ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 276 วางแผนหนึ่งเงียบ ๆ ในใจ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 276 วางแผนหนึ่งเงียบ ๆ ในใจ

บทที่ 276 วางแผนหนึ่งเงียบ ๆ ในใจ

เหยาซูกำลังจะเอ่ยปากพูด ก็มีเสียงกระโดดโลดเต้นของอาซือดังมาจากนอกประตูเสียก่อน พลางตะโกนว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่! ท่านลุงกลับมาแล้ว! ท่านแม่ ท่านลุงกลับมาแล้ว!”

พี่รอง?

สายตาของเหยาซูฉายแววดีใจ เมื่อครู่มัวแต่ทะเลาะ จึงเผลอลืมไปว่ายังไม่ได้เจอกับพี่รองเลย…

พี่รองไปไหน?

เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็ก ๆ เหยาซูก็ไม่อยากทะเลาะกับหลินเหรา จึงทำได้แค่กลืนคำพูดที่อยากพูดกับเขาลงไป

นางหันกลับไปถามอาซือว่า “ลุงให้เจ้ามาเรียกพ่อกับแม่งั้นหรือ?”

ใบหน้าของเด็กสาวแต้มไปด้วยรอยยิ้มอันไร้เดียงสา ไม่ได้สังเกตเห็นความขุ่นเคืองใจของผู้ใหญ่แต่อย่างใด “เจ้าค่ะ! ท่านลุงบอกว่าวันนี้เขาไปดูบ้านสองหลังมา เห็นว่าเหมาะแก่การอยู่ด้วยกันพอดี เลยอยากให้ท่านพ่อไปดูด้วยกัน!”

ขณะพูด อาซือยังหัวเราะออกมาอีกด้วย “ท่านแม่! ท่านลุงไม่คิดว่าเรามาถึงแล้ว เลยตกใจใหญ่ ท่านแม่ เรารีบไปกันเถอะ!”

ไม่ได้เจอกับเหยาเฉามาหลายวัน เหยาซูถวิลหาพี่รองมากทีเดียว บัดนี้นางไม่สนใจหลินเหราอีกต่อไป นางหันไปพูดกับอาซืออย่างอ่อนโยนว่า “เยี่ยม เราไปกันเถอะ”

นางจูงมือของอาซือ และเดินออกจากบ้านไป

หลินเหราเดินตามหลังสองแม่ลูกไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่พูดสิ่งใดอีก

เมื่อถึงลานเล็ก ก็เจอกับเหยาเฉาที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวกำลังอุ้มซานเป่าอยู่จริง ๆ กำลังพูดคุยบางอย่างกับอาจื้อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

คนรับใช้ในลานบ้านต่างสลายตัวแยกย้ายไปจนหมด เหลือเพียงครอบครัวพวกเขา

รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาอบอุ่นมาก ร่างสูงเด่นเป็นสง่า ภาพที่กำลังอุ้มเด็กทารกอยู่ในอ้อมแขน ให้ความรู้สึกถึงความเป็นสุภาพบุรุษมากทีเดียว

เหยาซูขานเรียกออกไป “พี่รอง!”

เหยาเฉาหันกลับไป ดวงตาเรียวดุจลูกท้อได้เจือรอยยิ้มอันสดใสเหมือนกับเหยาซู “เก่งจริง ๆ นะ พาเด็ก ๆ มาถึงเมืองหลวงได้ด้วยตัวคนเดียว เหตุใดถึงไม่บอกอาเหราหรือข้าสักคำ? เราจะได้ไปรับเจ้า”

เหยาซูยกชายกระโปรงขึ้น จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินไปข้างกายของเหยาเฉา และหยุดยืนอยู่ข้างกายเขา

ใบหน้าดุจหยกขาวของนางเผยรอยยิ้มออกมา พลางพูดออดอ้อน “ก็ตั้งใจทำให้พวกท่านประหลาดใจอย่างไรเล่า!”

นิ้วมือเรียวยาวละเอียดของหยาเฉายื่นออกไปดีดหน้าผากที่เนียนใสของเหยาซูทันที

เขาหยอกเย้าด้วยเสียงอ่อนโยน “โตขนาดนี้แล้ว ยังอ้อนพี่อีก? หื้อ?”

เหยาซูหัวเราะออกมาอีกครั้ง

หลินเหราจูงมือของอาซือที่กำลังกระโดดโลดเต้นมาถึงตรงหน้าพอดี

เขามองเข้าไปในดวงตาของนางที่สุกใสยิ่งกว่าท้องฟ้าที่ใสสกาว ไม่ได้มืดมนเหมือนที่เผชิญหน้ากับเขาเมื่อครู่ จิตใจจึงอดสับสนไม่ได้

กระทั่งได้ยินอาซือพูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “ท่านแม่ก็เป็นเด็กผู้หญิง แค่โตแล้วเท่านั้น เหตุใดจะอ้อนไม่ได้ละเจ้าคะ?”

เหยาเฉาเลิกคิ้วสูง มองอาซือ “จากที่เอ้อเป่าพูด มีแค่อาจื้อและซานเป่าเท่านั้นที่อ้อนไม่ได้อย่างนั้นสิ?”

อาซือนึกถึงท่านพี่ที่มักจะก่อกวนด้วยการขานเรียก ‘ท่านแม่ ท่านแม่’ ยามเผชิญหน้ากับเหยาซูอยู่บ่อยครั้ง จึงอดโต้แย้งไม่ได้ “ท่านพี่ไม่ใช่เด็กผู้หญิงก็จริง แต่ยังเป็นเด็ก ก็ถือว่าอ้อนได้เจ้าค่ะ”

เหยาซูหลุดหัวเราะออกมาทันใด เหยาเฉาเองก็หัวเราะจนเกือบหงายหลังเช่นกัน กลับเป็นอาจื้อที่รู้สึกไม่ดี ใบหน้าหน้าค่อย ๆ ขึ้นสีแดงก่ำ

เขาพูดเสียงเล็ก “เอ้อเป่าหยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว พี่ไม่ได้อ้อนเสียหน่อย”

เด็กชายพูด พลางหันกลับไปเน้นย้ำเหยาเฉาอีกรอบ “ท่านลุง ข้าโตแล้ว!”

ใบหน้างดงามของเหยาเฉาคลี่ยิ้มไม่มีทีท่าว่าจะหุบ จากนั้นก็พยักหน้าตอบรับเขา “ก็ได้ ๆ อาจื้อโตแล้ว เป็นเสาหลักของครอบครัว แก้ไขปัญหาได้ดีว่าพี่รองของเจ้า”

หลินเหราเห็นท่าทางสนิทสนมของเหยาเฉาและเด็ก ๆ ทั้งยังมีความไว้เนื้อเชื่อใจที่แสดงออกต่อหน้าเขาอย่างไม่ปิดบังของเหยาซู ความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกก็ได้ถาโถมเข้ามาในใจ

เขาเป็นสามีของเหยาซู เป็นพ่อของลูก แต่พวกเขากลับไม่เคยสนิทสนมเช่นนี้กับเขามาก่อน…

หรือเป็นเพราะเขาทำได้ไม่ดีพอ?

แต่เขาจะทำอย่างไรละ?

เหยาซูเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในครอบครัวช่วงสองสามวันที่ผ่านมาให้เหยาเฉาฟัง ประกอบกับความคิดของพี่สะใภ้รอง จึงเอ่ยโน้มน้าวเขา “พี่รองก็ควรปรึกษากับพี่สะใภ้รองนะเจ้าคะ ท่านพ่อและท่านแม่ที่อยู่ในบ้านมีพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ดูแลแล้ว อีกอย่างท่านพ่อและและท่านแม่ก็สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไฉนจะต้องให้พี่สะใภ้รองเฝ้าอยู่ไม่ห่างด้วย? ถ้านางและเอ้อหลางได้อยู่ด้วยกัน ย่อมเป็นผลดีต่อพี่รอง พี่สะใภ้รองและเด็ก”

ความคิดของนางนั้นตรงประเด็นและคิดพิจารณาเพื่อทุกคนแล้ว เหยาเฉาได้ยินดังนั้น จึงอดพูดสีหน้าจริงจังไม่ได้ “อาซู เจ้าพูดถูก เพียงแต่…พี่รองเองก็หมดหนทางเช่นกัน”

แม้แต่เหยาเฉาผู้มีบุคลิกสบาย ๆ เช่นนี้ ก็ยังมีปากเสียงกับเซี่ยงเวยเป็นครั้งคราว

เขารู้ว่าสองสามีภรรยานั้นมีเวลาอยู่ด้วยกันสั้นมาก เขาจึงกำลังคิดว่าถ้ามีโอกาสก็จะพานางและลูกมาอยู่เมืองหลวง

แต่พ่อแม่ก็อายุไม่น้อยแล้ว ข้างกายจะขาดคนดูแลได้อย่างไร?

ยากนักที่จะสมบูรณ์พร้อมทั้งความกตัญญู และชีวิตของสามีภรรยา…

ครั้นนึกถึงภรรยาที่คอยดูแลอาวุโสทั้งสองท่านแทนเขาอยู่ที่บ้านโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ เหยาเฉาก็ซาบซึ้งอยู่ในใจพลางทอดถอนใจ “สองปีนี้อาเวยช่วยข้าไว้มาก…ถ้าไม่ใช่เพราะมีนางอยู่บ้าน เกรงว่าข้าคงไม่สามารถมาทำเรื่องของตัวเองได้อย่างวางใจ”

เหยาซูพยักหน้าและพูดอย่างอ่อนโยน “วันนี้พี่รองมาเมืองหลวงแล้ว ยิ่งต้องจากพี่สะใภ้รองนานขึ้น ต้องคิดถึงความรู้สึกของพี่สะใภ้รองให้มากนะเจ้าคะ”

เหยาเฉาเองก็คิดเช่นนี้ จึงกล่าวขอบคุณเหยาซูด้วยเสียงแผ่วเบา “อาซู ขอบใจเจ้าที่คิดแทนนาง”

เหยาซูคลี่ยิ้ม

ในบรรดาเด็ก ๆ ของตระกูลเหยา นางและเหยาเฉาเหมือนกันที่สุดแล้ว ยามที่ยืนด้วยกันไม่ว่าใครก็บอกว่านี่คือพี่น้องแท้ ๆ

ครั้นเห็นเหยาเฉาขอบคุณตัวเอง เหยาซูก็อดหยอกเย้าไม่ได้ “ถึงตาพี่รองขอบคุณข้าตอนไหนไม่ทราบ? จะรีบแยกตัวจากน้องสาวแล้วหรือ?”

วันนั้นหลังจากที่นางคลอดซานเป่าออกมาได้ไม่กี่วัน นางก็พาเด็ก ๆ ออกจากบ้านตระกูลหลินตรงกลับบ้านตระกูลเหยา เหยาเฉาได้ยินดังนั้นก็รีบออกจากในตัวเมืองตรงกลับบ้านทันที

ตอนนั้นนางไม่มีใครให้พึ่งพิง โลกที่แสนแปลกตาใบนี้ คนในตระกูลเหยามักจะปกป้องนาง ปลอบใจนางอย่างอดทนมาตลอด

หากมีใครมารังแกลับหลัง ขอแค่เหยาเฉาได้ยิน เขาจะออกหน้าแทนนางเป็นคนแรก

นางจึงเห็นตระกูลเหยาเป็นครอบครัวของตัวเอง เห็นเหยาเฉาเป็นพี่ชายแท้ ๆ ดังนั้นเรื่องของสะใภ้รองจะไม่ให้นางกังวลได้อย่างไร?

เหยาเฉาเปลี่ยนแขนอุ้มซานเป่าไปอีกด้าน ใช้มือซ้ายยีผมของเหยาซู จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเด็กน้อย! ยิ่งอยู่ฝีปากยิ่งจัดขึ้น พี่ขอบคุณเจ้าแทนสะใภ้รองจะเป็นไรไป?”

เหยาซูเม้มปากอมยิ้มโดยไม่ปริปากพูด

เมื่อเล่าทุกอย่างเกือบหมดแล้ว เหยาเฉาจึงหันไปมองหลินเหราและถามว่า “อาเหราวันนี้เจ้าก็ไปดูบ้านด้วยไม่ใช่หรือ? เป็นยังไงบ้างล่ะ?”

หลินเหรามองเหยาซูแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้า “ไม่เหมาะสม”

เหยาเฉารู้ทันจึงเหลือบมองสีหน้าของน้องสาว หากนับเวลาแล้ว ก็พอเดาถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องได้

เขาขบขันอยู่ในใจ เกรงว่าเจ้าสองคนนี้จะต้องทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้แน่นอน

เพียงแต่นิสัยของอาซู น่าจะปล่อยให้เป็นอดีตไปแล้วกระมัง?

เรื่องของพวกเขาสองคน เหยาเฉาไม่ขอแทรกแซง ทำได้แค่เปลี่ยนมาเป็นหัวข้อเมื่อครู่ “บ้านสองหลังที่ข้าไปดูวันนี้ไม่เลวเลย มีเวลากันพอดี สู้ไปดูด้วยกันดีไหม?”

หลินเหราไม่แสดงความคิดเห็น แต่กลับเป็นเหยาซูที่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ และไม่มีความสุข

ตอนนี้นางไม่อยากพูดกับหลินเหรา กระทั่งหน้าก็ไม่อยากจะมอง!

“พี่รอง ข้าพาเอ้อเป่าและซานเป่าเดินทางมาถึงที่นี่ รู้สึกเหนื่อยแเล้ว พวกท่านไปกันเถอะ”

เดิมทีเด็ก ๆ นั้นอยากไปเล่นสนุกเช่นกัน แต่เมื่อได้ยินเหยาซูบ่นเหนื่อย จึงหยุดลงทันที

อาซือจูงมือของเหยาซู จากนั้นก็แกว่งไปมาเบา ๆ “วันนี้ท่านแม่ลำบากมากแล้ว พักผ่อนสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ!”

เหยาเฉาเองก็ไม่บังคับ คืนซานเป่าไปในอ้อมกอดของเหยาซู พลางพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าและอาเหราไปดูกันเองก็แล้วกัน ถ้าเขาคิดว่าเหมาะสม พรุ่งนี้ค่อยพาเจ้าไปดู ดีหรือไม่?”

เหยาซูพยักหน้า

ก่อนออกเดินทาง หลินเหรายังยืนสบสายตากับเหยาซูอีกครู่หนึ่ง

นัยน์ตาสีดำทมิฬราวกับหมึกดำของชายหนุ่มได้ซ่อนคำพูดที่อยากจะพูดกับนางไว้มากมาย แต่กลับไม่ได้พูดออกมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้

สุดท้ายก็ทำได้แค่ใช้เสียงต่ำ กระซิบข้างหูของนางประโยคหนึ่ง “อาซู เจ้าพักผ่อนเถอะ รอข้ากลับมาก่อน”

เหยาซูไม่ออกความเห็น ได้แต่ยืนส่งทั้งสองคนจากไป

อาจื้อรู้ทันกว่าอาซือ เขาเห็นบรรยากาศรอบตัวของบิดาและมารดาไม่ชอบมาพากลมาสักพัก รู้ว่าทั้งสองคนจะต้องทะเลาะกันแน่นอน

มารดาของตนเป็นคนใจกว้าง หากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่มีทางทะเลาะกับบิดาง่าย ๆ

เขาไม่รู้สถานการณ์แน่ชัด แต่กลับรู้สึกว่าผู้เป็นพ่อนั้นต้องทำเรื่องไม่ดีบางอย่าง เลยทำให้แม่โกรธแน่นอน

เด็กผู้ชายหยอกเย้าน้องชายที่อยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ พลางพูดให้กำลังใจ “ซานเป่าลงมาสิ เดินให้ท่านแม่ดูหน่อยสิ!”

เมื่อเอ่ยถึงลูก ความสนใจของเหยาซูก็ถูกเปลี่ยนทิศทางอย่างที่คิดไว้

นางยกตัวของซานเป่าขึ้นสูง จากนั้นก็มองเข้าไปในดวงตาที่งดงามดุจอัญมณีสีดำของเขา และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ซานเป่าเก่งขนาดนี้เชียวหรือ? เดินได้แล้วใช่หรือไม่? ไหนเดินให้แม่ดูหน่อยสิ?”

เด็กทารกพอจะเข้าใจคำพูดของผู้ใหญ่ได้เลือนราง มากกว่านี้คือการสัมผัสได้ถึงความรู้สึกยินดีของคนรอบตัว เขาส่งเสียงอ้อแอ้และเริ่มดิ้นไปมาไม่หยุด

อาซือยืนขึ้น จากนั้นก็เก็บม้านั่งและก้อนหินที่อาจจะทำให้น้องชายบาดเจ็บออกจากลานบ้าน แล้วรอคอยซานเป่าเดินอย่างคาดหวัง

เหยาซูวางซานเป่าลงบนพื้น

เด็กทารกเริ่มนั่งก่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ ออกแรงขาทั้งสองข้างของตัวเองพยุงตนเองให้ยืนขึ้น

อาจื้อไม่ได้เจอน้องชายมาหลายวันแล้ว แม้ว่าตอนนี้จะได้มองนานขึ้น แต่ก็ยังไม่รู้สึกเบื่อ ทั้งยังพูดอย่างเบิกบานใจว่า “ท่านแม่ ตอนข้าอยู่บ้านก่อนหน้านั้น ซานเป่ายังยืนงุ่มง่ามอยู่เลย!”

เหยาซูยิ้มโดยไม่พูดอะไร

แม่ลูกสามต่างพากันกลั้นหายใจ รอการเคลื่อนไหวต่อไปของซานเป่าอย่างใจจดใจจ่อ

กระทั่งเห็นซานเป่ามองมาทางผู้เป็นแม่ แล้วค่อยมองไปทางพี่สาว จากนั้นก็ยื่นแขนไปทางอาซือ

อาซือพูดอยู่ไกล ๆ “ซานเป่ามานี่เร็ว! มาหาพี่ตรงนี้”

ใบหน้าของเด็กทารกเปื้อนรอยยิ้ม จนเผยให้เห็นฟันสีขาวเท่าเมล็ดข้าวอย่างชัดเจน น้ำลายใสมุมปากได้ไหลหยาดเยิ้มลงมาเป็นด้ายสีเงินอย่างช้า ๆ จากนั้นก็ก้าวขาขวาออกไปอย่างไม่ลังเล

แต่แล้วก็ ‘พลั่ก’ ทรุดตัวลงนั่งบนพื้น

โชคดีที่เด็กทารกใส่เสื้อผ้าที่ค่อนข้างหนา จึงไม่รู้สึกเจ็บ เหยาซูเห็นดังนั้นจึงหัวเราะออกมา

“เดินช้า ๆ สิซานเป่า ค่อย ๆ เดินมาหาพี่ของเจ้าตรงนี้” นางพูดให้กำลังใจ

ไม่รู้ว่าซานเป่าจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ เขาลุกขึ้นอีกครั้ง และก้าวเท้าเดินอย่างเป็นธรรมชาติตรงไปข้างหน้า

ท่าทางงุ่มง่ามของเด็กทารกช่างน่ารักยิ่งนัก ขาซ้ายก้าว ขาขวาก้าว แม้ว่าจะสั่นไปทั้งตัว แต่กลับเดินออกไปในระยะทางที่ไม่ใกล้เลย ยิ่งเดินก็ยิ่งเร็วมากขึ้น

“ซานเป่าช้าลงหน่อย!” อาซือร้องเรียกอยู่ด้านข้างด้วยความจนปัญญา

ซานเป่าเดินโซซัดโซเซไปมาเหมือนกับคนเมา ทว่ากลับไม่ล้มลง ใบหน้ายิ้มแย้มไม่หยุด ทั้งยังเดินเร็วขึ้น

เหยาซูมองเด็ก ๆ ที่หัวเราะอย่างสนุกสนาน ท่าทางไร้กังวลนั้น จู่ ๆ นางนึกถึงรายละเอียดของพวกเขาที่ในนิยายต้นฉบับ

พวกเขาล้วนมีท่าทางน่ารักไร้เดียงสาเช่นนี้เสมอ ในนิยายเขียนไว้ว่าเขาจะโตมาเป็นวายร้ายที่ก่อกรรมทำชั่ว ดื้อรั้นและมืดมนยากหยั่งถึง

ความเจ็บปวดในใจของเหยาซู ทำให้มือของนางกำหมัดอย่างอดไม่ได้

ในหนังสือ ตู้เหิงเป็นมารดาในนามของพวกเขา การเติบโตของเด็ก ๆ ย่อมเป็นความรับผิดชอบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่นางกลับเฝ้าสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ ปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับผู้เป็นพ่อแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างมากขึ้น ปล่อยให้พวกเขาตกอยู่บนเส้นทางแห่งความเข้าใจผิดไกลกันขึ้นเรื่อย ๆ

ในโลกนี้ นางไม่มีทางให้ตู้เหิงมีโอกาสสัมผัสกับลูกของนางเด็ดขาด

ไม่มีวัน!

สำหรับหลินเหรา ถ้าเขายังคลุมเครือกับตู้เหิง และไม่ชัดเจนแบบนี้…

เหยาซูขมวดคิ้ว ทอดถอนใจ คิดแผนการหนึ่งอยู่เงียบ ๆ ในใจ …

……………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ไม่รู้ว่าท่อนไม้ผู้นี้จะรู้ตัวถึงความผิดของตนเองแล้วหรือยัง ขอให้รู้ตัวเร็ว ๆ นะคะ ก่อนที่จะเสียใครไป

แผนอะไรคะอาซู ถ้าเป็นแผนสกัดดาวรุ่งนังตู้ ผู้แปลขออาสาร่วมมือได้ไหมคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท