บทที่ 265 ท้ายที่สุดก็คือพ่อสามีของลูก ได้แค่ช่วย
บทที่ 265 ท้ายที่สุดก็คือพ่อสามีของลูก ได้แค่ช่วย
หลังจากที่แม่โจวถูกหามตัวกลับไป แม่เฒ่าเหยาและสะใภ้ทั้งสองของตระกูลเหยาก็รีบทำความสะอาดห้องนอนทันที ครั้นจะพูดก็ได้แต่จนปัญญา
แม่เฒ่าเหยาทิ้งผ้าปูที่นอนเปื้อนเลือด พูดพลางนิ่วหน้า “ตั้งครรภ์ลูกแฝด หากเป็นครอบครัวอื่นคงเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก เหตุใดเมื่ออยู่ในครอบครัวของพวกเขา กับกลายเป็นความแค้นเสียอย่างนั้น?”
นิสัยของพี่สะใภ้รองเหยาเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ ยิ่งกว่าแม่สามีและพี่สะใภ้ เมื่อเห็นพวกนางสองคนพากันทอดถอนใจ จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ “พวกท่านยังมีกระจิตกระใจเห็นใจผู้อื่นอีกหรือ ข้าล่ะรู้สึกไม่ดีเลย! นึกถึงวันนั้นที่อาซูถูกพวกเขารังแกแล้ว คนแบบนี้ ช่างไม่มีความยุติธรรมเอาเสียเลย!”
พี่สะใภ้ใหญ่เหยาพูดด้วยรอยยิ้ม “อาเวย เจ้าเองก็ปากร้ายใจดี คนที่วิ่งกุลีกุจอมาหาแม่โจวคือเจ้าไม่ใช่หรือ? แล้วคนที่คอยให้กำลังใจก็คือเจ้าไม่ใช่หรืออย่างไร?”
สะใภ้รองเหยาฝืนพูดว่า “นั่นมันชีวิตคนนะ ข้าจะทนเห็นนางตายได้อย่างไร?”
แม่เฒ่าเหยายิ้ม เหยาซูที่อยู่ข้างกายก็หัวเราะออกมา
สิ่งของเปื้อนเลือดภายในบ้านล้วนถูกเก็บกวาดจนเกือบหมดสิ้น แม่เฒ่าเหยาเบิกตามองเหยาซู และพูดว่า “ความวุ่นวายในวันนี้ล้วนเป็นฝีมือของเจ้า พี่สะใภ้ทั้งสองคนต้องยุ่งตลอดเที่ยงวัน ไม่ได้กินข้าวแม้แต่คำเดียว ยังไม่คิดจะขอบคุณพวกนางอีกหรือ?”
ในใจของแม่เฒ่าเหยารักและเอ็นดูเหยาซูมาก แต่ก็ต้องตักน้ำใส่ถ้วยให้เท่ากัน [1] จนถึงตอนนี้นางยังใส่ใจต่อความคิดของลูกสะใภ้เสมอ ไม่อยากให้เหล่าลูกสะใภ้ต้องมีปมในใจ
เหยาซูรู้เจตนารมณ์ของแม่เฒ่าเหยา จึงยิ้มและพูดกับทั้งสองคนว่า “คนที่ทำให้พวกพี่สะใภ้พากันวิตกกังวลคืออาซูเอง ช่วงค่ำข้าจะทำอาหารอร่อย ๆ วางไว้บนโต๊ะ เป็นการขอบคุณพี่สะใภ้ทั้งสองคนเป็นอย่างไร?”
พี่สะใภ้ใหญ่เหยาและสะใภ้รองเหยาเอ็นดูน้องสามีผู้นี้มาก ครั้นได้ยินดังนั้นก็รีบพูดว่า “พูดอะไรอย่างนั้น! ทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ถึงอย่างไรก็ต้องทำเช่นนี้อยู่แล้ว!”
แม่เฒ่าเหยาที่อยู่ด้านข้างพูดว่า “ให้นางทำอาหาร! แม้จะบอกว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ถ้าควรขอบคุณก็ต้องขอบคุณ ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็เอาชนะความลำบากมาได้แล้ว นี่ต่างหากเล่า”
เหยาซูรู้สึกซาบซึ้งในใจ และทอดถอนใจกับความเฉลียวฉลาดในการจัดการเรื่องราวของแม่เฒ่าเหยา สองพี่น้องตระกูลเหยาไม่แก่งแย่งชิงดีมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ล้วนมีแต่ความสบายใจระหว่างพี่สะใภ้และน้องสะใภ้ อาศัยความเป็นกลางของแม่เฒ่าเหยาเป็นหลัก
ถ้าเป็นเหมือนกับแม่เฒ่าหลิน ที่เอาแต่รักและเอ็นดูลูกชายคนเล็ก ไม่สนใจความเป็นความตายของผู้อื่น สุดท้ายก็ต้องตกสู่จุดจบที่พังพินาศสินะ?
ครอบครัวของหลินเหราหลุดพ้นจากตระกูลหลินแล้ว นับแต่นี้ไปจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับพวกเขาอีก เจ้ารองสูญเสียลูกเพียงคนเดียวไปแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กสองคนนี้จะมีชีวิตรอดต่อไปได้หรือไม่ หลินหงทำให้พ่อและพี่น้องต้องถูกจับโดยไม่ต้องเอ่ยถึง แล้วยังจะหลบหนีเพราะการพนัน…
ครอบครัวที่เดิมทีดูไม่เล็กเลย บัดนี้ได้แยกออกจนกลายเป็นเช่นนี้ ถึงกระนั้นก็อดทอดถอนใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่เรื่องของตระกูลหลินจะเป็นอย่างไรนั้น ทำได้แค่เห็นมันเป็นเพียงฉากหนึ่งในชีวิตเท่านั้น
หลังจากที่แม่เฒ่าหวังและคนอื่นถูกพาตัวไป เหยาซูรีบไหว้วานคนไปส่งจดหมายให้แก่อาซือในเมือง บอกให้นางกลับบ้านไปพร้อมกับเจี่ยงฉีในช่วงค่ำ
เช่นนี้นางจึงจะสามารถอยู่ในบ้านตระกูลเหยา พูดคุยกับคนในบ้านได้ตลอดทั้งคืน
แม่เฒ่าเหยาค่อนข้างเป็นกังวล “ไม่อย่างนั้นเราไปรับเอ้อเป่ามาที่นี่ดีไหม นางเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ไปอยู่บ้านของผู้อื่น ดูไม่ค่อยดีนัก…”
เหยาซูพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ พี่เจี่ยงฉีท่านเองก็เคยเจอมาแล้ว คนที่เคยแต่งงานกับนายอำเภอเหยา แม้จะบอกว่ามีนิสัยใจร้อน แต่กลับไม่เคยทำเรื่องที่นอกกรอบแต่อย่างใด บัดนี้ข้าและนางเป็นพี่น้องกันแล้ว นางเองก็มักจะพาลูกชายมาไว้ที่บ้านข้าอยู่บ่อยครั้ง ให้เด็ก ๆ เล่นกันทั้งวี่ทั้งวัน”
แม่เฒ่าเหยาจึงได้พยักหน้า “เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าตัดสินใจ”
ในที่สุดพวกนางก็เริ่มพูดคุยกันต่อ เหยาซูจึงสบโอกาสถามว่า “ท่านพ่อและเอ้อหลางไม่อยู่บ้านหรือ?”
แม่เฒ่าเหยาอธิบายว่า “ในหมู่บ้านปรึกษากันว่าจะเคลื่อนย้ายสุสาน พ่อเจ้าจึงไปดูที่ทาง สุสานเดิมมักมีฝนตกบ่อย ลมพัดเข้ามาไม่ถึง ตอนนี้ก็เลยเชิญซินแสไปดูด้วยว่าเขาสูงด้านหลังจะมีสถานที่ดี ๆ บ้างหรือไม่”
พี่สะใภ้รองเหยาที่อยู่ข้างกายพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอ้อหลางเจ้าลิงจอมซนผู้นั้น ในบ้านมีแต่เขานี่แหละที่นั่งไม่เคยติดที่ ย่อมต้องออกไปกับพ่อของเขาแน่นอน”
การเคลื่อนย้ายสุสานถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ มิน่าล่ะในบ้านถึงได้วุ่นวายกันเพียงนี้ แม่เฒ่าเหยาเองก็ไม่สั่งให้ใครไปตามพ่อเฒ่าเหยากลับมา
เหยาซูยิ้มและพูดว่า “พวกเขาออกไปทั้งวันแล้ว ข้ากลัวว่ากลับบ้านดึกแล้วจะหิว ข้าไปเตรียมอาหารมื้อค่ำไว้สักหน่อยดีกว่า!”
แม้ปากของแม่เฒ่าเหยาจะบอกให้เหยาซูไปทำอาหาร แต่ในใจก็รู้ว่าสะใภ้ตระกูลเหยาทั้งสองคนไม่มีทางให้นางทำอาหารให้แก่ทั้งครอบครัวเพียงลำพังอย่างแน่นอน
พี่สะใภ้ใหญ่เหยาและพี่สะใภ้รองเหยาถือโอกาสนี้ตามเข้าไปในครัวอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ต่างฝ่ายต่างตัดสินใจว่าจะทำอะไรเป็นมื้อค่ำ
สุดท้ายก็ให้เหยาซูทำอาหารที่ดีที่สุดเพียงสองจานเท่านั้น
เหยาซูจนปัญญา ทำได้แค่ยอมรับเจตนารมณ์ของพี่สะใภ้ทั้งสอง เตรียมมื้อค่ำกับพวกนางออกมาในที่สุด
แสงยามสายัณห์สาดส่องไปทั่วทิศทาง
เมื่อพ่อเฒ่าเหยาพาเหยาเอ้อหลางกลับมา กลิ่นหอมของอาหารได้ลอยคละคลุ้งขึ้นมาตามปล่องควันไฟของแต่ละครัวเรือนจนส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
หลังจากที่สองปู่หลานกลับถึงบ้าน สายตาอันเฉียบคมของเหยาเอ้อหลางก็เห็นเหยาซูเป็นคนแรก “ท่านอา!”
เขาวิ่งปรี่มาตรงหน้า ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสกปรกเผยให้เห็นรอยยิ้มอันสดใส “ท่านอาเหตุใดท่านถึงได้กลับบ้านเล่าขอรับ! อาซือและซานเป่าก็อยู่ด้วยใช่ไหมขอรับ?”
ครั้นเหยาซูเห็นท่าทางเบิกบานใจและกระตือรือร้นของเหยาเอ้อหลาง ในใจของนางก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและความชื่นชอบ จึงยิ้มพลางโน้มตัวลงมองเขาและพูดว่า “อาพาซานเป่ากลับมาด้วย อาซือไปบ้านเถิงเอ๋อ ทำไม เอ้อหลางคิดถึงน้องหรือ?”
เหยาเอ้อหลางเกาศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา “ข้าเลี้ยงเต่าตัวหนึ่งไว้ในอ่าง เสียดายที่อาซือไม่กลับมาด้วย นางจะต้องชอบแน่นอน!”
เด็กหญิงชอบสัตว์ตัวเล็กที่สุด เวลาคนในบ้านจับหรือซื้ออะไรมา ก็มักจะนึกถึงนางเสมอ
เหยาซูพูดกับเหยาเอ้อหลางอย่างอ่อนโยนว่า “คราวต่อไปจะพานางกลับมาด้วย พวกเจ้าจะได้เล่นสนุกด้วยกันอีก”
ขณะที่เหยาซูกำลังพูดคุยกับเอ้อหลางฝั่งนี้ แม่เฒ่าเหยาได้ถือโอกาสตอนที่พ่อเฒ่าเหยาเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง เล่าเรื่องที่แม่เฒ่าหวังพาพวกมาหาเรื่อง และเรื่องที่เหยาซูกลับมาจัดการอย่างไรให้พ่อเฒ่าเหยาฟังหนึ่งรอบ
พ่อเฒ่าเหยาขมวดคิ้วและพูดว่า “คราวต่อไปถ้ามีเรื่องแบบนี้อีก ให้พวกชาวบ้านขัดขวางไว้ อย่าให้พวกนางเข้ามาในบ้านเด็ดขาด! ช่างเป็นหญิงปากร้ายเสียจริง ๆ ยังอุตส่าห์มาเรียกเงินถึงบ้านผู้อื่น”
แม่เฒ่าเหยาพูดอย่างขุ่นเคือง “ความไร้ยางอายของครอบครัวนั้น ท่านก็ใช่ว่าจะไม่รู้…ตอนนี้หลินหงติดหนี้พนัน พ่อและพี่ชายของเขาล้วนถูกจับหมดแล้ว เขากลับหายหัวไม่เห็นแม้แต่เงา ตอนนี้ตระกูลหลินก็เหมือนกับแมลงวันไร้หัว วิ่งแจ้นไปทั่วทุกที่พยายามหาทางรอด”
พ่อเฒ่าเหยาเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า “วิธีการของอาซูนั้นถือว่าเฉลียวฉลาดมาก ทั้งยังคิดจะหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาในภายภาคหน้า แต่คนเราถ้าหมดหนทางแล้วจริง ๆ คงจะอารมณ์ร้ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
แม่เฒ่าเหยาพูดอย่างเป็นกังวล “ความหมายของท่านคือ พวกเขายังกล้ามาที่นี่อีกหรือ?”
พ่อเฒ่าเหยามีสถานะเป็นถึงผู้ใหญ่บ้าน มีความรู้รอบตัว เขาจะไม่เคยเจอคนแบบไหนบ้างเล่า?
เขาส่ายหน้า และพูดกับแม่เฒ่าเหยาว่า “เรื่องของตระกูลหลินเจ้าไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้กับอาซูอีก สองสามวันนี้ข้าจะคิดหาทาง ไปพาตัวพ่อสามีของลูกและเจ้ารองตระกูลหลินออกมา…”
แม่เฒ่าเหยาโกรธจนตบพ่อเฒ่าเหยาด้วยฝ่ามือหนึ่งครั้ง “ท่านยังเรียกกากเดนตายยากผู้นั้นว่าพ่อสามีของลูกอีกหรือ? ครอบครัวพวกเขาทำร้ายเหยาซูของเรา ยังทำร้ายกันไม่พออีกหรือ?! แบบนี้ท่านยังจะไปให้อีกฝ่ายหลอกลวงทำไม?”
พ่อเฒ่าเหยาจนปัญญา จึงพยายามหลบเลี่ยงพลางพูดว่า “เอาละ ๆ ไม่ใช่พ่อสามีลูกของเรา ไม่ใช่แล้วยังไม่พอใจอีกหรือ! ข้าไม่ได้ตั้งใจจะใช้หนี้แทนพวกเขา!แค่ขังชายสองคนนั้นไว้ในบ้าน แม่เฒ่าหวังเองก็คงจะไม่คิดอะไร นอกจากคิดหาทางมาหาเรื่องเราที่บ้าน?”
แม่เฒ่าเหยาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และถามว่า “ท่านตั้งใจจะทำอย่างไร?”
พ่อเหยาพูดปลอบโยนว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไปขอเจรจาก่อน ให้ปล่อยผู้ชายตระกูลหลินออกมา ถึงตอนนั้นก็ให้พวกเขาหาทางใช้หนี้เอง”
แม่เฒ่าเหยาขมวดคิ้ว พลางเอ่ยเตือน “ท่านอย่าให้พวกเขารู้เชียวนะว่าเราช่วย”
พ่อเฒ่าเหยาเข้าใจความกังวลของแม่เฒ่าเหยา จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ครอบครัวเราแน่นอน เวลาข้าทำสิ่งใด เจ้ายังไม่รู้หรือ?”
ครั้นเห็นเขาพูดเช่นนี้ ในที่สุดแม่เฒ่าเหยาจึงวางใจลง
เฮ้อ คงมีแค่วิธีนี้กระมัง ถึงอย่างไรก็เป็นพ่อสามีของลูก ไม่ใช่คนนอก…
เมื่อพ่อเฒ่าเหยาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว แม่เฒ่าเหยาจึงเร่งเขาออกไปกินข้าว พลางพูดอีกว่า “ตอนนี้ลูกเขยและอาเฉาต่างได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางแล้ว ข้าเห็นอาซูมักจะตามไปเมืองหลวงอยู่บ่อยครั้ง เรารีบถือโอกาสตอนที่นางยังอยู่ พูดคุยกับลูกสาวมาก ๆ เสียหน่อย…”
เมื่อพ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาเดินมาถึงห้องโถงกลางด้านหน้า อาหารก็พร้อมแล้ว ทุกคนจึงนั่งลงอย่างพร้อมเพรียง
เหยาเอ้อหลางล้างหน้าและมือให้สะอาด ก่อนจะนั่งลงหน้าโต๊ะอย่างว่าง่าย จ้องมองตาปริบ ๆ
แม่เฒ่าเหยาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไอหยา ทำไมวันนี้เอ้อหลางถึงได้เข้าใจกฎระเบียบนักนะ?”
เหยาเอ้อหลางหัวเราะและถามกลับ “ท่านย่า ข้าไม่เข้าใจกฎระเบียบตั้งแต่เมื่อใดขอรับ?”
พี่สะใภ้รองเหยาใช่ว่าไม่เคยเห็นความซุกซนของเจ้าลูกชาย จึงตบหลังศีรษะกลม ๆ ของเขาอย่างเบามือ และพูดว่า “เจ้าพูดมากไปแล้ว ทำไมถึงได้พูดกับท่านย่าเช่นนั้น?”
พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาล้วนชอบความกระตือรือร้นของหลานชายคนรองมาก ปกติจะพูดคุยกับเขามากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อยู่ในบ้านก็โผงผางไม่แพ้กัน
กลับเป็นพี่สะใภ้รองเหยาที่เป็นทั้งพ่อและแม่ มักจะคอยควบคุมเอ้อหลางอยู่เสมอ ไม่ให้เขานอกลู่นอกทางมากเกินไป
อาวุโสทั้งสองคนชอบสะใภ้รองผู้นี้อย่างมาก และทั้งเจ็บใจในเวลาเดียวกัน
ถ้าจะให้เหยาเฉาดูแล คาดว่าเหยาเอ้อหลางคงจะคุมยากมากกว่าตอนนี้
เหยาเอ้อหลางนั่งอยู่บนเก้าอี้ ขาคู่น้อย ๆ แกว่งไปแกว่งมาอยู่ในอากาศ พลางพูดกับพ่อเหยาและแม่เฒ่าเหยาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ง่ายเลยที่ท่านอาจะกลับบ้าน ข้าย่อมตื่นเต้นมากเป็นธรรมดาขอรับ! ท่านปู่ ท่านย่า รีบกินข้าวเถอะ ท้องฟ้ามืดแล้ว!”
พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยานั่งยิ้มอยู่ข้างโต๊ะ
เพราะช่วงเที่ยงทุกคนเอาแต่วุ่นวายเรื่องของแม่เฒ่าหลิน จึงไม่ได้กินข้าว มื้อค่ำเหยาซูและสะใภ้ทั้งสองจึงทำอาหารมากขึ้นสักหน่อย
ทุกคนพากันนั่งล้อมโต๊ะ กินไปคุยไป ช่างดูรักใคร่ปรองดองทีเดียว
เหยาซูถามสถานการณ์ในช่วงนี้ของที่บ้าน และถามอีกว่า “พวกพี่ใหญ่ก็จากไปนานแล้ว มีจดหมายส่งกลับมาบ้างหรือไม่?”
สะใภ้ใหญ่เหยาพยักหน้าและพูดว่า “มีจดหมายเขียนถึงที่บ้านหลายฉบับ พวกเขาถึงทางตอนใต้นานแล้ว และเลือกผ้าที่ต้องนำเข้าสำหรับปีนี้ได้แล้ว อีกสองสามวันถึงจะกลับ”
เหยาซูได้ยินดังนั้น จึงยิ้มและพูดว่า “เช่นนี้ก็ดี ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง ข้ามีเรื่องจะบอกกับพวกท่าน”
แม่เฒ่าเหยาได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในใจ จากนั้นก็กระทุ้งแขนของพ่อเฒ่าเหยา เหมือนทั้งสองคนจะรู้อยู่ในใจแล้ว แต่ใบหน้าไม่แสดงออก จากนั้นก็ปรายตาขึ้น รอบทสนทนาต่อไปของเหยาซู…
…………………………………………………………………………………………………………………….
[1] ต้องตักน้ำใส่ถ้วยให้เท่ากัน คือ การรักทุกคน ๆ ให้เท่ากัน
สารจากผู้แปล
แน่ใจแล้วใช่ไหมคะว่าถ้าปล่อยตัวพ่อเฒ่าหลินกับเจ้ารองแล้วจะไม่เกิดเรื่องอะไร รู้สึกไม่มั่นใจเลยค่ะ
อาซูกำลังจะบอกว่าขอย้ายบ้านไปเมืองหลวงสินะ
ไหหม่า(海馬)