บทที่ 303 คุณหนูเจ้าอาลักษณ์ผู้นี้ช่างเหี้ยมโหดยิ่งนัก
บทที่ 303 คุณหนูเจ้าอาลักษณ์ผู้นี้ช่างเหี้ยมโหดยิ่งนัก
ยามอู่ล่วงผ่านพ้น
บรรยากาศในฤดูวสันต์ชวนให้รู้สึกเกียจคร้านได้แผ่ปกคลุมไปทั่วท้องถนนของเมืองหลวง
หลินเหรากลับมาถึงจวนท่านแม่ทัพ และส่งม้าให้กับเด็กในจวนได้ไม่นาน ก็เห็นเจียงอู๋เดินเข้ามาต้อนรับแล้ว
เจียงอู๋เดินมาตรงหน้าของหลินเหรา แล้วเอ่ยกับเขาเสียงเบา ๆ ว่า “อาเหรา คนผู้นั้นสารภาพแล้ว”
นัยน์ตาของหลินเหราแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที จากนั้นก็ตามเจียงอู๋เข้าไปในจวน
เจียงอู๋ถือโอกาสนี้กระซิบข้างหูหลินเหราด้วยเสียงอันแผ่วเบาอย่างรวบรัดตัดตอน “ตอนจับมาขังช่วงแรกยังหัวแข็งมาก หยิบยกเจ้านายของตัวเองมาข่มเรา ต่อมาเมื่อรู้ว่าเรื่องที่เขาฆ่าคนถูกคนอื่นเห็นเข้า จึงปิดปากเงียบไม่พูดสิ่งใด วันนี้อาจเป็นเพราะทนไม่ไหว และไม่เห็นใครมาช่วยจึงได้ยอมพูดออกมา”
หลินเหราพยักหน้าเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ขอบคุณพี่อาอู๋มาก”
เจียงอู๋ยิ้ม แล้วจับไหล่ของหลินเหรา “เราเป็นพี่น้องกัน ใครเขาพูดเรื่องนั้น เหตุใดเจ้าถึงไม่ถามเล่าว่าโจวหลายสารภาพอย่างไร?”
หลินเหราพูดแค่ว่า “เราจับโจวหลายมาก็จริง แต่ข้ารู้สถานะของคนที่บงการเบื้องหลังแล้ว เพียงต้องการหลักฐานเท่านั้น”
เจียงอู๋ตอบแค่ ‘อ่อ’ คำเดียว แต่พยักหน้าเงียบ ๆ ในใจ
ดูท่าหลินเหราจะวางแผนมาอย่างดี
คิดได้ดังนี้ เขาก็อดเอ่ยอย่างทอดถอนใจไม่ได้ “มิน่าล่ะท่านแม่ทัพจึงมักทอดถอนใจ บอกว่ายามที่ข้างกายไร้เจ้า ต่อให้นานเพียงใดก็ยังทำใจให้ชินไม่ได้ ตอนนี้ท่านแม่ทัพไม่พอใจเราที่ทำภารกิจอย่างไร้เหตุผล”
หลินเหราอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ “เหตุใดพี่อาอู๋ถึงต้องดูถูกตัวเองเพียงนี้? ข้าเองก็เพิ่งเรียนรู้ความสามารถเพียงหนึ่งถึงสองในสิบส่วนของท่านแม่ทัพเท่านั้น พี่อาอู๋มักจะเคียงบ่าเคียงไหล่ท่านแม่ทัพเสมอ ต่อไปจะต้องไปไกลกว่าข้าแน่นอน”
เจียงอู๋ยิ้ม ส่วนปากก็พร่ำเอ่ยอย่างไม่ให้อภัย “ข้าว่าเจ้าไม่อยู่ข้างกายของท่านแม่ทัพ ก็ถือว่าได้เรียนรู้ไม่น้อยเชียวนะ หลายเดือนที่ไม่ได้เจอกัน ยังกล้าโอ้อวดอีก?”
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในจวน ระหว่างทางนั้นได้เจอะเจอกับผู้ที่เคยอยู่ในค่ายทหารจากฝั่งซีเป่ยเมื่อครั้งอดีตไม่น้อย ต่างทยอยกันเข้ามาต้อนรับหลินเหรา
ครั้นทุกคนเห็นหลินเหราและเจียงอู๋เร่งฝีเท้าเข้ามาอย่างรีบร้อน ก็รู้ทันทีว่าพวกเขาต้องมีเรื่องแน่ จึงไม่มีใครกล้าพูดสิ่งใด
ทั้งสองคนเร่งฝีเท้าเข้ามายังที่ที่กักขังโจวหลายไว้ แม้แต่หลินเหราก็แทบจะผลักประตูเปิดเองเลยทีเดียว
หลังจากไต่สวนไปแล้วสองสามวัน ทางนี้ก็หยุดส่งข้าวส่งน้ำ ร่างกายของโจวหลายจึงไร้ซึ่งเรี่ยวแรงนานแล้ว
หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้า สายตาว่างเปล่าของเขาก็กวาดมองมา ริมฝีปากที่แห้งผากจนแตกระแหงขยับเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงออกมาเบา ๆ
หลินเหราก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าว รองเท้าหุ้มข้อสีน้ำเงินเข้มได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของโจวหลาย พาให้ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยเศษฝุ่นไม่น้อย
สีหน้าของชายหนุ่มเย็นยะเยือก คาดเดาอารมณ์ไม่ได้แม้แต่น้อย จากนั้นก็มองลงมายังโจวหลายที่นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้น และเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา “สิ่งที่เจ้าสารภาพมาวันนี้คือความจริงใช่หรือไม่?”
โจวหลายสัมผัสได้ถึงพลังที่แผ่กระจายออกมาจากตัวของหลินเหรา จึงไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามอง ทำได้แค่พยักหน้าอย่างจนปัญญาและเอ่ยปาก “สิ่งที่ข้าพูด เป็นความจริงทั้งหมด…”
กระทั่งได้ยินชายหนุ่มออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “เช่นนั้นก็เล่าความจริงทั้งหมดออกมาอีกครั้ง”
ภายในห้องไต่สวนมีทหารที่เตรียมพู่กันและกระดาษไว้พร้อมแล้ว รอแค่จดบันทึกในสิ่งที่โจวหลายกล่าวออกมา
โจวหลายกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “หยางซินคือคนที่ข้าผลักตกคูเมือง แรกเริ่มข้าไปเจอเขาซ่อนตัวอยู่ในศาลเจ้าผุพังแห่งนั้น จึงพาเขาออกนอกเมือง ถือโอกาสตอนที่หยางซินไม่ทันเตรียมตัว ผลักเขาตกลงไปในคูเมือง”
น้ำเสียงของหลินเหราราบเรียบไร้ความรู้สึกใด และออกคำสั่งว่า “พูดต่อสิ”
โจวหลายสารภาพความผิดไปแล้วเมื่อเช้า บัดนี้ต้องพูดอีกครั้ง จึงรื่นหูและคล่องแคล่วกว่าเดิม
“นับตั้งแต่ฮูหยินสิ้นใจก็ยกข้าให้กับคุณหนู ข้าจึงมักจะทำภารกิจให้กับคุณหนูเสมอ เพียงแต่บัดนี้จวนโจวและจวนตู้ไม่มีความสนิทชิดเชื้อกัน คุณหนูจึงไม่ค่อยนึกถึงข้า… กระทั่งเมื่อสี่วันก่อน คุณหนูให้อาซู่รีบมาตามตัวข้า สั่งให้ข้าไปกำจัดหยางซิน”
“เหตุใดคุณหนูถึงต้องทำเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องรู้”
หลินเหราได้ยินหลักฐานที่จริงแท้แน่นอนจากปากของเขา นัยน์ตาก็พลันเย็นเยือกลงทันใด “เจ้านายของเจ้า คือคุณหนูตู้จากจวนเจ้าอาลักษณ์ใช่หรือไม่?”
โจวหลายรู้ว่าคำสารภาพของตัวเองได้ถูกจดบันทึกไว้แล้ว จึงตอบกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างตรงไปตรงมา “ขอรับ คือคุณหนูสายเลือดตรงของจวนเจ้าอาลักษณ์ ตู้เหิง”
ต่อให้หลินเหราไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของตู้เหิง แต่สายเลือดโดยตรงของเจ้าอาลักษณ์มีแค่คุณหนูเพียงผู้เดียว คือคนที่ปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขาผู้นั้น
ชายหนุ่มถามอีกสองสามประโยค ครั้นเห็นโจวหลายไม่มีสิ่งใดจะพูดแล้วจริง ๆ จึงลุกขึ้นยืน
ทหารที่จดบันทึกอย่างขะมักเขม้นด้านข้างได้ส่งคำให้การเต็มหน้ากระดาษมาตรงหน้าของโจวหลาย มองดูเขาประทับรอยนิ้วมือ จากนั้นก็ยื่นคำสารภาพให้หลินเหราด้วยความเคารพ แล้วถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ
หลินเหราและเจียงอู๋เดินออกมาจากห้องไต่สวน เมื่อเจียงอู๋เห็นเขามองดูคำสารภาพนั้น หน้านิ่วคิ้วขมวด จึงอดเอ่ยไม่ได้ “สหายข้า ขอข้าละลาบละล้วงถามสักหนึ่งคำถาม… เจ้าไปล่วงเกินจวนเจ้าอาลักษณ์ได้อย่างไร? ถึงขั้นทำให้ลงมือกับภรรยาและลูกของเจ้าได้? ไม่ว่าใครจะตามล้างแค้น แค่ลงมือกับเจ้าตรง ๆ ก็จบ เหตุใดจะต้องอ้อมค้อมให้มันยุ่งยากเพียงนี้?”
เมื่อครั้งที่ชายหนุ่มพาโจวหลายมายังจวนท่านแม่ทัพ เขาได้เล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องให้เจียงอู๋ฟัง ที่เขาถามเช่นนี้เพราะตนครุ่นคิดอยู่หลายวันก็ยังไม่เข้าใจ
หลินเหราชะงักหยุดก้าวเดิน ก่อนจะส่ายหน้าและพูดว่า “เราไม่มีความแค้นกับจวนเจ้าอาลักษณ์”
เจียงอู๋ปวดหัวทันใด “ผู้ที่สั่งให้ลูกน้องไปทำเรื่องนี้ก็คือคุณหนูสายเลือดตรงของจวนเจ้าอาลักษณ์…ไม่ว่าอย่างไรก็แปลก…”
ขณะพูด จู่ ๆ เขาก็นึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างเล็กน้อย แล้วมองมายังหลินเหราพลางเอ่ยอย่างลังเล “คงไม่ใช่เพราะคุณชายอย่างเจ้าไปมั่วสุมนอกบ้านหรอกนะ?”
ยิ่งคิดเช่นนี้ เจียงอู๋ก็ยิ่งรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
“คุณหนูผู้สูงศักดิ์มีใจให้เจ้า แต่เห็น ๆ อยู่ว่าเจ้าเองก็มีครอบครัวแล้วจึงหมดหนทาง จึงใช้วิธีการนี้สั่งให้คนไปลักพาตัวภรรยาและลูกของเจ้ามาให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่เพราะมันไม่สำเร็จและกลัวว่าจะถูกเจ้าตามสืบได้ จึงสั่งให้ลูกน้องไปฆ่าปิดปาก”
สีหน้าของเขาเริ่มประหลาดใจมากขึ้น สุดท้ายก็มองมาทางหลินเหรา ก่อนส่ายหน้าและพูดว่า “คุณหนูเจ้าอาลักษณ์ผู้นี้ช่างเหี้ยมโหดยิ่งนัก”
หลินเหรามีสีหน้าขึงขัง และนึกย้อนไปถึงพฤติกรรมของตู้เหิง จึงอดเสียใจไม่ได้ที่ตัวเองยังไม่ระแวดระวังต่อนางมากพอ
เจียงอู๋เห็นเขาไม่พูดจึงถามต่อว่า “ยังไม่บอกเลย สหาย ตกลงเจ้าไปล่วงเกินนางได้อย่างไร?”
คิ้วรูปดาบของหลินเหราขมวดเข้าหากัน ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าไม่ได้ล่วงเกินนาง ก่อนหน้านั้นนางประสบกับความลำบากแถวชานเมืองชิงถง ข้าและเหล่าพี่น้องทหารของจวนตรวจการได้ช่วยชีวิตนางไว้”
เจียงอู๋ร้อง ‘อ๋อ’ หนึ่งเสียง “วีรบุรุษช่วยสาวงามสินะ? หลังช่วยเสร็จก็เลยถูกใจเจ้า?”
หลินเหรานึกถึงตรงนี้ สีหน้าก็ยิ่งแย่ลงกว่าเดิม
มิน่าเล่าอาซูถึงได้โกรธเพราะเรื่องของตู้เหิง เขาไม่ระแวดระวังมากพอจึงได้นำพาปัญหาเข้าหาตัวเช่นนี้
เขาขมวดคิ้วแน่นแล้วเอ่ยถามว่า “พี่อาอู๋ ถ้าข้าอยากเปิดเผยในสิ่งที่ตู้เหิงทำต่อที่สาธารณะ จะมีความเป็นไปได้หรือไม่?”
เจียงอู๋ไม่รีบตอบ เขาครุ่นคิดอย่างละเอียด จากนั้นก็ส่ายหน้าและพูดว่า “ยาก เป็นถึงบุตรีของจวนเจ้าอาลักษณ์ทั้งยังเป็นบุตรีสายเลือดตรง ถ้าเจ้าคิดแตะต้องนาง แค่ด่านของจวนตู้ก็ผ่านได้ยากแล้ว”
หลินเหรายังไม่ทันเอ่ยปาก ก็ได้ยินเจียงอู๋พูดเสริมว่า “อย่าลืมว่าในวังยังมีพระสนมกุ้ยเฟยผู้เป็นป้าของนาง ข้าว่าเจ้าอย่าบุ่มบ่ามดีกว่า”
สีหน้าของชายหนุ่มดูลำบากใจอย่างมาก กระทั่งส่ายหน้าและเอ่ยว่า “ในเมื่อกล้าทำร้ายภรรยาและลูกข้าจนบาดเจ็บ ไม่ว่านางจะเป็นบุตรสาวตระกูลไหน หรือเป็นองค์หญิงแห่งเมืองต้าเยี่ยน ข้าก็ต้องให้นางชดใช้ ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ข้าต้องอธิบายให้อาซูรับรู้ด้วย”
เจียงอู๋รู้จักนิสัยของหลินเหราดี ทำได้แต่ทอดถอนใจอยู่ภายใน คิดว่ารอให้ท่านแม่ทัพกลับถึงจวนก่อน จะให้ท่านแม่ทัพไปปวดหัวแทนหลินเหรา
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงภรรยาและลูก เจียงอู๋จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นับตั้งแต่รู้ว่าพี่มีครอบครัวในซีเป่ย กลับไม่เคยได้ยินพี่เอ่ยถึง ทำไม ตอนนี้ก็อยู่ในเมืองหลวงกันแล้ว จะไม่พามาเจอหน้ากันหน่อยหรือ?”
หลินเหราพยักหน้า และตอบรับ “หลายวันนี้ยังหาที่อยู่อาศัยไม่ได้ รอให้หาที่อยู่อาศัยได้ ข้าจะพาภรรยาและลูกมายังจวนท่านแม่ทัพ มาแสดงความเคารพต่อท่านแม่ทัพแน่นอน”
เจียงหนิงปฏิบัติต่อเขาด้วยความสนิท หลินเหราจะต้องตอบแทนเป็นธรรมดา
เมื่อเจียงอู๋เห็นเขาพูดเช่นนี้ ก็หัวเราะเสียงดัง “ข้าจะรอดั่งที่เจ้าพูด! ถึงตอนนั้นจวนท่านแม่ทัพของเราคงจะคึกคักน่าดู ให้เหล่าพี่น้องได้พบหน้ากัน”
ทั้งสองคนพูดคุยกันสบาย ๆ อีกสองสามประโยค เจียงอู๋จึงได้พูดขึ้นว่า “โจวหลายคนนี้ ก็ขังไว้ในจวนท่านแม่ทัพไปก่อนแล้วกัน เจ้ากลับไปปรึกษาหารือกับจวนเซี่ยให้ดี เรื่องนี้ แค่เจ้าออกหน้าคงจะทำการตัดสินไม่ได้”
หลินเหราเข้าใจเหตุผลในคำพูดของเขา จากนั้นก็พยักหน้าตอบรับ “ขอบคุณพี่อาอู๋มาก”
หลังจากที่ทั้งสองคนแยกทางกัน หลินเหราก็ตรงกลับจวนเซี่ยทันที ตั้งใจจะบอกเรื่องนี้ให้เหยาซูฟัง
ไม่รู้ว่านางจะมีปฏิกิริยาเช่นไร…
…………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
หมดโอกาสสานสัมพันธ์ต่อแล้วล่ะนังตู้ พี่เหราแค้นเธอฝังหุ่นแบบไม่เผาผีแล้ว
ไหหม่า(海馬)