ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 331 การสังสรรค์ของพี่น้อง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 331 การสังสรรค์ของพี่น้อง

บทที่ 331 การสังสรรค์ของพี่น้อง

เหยาซูคิดจะแนะนำรายการอาหารของร้านให้แก่ครอบครัว แต่ก็ถูกขัดจังหวะเสียก่อน

อาเฉียนขัดจังวะการพูดของเหยาซู เด็กหนุ่มยิ้มเเล้วกล่าวว่า “ท่านมักจะพูดอยู่บ่อย ๆ ว่า ให้พวกเราฝึกฝนตนเอง อาหารจานเด่นของร้านเรา ให้ข้าน้อยเเนะนำเถอะขอรับ นายหญิงจะได้รู้ว่าปกติพวกเราทำงานกันอย่างไร”

เมื่อเหยาชูเห็นเด็กหนุ่มขันอาสาเช่นนี้ ย่อมไม่ทำให้ความตั้งใจของคนอื่นเสียเปล่าอย่างแน่นอน

หญิงสาวคลี่ยิ้มบาง พยักหน้าและกล่าวว่า “เช่นนั้นแล้วเจ้าก็พูดเถิด”

อาเฉียนขานรับ เเละเอ่ยพูดกับทุกคนด้วยความเคารพ “ภัตตาคารอิ๋งเค่อของพวกเรา อาหารหลักของร้านเราคืออาหารของภาคเหนือ เเต่แน่นอนว่าที่นี่คือเมืองหลวง เป็นเรื่องปกติที่จะมีแขกเดินทางมากทั่วทุกสารทิศ หากลูกค้าท่านใดมีความต้องการพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นอาหารของที่ใด ร้านอาหารของเราก็สามารถทำได้หมด”

“แต่ว่าร้านของเราจะมีความเเตกต่างจากร้านอาหารบริเวณนี้อย่างมาก นั่นก็คืออาหารเมืองหลวง พ่อครัวของเราก็เป็นชาวเมืองหลวงโดยกำเนิด เขาสามารถทำอาหารเมืองหลวงต้นตำรับได้ ดังนั้นหากพวกท่านได้ลิ้มลองเพียงหนึ่งครั้ง ย่อมต้องจดจำตลอดไป”

สมากชิกบ้านตระกูลเหยาเห็นชายหนุ่มพูดอย่างกระชับ เอ่ยเเนะนำรายการอาหารด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทุกคนล้วนฟังไปพยักหน้าไป

เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเเนะนำอาหารเมืองหลวงเป็นพิเศษ พี่สะใภ้ใหญ่จึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเรามาลิ้มลองรสชาติอาหารท้องถิ่นของเมืองหลวงกันเถอะว่ารสชาติจะเป็นเช่นไร”

เด็กในร้านขานรับ เเนะนำรายการอาหารอีกไม่กี่อย่าง ก่อนจะถอยกลับอย่างสุภาพ

เมื่อรอคนออกไปแล้ว คนทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเขา

พี่สะใภ้รองกล่าวขึ้นว่า “ไม่มีทหารที่อ่อนเเอใต้แม่ทัพที่เข้มแข็ง อาซูจัดการทุกอย่างได้อย่างเป็นระเบียบ เด็กในร้านก็พูดจาฉะฉาน กฎระเบียบมีความชัดเจน”

เหยาซูส่ายหน้า “พี่สะใภ้กล่าวเกินจริงไปแล้ว”

หญิงสาวมีความคิดที่จะชวนพี่สะใภ้ทั้งสองมาทำกิจการ จึงใช้โอกาสนี้พูดคุยเกี่ยวกับร้านอาหาร

ประจวบกับชายหนุ่มทั้งสามก็อยู่ที่นี่ ย่อมได้ฟังการสนทนาของพวกนางไปด้วย โดยเฉพาะเหยาซูที่พูดถึงอนาคตของร้านอาหารด้วยความคิดแปลกใหม่ เหยาเฟิงและคนอื่นที่ได้ฟังต่างก็รู้สึกทึ่ง

พี่ใหญ่ตระกูลเหยาก็อดที่จะถามหลินเหราไม่ได้ว่า “อาเหรา ข้าเห็นว่าอาซูมาเมืองหลวงเเล้วเติบโตขึ้นมาไม่น้อย เจ้าเป็นคนสอนนางหรือ?”

หลินเหราส่ายหน้า “กิจการของอาซู น้อยครั้งที่ข้าจะยื่นมือเข้าไป ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความคิดของนาง”

เหยาเฉาที่อยู่ด้านข้างก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่ ข้ามองว่าท่านคงคิดน้อยไปแล้ว การทำกิจการ นอกจากจะใส่ใจเรื่องความซื่อสัตย์แล้ว ยังต้องใช้สมองคิดอยู่ตลอด ข้ามองว่าถ้าปกติท่านพูดคุยกับอาซู ตระกูลของพวกเราจะต้องเจริญขึ้นอย่างแน่นอน”

ต่อหน้าญาติพี่น้องของเขา เหยาเฉามักจะทำตัวสบาย ๆ ปากคอเราะราย ทำให้เหยาเฟิงหัวเราะอย่างขบขัน

  

แสดงว่ากิจการค้าผ้าของตนเองไม่ดีอย่างนั้นหรือ

ชายหนุ่มชกเขาไปที่ไหล่ขวาของเหยาเฉา เเล้วหัวเราะ “ไอ้เจ้าเด็กปากเหม็น วัน ๆ เจ้าคงไม่ได้ออกเเรงสินะ ปากเลยพูดจาเเต่เรื่องไร้สาระ ถ้ากลับทางใต้เมื่อไรของในคลังทั้งหมดข้ายกให้เจ้าเลย”

เหยาเฉาหัวเราะจนตัวโยน ย่อตัวพลางโบกมือพลาง “ไม่ใช่ ไม่ใช่ พี่ใหญ่ไม่รู้ใช่ไหมว่าข้าคือวีรบุรุษที่ชอบโอ้อวด”

หลินเหราที่เห็นพี่น้องพูดคุยสนทนากันอย่างสบายใจ เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

คนในตระกูลไปมาหาสู่กันเช่นนี้ ไร้ซึ่งความรู้สึกที่ไม่มีความเข้ากันไม่ได้เลยเเม้เเต่น้อย

หลินเหราที่ไม่ชอบพูดคุย ชายหนุ่มได้เเต่นั่งเงียบ ๆ อยู่ด้านข้าง และสัมผัสถึงความรู้สึกอบอุ่นที่ไหลรินออกมา

วันข้างหน้านับจากนี้ครอบครัวตระกูลเหยาจะอยู่ด้วยกันแล้ว คิดแล้วจะสบายใจเช่นนี้หรือไม่?

เด็ก ๆ ฟังเหล่าบิดาพูดคุยกันทางด้านซ้าย หลังจากนั้นไม่นานก็หันไปทางขวาและได้ยินเหยาซูพูดถึงแผนการในอนาคตที่แปลกใหม่ของร้านอาหาร

ผ่านไปไม่นานอาหารก็ค่อย ๆ ทยอยวางลงบนโต๊ะ

เหยาเฉามองขวดสุราที่คุ้นเคย ก่อนที่หยิบมันขึ้นมาดู แล้วยิ้มออกมา

เหยาเอ้อหลางมองผู้เป็นพ่ออย่างตั้งใจ ก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้ “ท่านพ่อยิ้มอะไรหรือ? สุรานี้ท่านเคยลิ้มลองแล้วหรือขอรับ”

เมื่อได้ยินคำถามของเด็กชายทุกสายตาก็หันมาจ้องมอง

ก็เห็นเหยาเฉายิ้มแล้วพยักหน้า ดวงตาดอกท้อทั้งสองข้าง สีหน้าของเขายามนี้ไม่อาจบรรยายได้ “สุรานี้ ข้าเคยดื่ม…”

วันนั้นในตอนที่เสี่ยวเว่ยมาถึงบ้าน คนรับใช้ก็ได้ซื้อสุรานี้เข้ามา

เพียงเเต่ว่าเวลานั้นเหยาเฉาไม่ได้ให้ความสนใจ มีคำว่า ‘ร้านอิ๋งเค่อ’ อยู่ข้าง ๆ ขวด นั่นก็คือร้านที่น้องสาวปรับปรุงใหม่เมื่อไม่นานมานี้

เมื่อเห็นว่าเขาลังเลที่จะพูด เหยาเฟิงก็เลิกคิ้วขึ้น “เอ๊ะ ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ ข้าเกรงว่าสุราจะไม่ถูกใจเจ้า”

“ฮ่า ๆ” เหยาเฉาหัวเราะแล้ววางขวดสุราลง ส่ายหน้าเเล้วไม่ได้กล่าวอะไร

เหยาซูเห็นสองพี่น้องถกเถียงกันแล้วรู้ว่านี้เป็นการทำเพื่อตัวนางเองและรู้สึกว่ามันน่าสนุกมาก ดังนั้นนางจึงทำตามคำพูดของเหยาเฟิง เเละได้เอ่ยถามขึ้นว่า “พี่รอง สุรานี้ข้าเองก็ยังไม่เคยได้ดื่ม ท่านลองดูหน่อยเถอะ”

เหยาเฉามีความสุข “เมื่ออยู่ในบ้าน เป็นเรื่องยากที่เจ้าจะเเสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับมัน เเต่ในเมื่ออาซูกล่าวเเบบนี้ขึ้นมาแล้ว พี่รองก็จะพูดอย่างตรงไปตรงมา สุรานี้รสชาติจืดชืดไม่ต่างจากน้ำดื่มธรรมดา”

ชายหนุ่มพูดพลางแล้วมองตาหลินเหราพลาง ก่อนที่จะเสริมขึ้นว่า “ถ้าหากว่าให้อาเหรามาดื่มแล้วต่อให้ดื่มจนหมดร้านนี้ ก็มิอาจทำให้เขาเมาได้”

คำพูดของเขาเกินจริงไปแล้ว แต่ก็ทำให้คนบนโต๊ะล้วนหัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เเละเริ่มสนใจ ‘สุราจืดชืด’ ของเหยาเฉาขึ้นมาเเล้ว

เเม้เเต้เด็ก ๆ ทั้งสี่คน ยังมีท่าทางที่กระตือรือร้นอยากลิ้มลอง

เมื่อเห็นว่าทุกคนตั้งตารอคอย เหยาเฉาจึงรินสุราไปรอบ ๆ โดยที่ชายหนุ่มมองข้ามเด็ก ๆ ไป

เเววตาของอาจื้อและอาซือเต็มไปด้วยความผิดหวัง เหยาต้าหลางก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ตรงข้ามกับเหยาเอ้อหลาง เด็กชายเม้มริมฝีปากเเล้วบ่นพึมพำ “ก็เป็นเช่นนี้อีกแล้ว ทุกครั้งที่พวกท่านดื่มสุรา ก็ไม่เคยจะมีส่วนของพวกเรา”

เหยาเฉามีประสาทหูเฉียบคม และชายหนุ่มเองก็ขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจกับคำบ่นของลูกชาย

ตรงกันข้ามกับเหยาซูที่เห็นท่าทางอยากรู้อยากเห็นของเด็ก ๆ พวกเขาไม่ได้อยากจะดื่มสุรา เพียงเเต่เห็นว่าผู้ใหญ่ทุกคนล้วนดื่ม ก็เลยเสียความรู้สึกเล็กน้อย

นางพูดกับเด็ก ๆ แผ่วเบา “ก่อนอายุสิบสามปี ห้ามดื่มเครื่องดื่มมึนเมา แต่มีอย่างหนึ่งที่อร่อยมาก ๆ ไม่รู้ว่าพวกเจ้าอยากลองหรือไม่”

คนสมัยก่อนโตก่อนวัย อายุสิบสามปีก็ถือว่าพร้อมที่จะเเต่งงานเเล้ว

เเต่เรื่องดื่มสุรา กฎของตระกูลถูกตั้งว่าหลังอายุสิบสามถึงจะดื่มได้

คำพูดของเหยาซู เด็ก ๆ จึงเชื่อเป็นอย่างมาก เมื่อบอกว่าอร่อยมากต้องไม่เลวแน่ ๆ

 

พวกเขาพยักหน้าพร้อมเพรียง “อยากกิน อยากกิน”

เหยาซูยิ้มแล้วกล่าวว่า “ของสิ่งนี้เรียกว่าเถียนจิ่วชงตั้น[1] ถึงเเม้จะมีส่วนผสมเพียงสุราหวาน เเต่เมื่อเปรียบเทียบกับสุราแล้วกินง่ายกว่ามาก

อาซือกล่าวว่า “อ๋อ” หนึ่งคำ เมื่อได้ยินว่า ‘สุราหวาน’ สองคำแววตาก็เป็นประกายเเล้ว

เหยาต้าหลางและอาซือเม้มปาก ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา นั่งยืดตัวตรงบนเก้าอี้ ขาเล็ก ๆ แกว่งไปมาอยู่ใต้โต๊ะอย่างอิสระ

เหยาซูเรียกเด็กในร้านอีกครั้ง เเล้วให้เขานำเถียนจิ่วซงตั้นสี่ถ้วยมาให้เด็ก ๆ

เหยาเฟิงที่เห็นน้องสาวของเขาสามารถจัดการเด็ก ๆ ได้อย่างง่ายดาย ชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะพูดกับภรรยาของเขาว่า “อาเจวียน เจ้าดูสิ อาซูมาที่นี่ไม่กี่เดือนทำไมถึงได้โตขึ้นเช่นนี้”

พี่สะใภ้ใหญ่สบตากับเหยาเฟิงแล้วกล่าวว่า “หลังแต่งงาน สตรีนางใดจะเหมือนสมัยตอนเด็กบ้างเล่า นอกจากนี้ อาซูได้พบกับครอบครัวเช่นนี้อีกครั้ง เขาไม่อยากยืนขึ้นด้วยตัวเองหรือ อาซูให้กำเนิดซานเป่าเมื่อปีที่แล้ว หลังจากกลับมาจากบ้านตระกูลหลินนางเองก็ได้เติบโตขึ้นมาตั้งเเต่ตอนนั้นแล้ว แต่เป็นเพราะเจ้าไม่ค่อยพูดคุยกับน้องสาวของเจ้าเอง”

เหยาเฟิงเงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจ “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้ายังจำสมัยที่นางยังอยู่ที่บ้านได้ โดนตามใจเสียจนเคยชิน คิดไม่ถึงเลยว่าจะโตขึ้นได้ถึงเพียงนี้”

สะใภ้ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกันแล้วหันหน้าไปมองเหยาซู

วันนี้เหยาชูสวมชุดที่เรียบง่ายและสง่างาม ผมของนางเกล้าขึ้นอย่างเรียบง่าย และมีเพียงปิ่นปักผมสีเงินอันละเอียดอ่อนบนผมสีดำขลับ

การเเต่งตัวที่เรียบง่ายเช่นนี้ กลับสามารถทำให้ดวงตาที่สดใสของนาง ริมฝีปากสีเเดง เเละฟันสีขาวของหญิงสาวดูโดดเด่นเช่นนี้

เวลาที่หญิงสาวค่อย ๆ ก้มตัวลงไปคุยกับอาซือที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าที่เปล่งปลั่งดูอ่อนโยนและอบอุ่น เด็กหญิงตัวน้อยที่เย่อหยิ่งในความทรงจำของเหยาเฟิงก็ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง

เหยาเฟิงจ้องมองน้องสาว ราวกับว่าเงาของเหยาซูในอดีตก็ค่อย ๆ จางหายไป เหลือเพียงหญิงสาวในตอนนี้ ผู้ซึ่งอ่อนโยนและอดทนกับครอบครัว เวลาจะทำอะไรก็ช่างเด็ดขาดและมีความสามารถ

พี่สะใภ้ใหญ่เห็นเหยาเฟิงที่กำลังตกตะลึงอยู่ ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “เอาละ มัวเเต่รำลึกถึงอดีต ตอนนี้อาซูก็ดีขึ้นเเล้วไม่ใช่หรือ”

เหยาเฟิงกลับมารู้สึกตัว ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ชายหนุ่มพยักหน้า “ก็ดีแล้ว ผู้ใดว่าไม่ดีเล่า”

ผ่านไปไม่นานอาหารก็ถูกนำวางบนโต๊ะ เถียนจิ่วชงตั้นของเด็ก ๆ ก็เช่นกัน แม้จะไร้ซึ่งน้ำเเข็ง แต่พอกินเเล้วกลับทำให้รู้สึกสดชื่น

พี่สะใภ้รองมองด้วยเเววตาที่ชื่นชม ก่อนที่จะเอ่ยสอน “เอ้อหลาง เหตุใดถึงลงมือกินก่อน ท่านลุงยังไม่พูดเลย กฎที่เรียนมาไปไหนเสียเเล้ว”

เอ้อหลางเลียปากแล้วรีบวางจานลง

เหยาเฟิงยืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม ยกแก้วขึ้น มองไปรอบ ๆ และพูดกับทุกคน “วันนี้เป็นมื้ออาหารของครอบครัวที่เรียบง่าย ท่านพ่อท่านเเม่เองก็ไม่อยู่ ทุกคนสามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้ ดื่มจอกนี้ก่อน เเล้วไม่ต้องเกรงใจ”

ทั้งหมดล้วนลุกขึ้น ใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยความสบายใจเเละเรียบง่าย กระดกจอกแรกจนหมด

 

หลังจากดื่มเสร็จทุก ๆ คนก็นั่งลง

เหยาเฟิงค่อย ๆ ใช้ลิ้นรับรส เเล้วหันไปคุยกับเหยาเฉา “เป็นอย่างที่เจ้าพูดไม่มีผิด สุรานี่แทบไม่มีรสชาติ”

พี่สะใภ้ใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวขึ้น “ข้าดื่มดูแล้วก็ไม่เลวนี่ ข้าว่ามันเหมาะกับสตรีดี”

เหยาซูยิ้มเเล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ วันพรุ่งนี้เราสามารถบอกสูตรการต้มสุราของบ้านเราได้หรือไม่ ร้านอาหารมีคนเข้าคนออกตลอด ลูกค้าจะชอบสุราที่ร้อนเเรง ข้าคิดว่าบ้านเราหมักสุราได้ดีเลยทีเดียว เมื่อได้เงินเเล้วข้าจะเเบ่งให้พี่สะใภ้ ”

เหยาเฟิงตอบกลับ “เรื่องเงินมันไม่สำคัญหรอก ช่างมันเถอะ”

พี่สะใภ้ใหญ่อดที่จะหัวเราะไม่ได้ หญิงสาวส่ายศีรษะ “ข้าเห็นว่าอาซูพยายามดึงข้าเข้าไปในกลุ่มกิจการของเขาทั้งสอง”

เหยาซูหันไปมองอาเวย แล้วหัวเราะออกมา

พี่สะใภ้ใหญ่มาถึงภัตตาคารแล้วก็ได้พบกับเถ้าเเก่และคนงานในร้านที่จิตใจของพวกเขาดีกว่าร้านอาหารข้าง ๆ อย่างมาก ทั้งอบอุ่นเเละเอาใจใส่ลูกค้า แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้รู้สึกขายหน้า

นางรู้ว่านี่เป็นเพราะการจัดการของเหยาชู และก็ได้รับความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับความสามารถของน้องสะใภ้ของนาง

นอกจากความตั้งใจของเหยาซูจะแสดงออกไปในทุกมิติของภัตตาคาร เเล้วหญิงสาวต้องการจะให้นางเข้าไปทำกิจการด้วย คำพูดของพี่สะใภ้ใหญ่ก็คลี่คลายลงเล็กน้อย

เหยาซูเข้าใจความหมายของสะใภ้ใหญ่ จึงหัวเราะแล้วกล่าวว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ลองพิจารณาดู ถ้าหากว่าวันปกติวุ่นวาย ท่านมาช่วยพวกเราจัดการบัญชีจะดีไหม ท่านไม่ต้องกังวลอะไรเลยตราบใดที่มันไม่มีข้อผิดพลาด”

พี่สะใภ้เป็นคนที่เอาใจใส่ และแม่เฒ่าเหยาก็ฝากฝังนางให้ดูแลงานบ้านของครอบครัว ถ้าให้พี่สะใภ้ใหญ่จัดการบัญชีในร้านอาหารก็มากเกินพอแล้วสำหรับนาง

เมื่อเห็นว่าคำพูดของเหยาซูจริงใจมาก ในที่สุดนางก็พยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อาซู ข้าตกลง เพียงแต่ว่าถ้าข้าทำได้ไม่ดีจะทำให้เจ้าเป็นกังวลหรือไม่”

รอยยิ้มยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจ หญิงสาวดึงพี่สะใภ้รองเพื่อดื่มอวยพรให้แก่พี่สะใภ้ใหญ่

สามคนกลายเป็นหนึ่งกลุ่ม

หลังจากที่ดื่มจอกนี้เสร็จ เหยาชูหยิบจอกสุราขึ้นอีกครั้งและพูดอย่างดุดันกับพี่สะใภ้สองคน “จอกนี้ ข้าน้องสาวคนเล็กขอเคารพพี่สะใภ้สองคน และด้วยความช่วยเหลือจากพี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รอง ธุรกิจภัตตาคารของเราจะเฟื่องฟู!”

พี่สะใภ้สองคนของตระกูลเหยาได้รับความเคารพจากนาง และพวกเขาก็เริ่มคิดหนักว่าจะทำธุรกิจกับเหยาซูอย่างไรให้ธุรกิจเจริญรุ่งเรืองและเป็นไปด้วยดี…

………………………………………………………………………………………………………..

[1] เถียนจิ่วชงตั้น (甜酒冲蛋) เป็นของหวานชนิดหนึ่งที่มีส่วนผสมของไข่ และเหล้าหวาน (ภาพจาก https://baike.baidu.com/item/%E7%94%9C%E9%85%92%E5%86%B2%E8%9B%8B/5488306)

สารจากผู้แปล

เอ้อหลางเคยลองกินเหล้าแล้วไม่อร่อยไม่ใช่เหรอ

ขอให้กิจการรุ่งเรืองก้าวหน้านะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท