ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 219 ทะเลาะ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 219 ทะเลาะ

เหยาซูและเจี่ยงฉีคุยกันอยู่เนิ่นนาน

ไม่รู้ว่าด้วยเหตุอันใดในตอนแรก ๆ ทั้งสองคนถึงไม่ลงรอยกัน แต่ระหว่างที่ได้ไปมาหาสู่กันหลายวันมานี้ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งชื่นชมนิสัยของกันและกันมากขึ้น

ทันใดนั้น เหยาซูก็นึกถึงสตรีที่มีบุคลิกคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงอีกคนขึ้นได้ จึงพูดกับเจี่ยงฉีว่า “พี่เซวียไม่ได้เข้าเมืองเป็นประจำ หากท่านได้เจอนางจะต้องชอบนางแน่นอน”

เจี่ยงฉีทำปากยื่น “แต่ไม่ใช่ใครจะได้เป็นสหายสนิทกับข้าโดยง่ายหรอกนะ”

เหยาซูเข้าใจวิสัยทัศน์ที่ค่อนข้างสูงของนางดีจึงทำได้แค่ยิ้ม “พี่เซวียนั้นแตกต่าง ไม่แน่ว่าพี่เจี่ยงและพี่เซวียอาจจะได้ไปมาหาสู่กันก็ได้ ตรงกันข้ามอาจคิดว่าข้าไม่มีความหมาย”

เจี่ยงฉีได้ยินเหยาซูเอ่ยถึง ‘พี่เซวีย’ คนนี้นับครั้งไม่ถ้วน จนได้รู้ว่านางเดินสายการค้าเพียงลำพัง ช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก

ครั้นเห็นเหยาซูพยายามพูดข้อดีของอีกฝ่ายต่อหน้าตนเอง เจี่ยงฉีจึงยิ้มออกมา ส่วนปากก็ไม่ได้พูดอะไรที่ดูเป็นการปฏิเสธแต่อย่างใด “ถ้าวันหน้าได้เจอกันก็ค่อยว่ากัน”

เหยาซูกำลังจะถามถึงสุขภาพร่างกายของเถิงเอ๋อในช่วงสองวันนี้ สายตาพลันเห็นเด็กชายตัวน้อยเดินเข้ามาพอดี

สีหน้าของเขาดูแดงก่ำยิ่งกว่าก่อนหน้านั้นเสียอีก เขาเอ่ยถามผู้ใหญ่อย่างสุภาพว่า “ท่านแม่ ท่านอาซู เราออกไปเล่นข้างนอกได้หรือไม่ขอรับ? พี่รองบอกว่าวันนี้มีสัตว์ขนาดเล็กมาขายในเมืองด้วย”

ครั้นเห็นนัยน์ตาที่เปล่งประกายคู่นั้น เหยาซูก็ไม่มีทางปฏิเสธได้

กระทั่งได้ยินฮูหยินเจี่ยงพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เล่นในบ้านไม่ดีกว่าหรือ? วันนี้ข้างนอกลมแรง ถ้าเถิงเอ๋อตากลมจนปวดหัวขึ้นมา พรุ่งนี้จะมาเล่นไม่ได้อีกนะ”

เถิงเอ๋อไม่พูดสิ่งใด มือทั้งสองข้างขยำชายเสื้อ แต่กลับไม่ได้พยักหน้าตอบรับ

เสียงของเจี่ยงฉียังคงอ่อนโยน พยายามเอ่ยโน้มน้าวเขา “เถิงเอ๋ออยากดูสัตว์เล็กแบบไหนล่ะ? แม่จะให้พี่ลวี่ไปซื้อกลับมาจากตลาดดีหรือไม่?”

ความเปล่งประกายในแววตาของเด็กชายดับมอดลงทีละนิด จากนั้นก็ส่ายหน้า ก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า “ไม่ได้อยากดูอะไร ไม่ต้องยุ่งยากหรอกขอรับ”

ท่าทางเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าอยากออกไปใจจะขาด

เหยาซูมองไปทางเจี่ยงฉีแวบหนึ่ง กระทั่งเห็นความผิดหวังที่แสดงออกมาทางสีหน้าและแววตา จึงอดพูดเสียงเบาไม่ได้ว่า “อย่างนั้นเอาแบบนี้ เถิงเอ๋อก็ใส่เสื้อคลุมสิ ต้านลมไว้แบบนี้เป็นอย่างไร? ช่วงฤดูหนาวข้าก็เคยทำให้อาจื้อหนึ่งตัว เขาไม่ชอบความยุ่งยากก็เลยไม่เคยใส่”

พูดจบนางก็หยิบเสื้อคลุมตัวหนึ่งออกมาจากตู้เสื้อผ้า

สายตาของเถิงเอ๋อมองไปยังผู้เป็นแม่ตาปริบ ๆ โดยไม่พูดสิ่งใด แต่แสดงท่าทางอยากออกไปข้างนอกแทบขาดใจ

เขารู้ความตั้งแต่เด็ก เจี่ยงฉีไม่ค่อยเห็นเด็กชายแสดงออกเช่นนี้สักเท่าไร แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็คงไม่ถึงขั้นใจร้ายพูดปฏิเสธ

หญิงสาวจ้องมองบุตรชาย ลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “แม่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้เจ้าไป… ช่างเถอะ ๆ อาซู เสื้อคลุมตัวนั้นของเจ้ามีลักษณะแบบไหนกัน?”

เมื่อเจี่ยงเถิงเห็นผู้เป็นแม่อนุญาต ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มกว้างออกมา จากนั้นก็เดินรุดหน้าหลายก้าว ยื่นหน้าไปดูเสื้อคลุมที่เหยาซูพูดถึง

กระทั่งเห็นเหยาซูหยิบผ้าสีน้ำเงินตัวหนึ่งออกมา มันถูกพับเป็นรูปสี่เหลี่ยม เมื่อกางออกดู รูปร่างกลับดูประหลาดอย่างบอกไม่ถูก

เจี่ยงฉีหยิบมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น สำรวจตั้งแต่ด้านบนจรดล่างและพูดด้วยความสงสัย “แล้วมันต้องใส่อย่างไร?”

เหยาซูพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่เจี่ยงถือกลับด้านอยู่”

หลังจากที่เจี่ยงฉีพลิกกลับมาถูกด้าน ก็ได้เห็นลักษณะของเสื้อคลุมได้อย่างชัดเจน นางลองเทียบกับตัวของเถิงเอ๋อ ดวงตาก็เปล่งประกายโดยพลัน “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง!”

เสื้อคลุมตัวนี้เป็นฝีมือของเหยาซู เพราะรู้ว่าอาจื้อจะมีร่างกายค่อนข้างอุ่น จึงตั้งใจเลือกใช้ผ้าฝ้ายที่ไม่ถือว่าหนามากนัก แค่พอต้านลมให้เขาได้ ซึ่งฤดูกาลเช่นนี้เหมาะสมอย่างยิ่ง

หญิงสาวออกแบบมาให้ถอดและใส่ได้อย่างสะดวก อิงจากเสื้อกันฝนในสมัยปัจจุบัน ทำเชือกเส้นหนึ่งบริเวณหน้าอกเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน

หลังจากที่เจี่ยงฉีสวมใส่ให้เถิงเอ๋อแล้ว ก็ถอยหลังสองสามก้าวเพื่อมองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดชื่นชมว่า “อาซูช่างฉลาดยิ่งนัก เราขอยืมเสื้อคลุมตัวนี้ให้เถิงเอ๋อใส่สักสองสามวันได้หรือไม่? กลับไปข้าจะให้พี่ลวี่เรียนรู้วิธีการทำ จะได้ทำให้เถิงเอ๋อสักสองสามตัว”

เหยาซูพูดอย่างขุ่นมัว “พี่เจี่ยงดูเกรงใจข้าเกินไปแล้ว”

เด็กชายยืนอย่างว่าง่าย ปล่อยให้ผู้เป็นแม่ปรึกษากับเหยาซูไป ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ใส่เสื้อคลุมเรียบร้อยแล้ว เราออกไปข้างนอกได้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ ท่านแม่?”

เหยาซูเบิกบานใจยิ่งนัก จากนั้นก็พูดกับเถิงเอ๋อว่า “เหตุใดพวกเขาถึงไม่เข้ามาบอกว่าจะออกไปข้างนอก แต่กลับให้เจ้าเข้ามาถามแทนล่ะ? ให้ข้าเดานี่คงเป็นความคิดของเอ้อหลางสินะ? เขาเองก็อยากออกไปข้างนอกแทบขาดใจเหมือนกัน ก็เลยบอกว่าจะพาพวกเจ้าออกไปดูสัตว์เล็กที่นำมาขาย…”

เถิงเอ๋อยิ้มโดยไม่เอ่ยสิ่งใด

เหยาซูเคาะศีรษะของเถิงเอ๋ออย่างเบามือก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเด็กโง่”

เจี่ยงฉียังไม่วางใจจึงกำชับเถิงเอ๋ออีกว่า “ห้ามถอดเสื้อคลุมเป็นอันขาด แล้วก็อย่าไปในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ให้ติดตามพี่ชายและดูแลน้องสาวด้วย จำได้หรือไม่?”

เถิงเอ๋อพยักหน้าหงึกหงัก อดทนฟังผู้เป็นแม่จู้จี้จนจบแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านอาซู เช่นนั้นพวกเราไปก่อนนะขอรับ”

ทั้งสองคนพยักหน้า

เถิงเอ๋อเดินออกจากห้องไปอย่างเบิกบานใจ เหยาซูมองดูท่าทางของเขา ฝีเท้าล้วนย่างก้าวอย่างเบาที่สุด รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงลึกล้ำ

เหยาซูได้หยิบยกหัวข้อหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่คิดอะไร จากนั้นก็พูดคุยกับเจี่ยงฉี…

……..

เถิงเอ๋อเดินเข้ามาในลานบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เด็กคนอื่น ๆ จึงรู้ทันทีว่าสำเร็จแล้ว

เมื่ออาซือเห็นเขาใส่หมวกคลุมบนศีรษะ จึงเดินเข้าไปมองพิจารณารอบตัวเขา ก่อนจะพูดโพล่งขึ้นมาว่า “ข้าเองก็มีเสื้อคลุมแบบนี้เหมือนกัน เป็นเสื้อที่ท่านแม่ทำให้!”

เถิงเอ๋อตอบ “อื้อ” เบา ๆ จากนั้นก็มองไปทางอาจื้อ “ท่านอาซูบอกว่า นี่เป็นเสื้อคลุมที่พี่จื้อไม่ใส่…”

อาจื้อยังจดจำในสิ่งที่เหยาซูกำชับไว้ได้ ต้องดูแลเถิงเอ๋อให้ดีจึงพยักหน้า “ข้าไม่ใช้ เถิงเอ๋อใส่นั้นแหละดีแล้ว”

เถิงเอ๋ออ่อนไหวต่อความรู้สึก ครั้นเห็นอาจื้อไม่ใส่ใจจึงได้วางใจ

เหยาเอ้อหลางไม่ได้สนใจเรื่องเสื้อคลุมที่พวกเขาคุยกันสักเท่าไร เขาเดินออกจากบ้านอย่างกระตือรือร้น ทั้งยังเร่งเร้าพวกน้องชายและน้องสาวอีกด้วย “รีบไปกันเถอะ รีบไปกันเถอะ เมื่อวานตอนเจอเขา คนผู้นั้นก็แทบไม่มีอะไรเหลือแล้ว ขืนช้ากว่านี้ สัตว์ของเขาคงได้ถูกขายจนหมดเก็บเสื่อกลับบ้านไปแล้วแน่!”

อาซือเป็นคนที่เชื่อผู้อื่นง่ายที่สุด ครั้นได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจ “พี่รอง กระต่ายน้อยจะยังมีอีกหรือไม่? กระต่ายน้อยจะถูกขายหมดไหม?”

เหยาเอ้อหลางตอบอย่างจริงจัง “ไปช้ากว่านี้จะต้องหมดแน่! กระต่ายน้อยขายดิบขายดีที่สุด”

อาซือเริ่มเร้าตาม “เรารีบไปกันเถอะ”

อาจื้อและเถิงเอ๋อต่างเข้าใจเล่ห์เหลี่ยมของเหยาเอ้อหลาง คนแรกก็เคยชินจนคร้านจะสนใจ คนหลังก็กลัวจะขัดแย้งกัน ทั้งหมดจึงไม่พูดสิ่งใดทั้งนั้น

ตอนที่ออกจากบ้าน เถิงเอ๋อเห็นอาซือมีสีหน้าร้อนใจจึงพูดปลอบใจเด็กหญิงเบา ๆ “เอ้อเป่าอย่าร้อนใจไปเลย ตอนนี้ยังสว่างอยู่ เกรงว่าพอเราไปถึงถนนที่นั้น เขาก็อาจจะเพิ่งออกมาก็ได้”

อาซือพยักหน้า แต่ฝีเท้ากลับไม่ได้ช้าลงแต่อย่างใดกระทั่งจูงมือของเถิงเอ๋อไว้ “พี่เถิงต้องเดินกับข้า ประเดี๋ยวคนเยอะจะได้ไม่หลงกัน”

เด็กทั้งสี่คนเดินออกจากตรอกซอยด้วยความเบิกบานใจ ตรงไปหาพ่อค้าหาบเร่ขายสัตว์อย่างที่เหยาเอ้อหลางบอกไว้

เมื่อพวกเขามาถึงตลาด ค้นหาอยู่ครึ่งค่อนวันก็หาพ่อค้าขายสัตว์ผู้นั้นไม่เจอ อาซือจึงเกิดความผิดหวังขึ้นในใจ จนต้องเอ่ยถามเหยาเอ้อหลางซ้ำแล้วซ้ำเล่า “พี่รอง พี่จำตำแหน่งผิดหรือไม่?”

เหยาเอ้อหลางยกมือขึ้นมา “เมื่อวานเขาอยู่ตรงนี้ ข้าจำไม่ผิดแน่นอน”

“เช่นนั้นเขาก็ขายหมดตั้งแต่เมื่อวาน เลยกลับบ้านไปแล้ว?”

เหยาเอ้อหลางตอบ “อื้อ” คำเดียว “อาจจะเป็นไปได้”

เมื่อเห็นอาซือทั้งทอดถอนใจทั้งผิดหวัง เถิงเอ๋อก็เดินขึ้นหน้าสองก้าว และถามพ่อค้าหาบเร่ที่ขายรองเท้าฟางอยู่ถัดไป

“ท่านลุง ขอถามหน่อยขอรับ​ เมื่อวานที่ตรงนี้มีคนมาขายสัตว์บ้างหรือไม่?”

พ่อค้าขายรองเท้าฟางเป็นชายฉกรรจ์วัยกลางคน มักจะมาหาบเร่ตากแดดอยู่เสมอ ทำให้รอยย่นบนใบหน้ามีสีน้ำตาลคล้ำ ดูแข็งกร้าวมากทีเดียว

แต่เมื่อเข้าใกล้ผู้อื่นจึงได้มองเห็นว่าขากางเกงข้างซ้ายของเขาว่างเปล่า

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นดูใจดี พยักหน้าและตอบคำถามของเถิงเอ๋อ “มีอยู่คนหนึ่ง เมื่อวานก็ขายลูกสุนัขและกระต่ายไปได้หลายตัวเชียวล่ะ แต่ครึ่งบ่ายก็ต้องกลับ วันนี้ก็เลยไม่ได้มา”

อาซือเดินมาข้างกายของเถิงเอ๋อ ได้ยินประโยคนี้พอดีจึงอดอุทานอย่างผิดหวังไม่ได้

เถิงเอ๋อกล่าวขอบคุณชายฉกรรจ์ขายรองเท้าฟางผู้นั้น และหันไปพูดปลอบใจอาซือ “ไม่เป็นไร วันนี้ไม่เจอ ก็ยังมีวันหน้า เอ้อเป่าชอบกระต่ายใช่หรือไม่? ข้าจะให้พี่ลวี่ไปซื้อมาให้เจ้าสักตัว…”

เด็กสาวตัวน้อยส่ายหน้าและพูดปฏิเสธ “คราวต่อไปเรามาเดินเล่นในตลาดด้วยกันอีกนะ ข้าอยากเลือกกระต่ายน้อยที่น่ารัก ๆ หนึ่งตัว ถ้าถูกใจก็ค่อยซื้อ”

เหยาเอ้อหลางยืนฟังอยู่อีกด้านด้วยท่าทางอ้าปากตาค้าง จากนั้นก็หันไปบ่นอุบกับอาจื้อทันที “ได้ยินเอ้อเป่าพูดอะไรไหม? กระต่ายหนึ่งตัว ยังต้องให้ถูกใจอีกหรือ?!กระต่ายในโลกนี้มันก็หน้าตาเหมือนกันมิใช่หรือไร?”

เสียงบ่นของเขาค่อนข้างดังมาก อาซือก็เลยได้ยินประโยคนี้อย่างชัดเจน

เด็กหญิงตัวน้อยจึงพูดอย่างไม่พอใจ “หนังยางที่ท่านเล่น​ ท่านก็ยังบอกให้ใช้ที่ถนัดมืออะไรก็ไม่รู้ ข้าซื้อกระต่ายหนึ่งตัว เหตุใดถึงจะซื้อตัวที่ตัวเองชอบไม่ได้?”

เหยาเอ้อหลางพูดอย่างจริงจัง “หนังยางก็หนังยางสิ มันเป็นสิ่งที่ข้าใช้! ย่อมไม่เหมือนกัน!”

อาซือก็ไม่ยอมเช่นกัน “หนังยางของท่านใช้ได้ แล้วกระต่ายของข้ามันไม่ต้องเลือกดูหรือไร?”

……………………………………………

สารจากผู้แปล

โอ้ย หนุ่มๆ​ รุมแกงเอ้อเป่ากันหรือเปล่าคะเนี่ย​ สงสารน้อง​ วันนี้ไม่เจอวันหลังยังมีนะเอ้อเป่า

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท