถึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนางเลย ตระกูลหลินต่างก็ปิดปาก พ่อแม่ของข้าไม่ยอมปริปากพูด อีกทั้ง…ข้าก็ดันกลายเป็นลูกชายของผู้อื่น?”

ผู้ตรวจการถอนใจ และพูดว่า “ข้ารู้แค่ว่ามีข่าวลือรั่วไหลออกมา มีคนรู้ว่าแม่ของเจ้าเป็นลูกสาวขุนนางที่กระทำความผิด พ่อแม่ของเจ้าต่างถูกลงโทษเพราะเรื่องนี้ ปู่ของเจ้าจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ตัดชื่อพ่อของเจ้าออกจากตระกูล แล้วมอบเจ้าให้ลูกชายคนที่สองเลี้ยงดู วิธีการนี้ถึงจะสามารปกป้องเจ้าได้ ท้ายที่สุดแล้วเรื่องภายในจะเป็นอย่างนั้น เกรงว่าคงมีแต่ปู่ของเจ้าและพ่อแม่ในตอนนี้ของเจ้าเท่านั้นที่รู้”

ครั้นหลินเหราได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึง นิ่งเงียบโดยไม่พูดสิ่งใดอยู่เนิ่นนาน

เซี่ยเชียนเองก็หลุบตามองต่ำเป็นนานสองนาน กระทั่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “ข้าคิดว่าที่พี่สาวยอมเปิดเผยสถานะนั้นก็เพื่อตามหาข้า”

แม้ว่าแม่ผู้ให้กำเนิดของหลินเหราจะเปลี่ยนชื่อเป็นนางเฉียน และได้แต่งงานกับตระกูลหลิน แต่ก็ไม่ค่อยมีโอกาสปรากฏตัวสู่สังคมภายนอกเท่าไรนัก ถ้าไม่ใช่เพราะความห่วงใยน้องชาย นางไม่มีทางเสี่ยงเปิดเผยสถานะของตัวเองออกไปเป็นแน่

เพียงแต่ระหว่างที่ตามหาน้องชายนั้นก็ถูกคนพบว่านางคือบุตรสาวของขุนนางเซี่ย

เดิมทีนางได้มีโอกาสใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุขแล้ว มีสามีที่เคารพนาง อีกทั้งรักและพร้อมปกป้องนางกับลูก

นางเป็นสตรีที่อ่อนโยนมากเพียงนั้น ไฉนเลยจะตัดใจทิ้งลูกที่ยังไม่รู้ความได้ลงคอ!

คิดได้ถึงตรงนี้ ในใจของเซี่ยเชียนก็พลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ตีขึ้นมาเป็นระลอก ทำให้สีหน้าที่เดิมทีเย็นชาไร้ความรู้สึก แสดงความเจ็บปวดออกมา

หลินเหราได้แต่กำมือทั้งสองข้างแน่น ไม่เอ่ยกล่าวสิ่งใด

เซี่ยเชียนหันไปทางหลินเหรา และเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “อาเหรา ดูสิ เจ้าและข้าต่างก็มีหน้าตาที่คล้ายกันถึงเพียงนี้ ตอนนี้เจ้ายังไม่เชื่อข้าอีกหรือว่าแม่ของเจ้าเป็นบุตรสาวของตระกูลเซี่ย?”

ดวงตาที่มีความคล้ายคลึงกับหลินเหรามากคู่นั้นจับจ้องมาทางเขาอย่างไม่ละลายตา แต่นั่นก็ไม่อาจทำให้เขาสามารถยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนได้

บางทีอาจเป็นเพราะทั้งคู่กำลังคะนึงหาถึงคนคนเดียวกัน ทำให้คนแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนอย่างพวกเขาเริ่มมีความสนิทสนมกัน หรือไม่ก็เพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดเดิม หลินเหราพบว่าเขาไม่มีทางเมินเฉยต่อการมีตัวตนของเซี่ยเชียนโดยเด็ดขาด

ส่วนบุรุษที่มีสีหน้านิ่งสงบ แต่แฝงไปด้วยความทะนงตนตั้งแต่ต้นจนจบผู้นั้น ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อาจข่มสีหน้าแห่งความเจ็บปวดเอาไว้ได้อีกต่อไป

สำหรับน้าที่อยู่ ๆ ก็ปรากฏตัวออกมา หลินเหราจึงทำได้แค่พูดว่า “อย่างไรเสียคนก็ตายไปแล้ว ขอแสดงความเสียใจกับหัวหน้าเซี่ยด้วยขอรับ”

ครั้นเซี่ยเชียนเห็นหลินเหราไม่มีทีท่าจะยอมรับตัวเอง จึงเข้าใจและไม่เซ้าซี้อีก ได้แต่พยักหน้า “หากข้ามีเวลา จะมาเยี่ยมเจ้าในเมืองชิงถงบ่อย ๆ นะ”

หลินเหรายกมือแสดงความเคารพ เป็นการยอมรับ

กระทั่งได้ยินเซี่ยเชียนเอ่ยถามเสียงต่ำว่า “เจ้าแต่งภรรยามีลูกแล้วใช่หรือไม่?”

………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เรื่องราวในครอบครัวอาเหราเริ่มซับซ้อนแล้ว ถ้าแม่แท้ๆ เป็นคนตระกูลเซี่ยจริง ก็ไม่แปลกที่แม่เฒ่าหวังจะคิดแผนหาประโยชน์กับลูกเลี้ยงคนนี้

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท