ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 372 อาซือพิจารณาถึงอนาคต

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 372 อาซือพิจารณาถึงอนาคต

บทที่ 372 อาซือพิจารณาถึงอนาคต

เรื่องการพัฒนาร้านขายผ้า เหยาซูก็มีแผนการที่คิดไว้ในใจแล้ว เพียงแต่ยังอยากฟังความคิดของเถ้าแก่อู่

หญิงสาววางสมุดบัญชีที่ถือไว้ในมือลงพลางยิ้มและกล่าวว่า “ช่วงนี้ลำบากเถ้าแก่อู่แล้ว ต้องคอยยุ่งวุ่นวายกับเรื่องน้อยใหญ่ภายในร้าน ทั้งผ้าหมดคลังสินค้า ทั้งเรื่องการขาย ล้วนเป็นท่านที่ไปตรวจสอบ รอให้กิจการผ้าของร้านเราเริ่มเข้าที่เข้าทาง ข้าและพี่ใหญ่จะเชิญเถ้าแก่อู่และอาวุโสเติ้งทั้งสองท่านไปรับประทานอาหารที่บ้านของพวกเราสักหนึ่งมื้อ”

เถ้าแก่อู่โบกมือพัลวัน “นายหญิงกล่าวเช่นนี้ข้าเกรงใจเป็นอย่างมากขอรับ ที่ข้ากับเหล่าเติ้งยุ่งอยู่กับร้านผ้า ไม่ใช่เพราะว่าความไว้ใจและเห็นถึงความสำคัญของนายหญิงหรอกหรือ และมากไปกว่านั้นกิจการร้านผ้าของพวกเรากำลังเจริญรุ่งเรืองขึ้น ผู้คนข้างนอกก็อดใจไม่ไหวที่จะเข้ามาเรียนรู้ว่าจะต้องทำการค้าอย่างไร”

เหยาซูยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าวว่า “ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าอายุยังน้อย ประสบการณ์ยังถือว่าห่างชั้นกับท่านนัก ท่านคิดว่าต่อจากนี้ไปพวกเราควรจะวางแผนอย่างไรต่อไปดี”

เถ้าแก่อู่ไม่ใช่คนที่โง่เขลา หลายวันมานี้เขาเองก็มองออกแล้ว

ถึงแม้ว่าเจ้าของร้านขายผ้าเหยาจี้จะเป็นเหยาเฟิง แต่คนจัดการเรื่องทั้งหมดก็คือเหยาซู

ในเมื่อนางสามารถทำให้กิจการดีขึ้นได้ ภายในใจของหญิงสาวจะไม่มีแผนการได้อย่างไร

อีกทั้งหลายวันมานี้เหยาซูก็อยู่ที่ร้านมาตลอด ย่อมมีความคิดที่มีประสิทธิภาพมากมาย หญิงสาวเองก็ได้วางแผนเกี่ยวกับลู่ทางของร้านขายผ้ามาตั้งแต่ต้น

ที่วันนี้มีคำถามแบบนี้ก็เป็นเพียงการทดสอบเถ้าแก่เท่านั้น นางอยากรู้ว่าพวกเขาจะมีวิธีการคิดอย่างไร

โชคดีที่หลายวันมานี้เถ้าแก่อู่เองก็ขบคิดมาแล้วไม่ใช่น้อย เมื่อหญิงสาวถามขึ้นมาในวันนี้ เถ้าแก่ก็สามารถตอบได้อย่างไม่ติดขัด “ถ้ามองจากมุมมองของข้า ผ้าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากของร้านเราในตอนนี้ก็คือผ้าไหมหลิงหลัวลายใหม่ของทางใต้ เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะปล่อยผ่านผ้าชิ้นนี้ไป”

เหยาซูพยักหน้าช้า ๆ เป็นการแสดงเจตนาให้เถ้าแก่กล่าวต่อ

เถ้าแก่อู่เห็นนายหญิงไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา จึงกล่าวต่อว่า “ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น พวกเราต้องทำการค้าผ้าแบบธรรมดาด้วยเช่นกัน และยังต้องทำให้สินค้ามีคุณภาพสูงขึ้นและราคาเข้าถึงได้ขอรับ”

ถ้าหากว่าคนทั่วไปได้ยินเช่นนี้ ก็จะรู้สึกว่าเถ้าแก่อู่กำลังเอ่ยอ้อมค้อมอยู่ ที่พูดออกมาราวกับว่าไม่ได้พูดอย่างไรอย่างนั้น

แต่ว่าเหยาซูรู้ดีว่าเถ้าแก่อู่และเถ้าแก่เจิ้งเป็นคนมีฝีมือ หญิงสาวจึงอดทนฟังเถ้าแก่อู่กล่าวต่อไป

  

เป็นไปตามอย่างคาดไว้ ไม่นานเถ้าแก่อู่ก็เข้าประเด็นสำคัญ “และการลดราคาผ้าแบบธรรมดา จะทำให้ผู้คนทั้งหมดมีความคิดว่าร้านขายผ้าเหยาจี้ของพวกเราขายของที่มีคุณภาพในราคาต่ำ ด้วยวิธีนี้แล้วสินค้าที่มาจากทางใต้จะสามารถทำกำไรได้เล็กน้อย และในสายตาของลูกค้าจะไม่ได้มีความรู้สึกว่าเราขายสินค้าแพงเกินไป”

เหยาซูยิ้มแล้วพยักหน้า “ความคิดของเถ้าแก่ช่างชาญฉลาด และคิดไปไกลกว่าพวกเราเป็นอย่างมาก”

เถ้าแก่อู่ได้รับคำชื่นชมกลับไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมาย ยังคงยิ้มและกล่าวออกมาว่า “นายหญิงช่างขบขันนัก ข้าน่าจะได้สัมผัสหัวใจอีกชั้นหนึ่งของนายหญิงเสียแล้ว”

เหยาซูถูกกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง หญิงสาวจึงเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวต่อ “อ้อ เถ้าแก่ว่าอย่างไร”

เถ้าแก่อู่จิบชาหนึ่งอึก กล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง “ตอนนี้นายหญิงทำระบบสมาชิกและยินดีที่จะปล่อยให้เสียผลกำไรไปบ้าง เพื่อจะให้ลูกค้าเหล่านี้จดจำและรู้จักร้านของพวกเรา แต่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ขาดแคลนเงิน นอกจากผ้าไหมหลิงหลัวที่โดยทั่วไปจะใช้มาก ร้านของพวกเรายังมีลูกจ้างอีกไม่น้อย”

ครั้นได้ยินเถ้าแก่อู่กล่าวว่าโดยปกติแล้วลูกจ้างจะใช้ผ้าไหมธรรมดาเมื่อสักครู่ เหยาซูจึงพยักหน้าเพื่อให้เถ้าแก่กล่าวต่อ

เถ้าแก่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “นายหญิงอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจ เมื่อมองดูครอบครัวที่ร่ำรวยแล้วจะดูราวกับว่าเจ้านายจะเป็นผู้ตัดสินใจ อยากจะไปที่ไหนก็ไปที่นั่น แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อให้กำไรกับคนใช้มากพอแล้ว ใครจะไม่อยากพูดจาดี ๆ ต่อหน้าเจ้านายอีกสองสามประโยคบ้างเล่า?”

เหยาซูเข้าใจในสิ่งที่เถ้าแก่ต้องการจะสื่อทันที หญิงสาวจึงยิ้มออกมาว่า “จริง ๆ แล้วมันมีเหตุผลแบบนี้นี่เอง ข้าได้รับการแนะนำจากท่านแล้ว”

ตลอดครึ่งชีวิตของของเถ้าแก่อู่ก็ล้วนทำการค้ามาตลอด เป็นธรรมดาที่เขาจะมีความคิดดี ๆ วันนี้ได้มาสนทนากับเหยาซูพอดี จึงถือโอกาสพูดออกมาในคราวเดียว

แม้ว่าเหยาซูจะเข้าใจทักษะการขายในยุคสมัยใหม่เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่หญิงสาวขาดไปก็คือผู้ที่มีประสบการณ์มากมาย และเข้าใจสภาพการณ์ตลาดอย่างเถ้าแก่อู่

ทั้งสองคนสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกัน และเวลาก็ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

หลังจากอาซือมาเรียกเหยาซูให้กลับบ้านในเวลาอาหาร หญิงสาวถึงจะรู้ตัวว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว

ทั้งสองคนพูดคุยกันนานขนาดนี้ ก็ดูว่าเหมือนจะพอใจและสบายใจ ถึงแม้ว่าจะพบเจอกันช้าไปเล็กน้อย

เถ้าแก่อู่ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า “วันนี้ได้สนทนากับนายหญิงอย่างเต็มที่ ชายแก่คนนี้จึงได้รู้ว่าการทำการค้าต้องมีพรสวรรค์ที่ชาญฉลาด อีกทั้งต้องเป็นคนกล้าที่จะลงมือทำ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายหญิงทำอะไรก็สำเร็จขอรับ”

เหยาซูยิ้มอย่างถ่อมตนแล้วกล่าวขึ้นด้วยความเกรงใจ “เถ้าแก่อู่พูดจาขบขันนัก เมื่อเปรียบเทียบกับท่านแล้ว ข้ายังต้องเรียนรู้อีกมากทีเดียว”

หญิงสาวกล่าวลากับเถ้าแก่อู่ หญิงสาวจูงมืออาซือแล้วหยิบสมุดบัญชีที่วางไว้บนโต๊ะ เตรียมตัวที่จะกลับบ้าน

เด็กน้อยกล่าวกับเถ้าแก่อู่อย่างมีมารยาท “ท่านปู่ไว้พบกันใหม่นะเจ้าคะ”

เถ้าแก่อู่หัวเราะพลางโบกมือลา

ระหว่างทางกลับบ้าน อาซืออาสาที่จะถือสมุดบัญชีให้กับเหยาซู เมื่อเห็นใบหน้าที่ผ่อนคลายของผู้เป็นแม่ ก็อดที่จะถามขึ้นไม่ได้ “ท่านแม่อารมณ์ดีมากเลย วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอเจ้าคะ”

เหยาซูยิ้มแล้วลูบหัวอาซือเบา ๆ มองไปที่ใบหน้าขาวที่มีผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยงาม ภายในใจรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก หญิงสาวกล่าวออกมาว่า “ร้านขายผ้าทำกำไรได้ เจ้าคิดว่าแม่ควรจะดีใจหรือไม่ดีใจ”

อาซูเองก็ยิ้มออกมา เด็กหญิงกระโดดไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ “แน่นอน ข้าเองก็ดีใจแทนท่านแม่เจ้าค่ะ ใคร ๆ ก็บอกว่าท่านแม่สามารถทำการค้าได้ วันข้างหน้าข้าเองก็จะเก่งเหมือนอย่างท่านแม่ ทำการค้า! ได้กำไร!”

เหยาซูยิ้มพลางจูงมือลูกสาว และกล่าวอย่างอบอุ่น “ดีมาก วันข้างหน้าอาซือก็จะทำการค้าแล้วได้กำไรมากมาย”

เด็กหญิงตัวน้อยหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “ที่ข้าถืออยู่คือสมุดบัญชีใช่หรือไม่เจ้าค่ะ กลับบ้านไปท่านแม่สอนข้าว่ามันดูอย่างไรได้ไหมเจ้าคะ”

เมื่อเห็นสาวน้อยชื่นชอบในการทำกิจการค้าขาย หญิงสาวไม่สามารถมองผ่านเจตนาของลูกสาวได้ จึงพยักหน้า “เจ้าอยากเรียนอะไร แม่ก็จะสอนเจ้า นอกจากนี้ท่านป้าทั้งสองที่บ้านของเจ้า ต่างก็ล้วนมีความสามารถมาก ๆ ถ้าวันข้างหน้าอาซือสนใจ ก็สามารถไปเรียนกับพวกเขาได้”

เด็กน้อยพยักหน้าซ้ำ ๆ

ระหว่างทางกลับบ้านของสองแม่ลูก เหยาซูก็ถามขึ้นมาว่า “เหตุใดเอ้อเป่าถึงอยากจะเรียนรู้การทำการค้าเล่า?”

อาซือตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “แน่นอนว่าข้าอยากได้กำไรเจ้าค่ะ”

เหยาซูยังถามขึ้นอีกว่า “ตอนนี้ชีวิตของพวกเราสมบูรณ์และมั่งคั่ง โดยปกติไม่ได้ขาดแคลนเสื้อผ้าอาภรณ์หรือข้าวปลาอาหาร วันข้างหน้าเจ้ากับน้องชายโตขึ้น แม่ยังสามารถได้กำไรมากมายมีเงินให้พวกเจ้า การทำกิจการไม่เพียงแต่ทำให้จิตใจอ่อนล้า แต่มันยังทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าเช่นกัน เช่นนี้แล้วเอ้อเป่ายังอยากจะทำกำไรอยู่หรือไม่เล่า”

อาซือไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน เด็กน้อยที่ได้ยินแม่ของตนถามขึ้นมาแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะกะพริบตาแล้วเริ่มครุ่นคิด

ผ่านไปไม่นาน เด็กสาวตัวน้อยก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย มีผู้ใดไม่เหนื่อยบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นเงินที่ท่านแม่ได้มาก็คือของท่านแม่ กล่าวอีกก็คือใครกันจะยังหาเงินได้อีกมากมาย”

“ฮ่า ฮ่า” เหยาซูหัวเราะออกมา

หลังจากนั้นก็ฟังอาซือพูดต่อ “ท่านแม่ เรื่องที่ข้าต้องการทำนั้นมีมากมาย ดังนั้นข้าล้วนต้องการเงินเจ้าค่ะ”

โดยปกติเหยาซูชอบที่จะสนทนากับลูก ๆ ได้ฟังความคิดน่ารัก ๆ หรือบางทีก็แปลกประหลาดที่อยู่ในใจของพวกเขา หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้นจึงถามต่อ “เอ้อเป่าอยากจะทำอะไรถึงต้องการเงินหรือ”

“อื้ม” อาซือตอบ เด็กหญิงเงยหน้ามองเหยาซู “ต้องการเงินมากมายเลย อันดับแรกก็คือ ร่างกายของพี่เถิง ถ้าข้าได้เงินมาในอนาคตข้าจะเชิญหมอที่ดีที่สุดที่สุดในใต้หล้ามารักษาพี่เถิง หลังจากที่ร่างกายของเขาดีแล้ว ข้าจะให้เขาได้ลิ้มลองอาหารอันโอชะไม่ว่าจะจากภูเขาหรือท้องทะเล แล้วก็ยังมีมะเขือม่วงรสไก่อีก”

เถิงเอ๋อมีร่างกายไม่แข็งแรงมาตลอด มีความจำเป็นจะต้องรับประทานอาหารอย่างระมัดระวัง นี่เป็นเรื่องที่อาซือเสียใจมาโดยตลอด

เพียงแต่คำว่า ‘มะเขือม่วงรสไก่’ ทำให้เหยาซูรู้สึกสับสนไปครู่หนึ่ง

“มะเขือม่วงอะไรนะ?” หญิงสาวคิดว่าตนเองได้ยินไม่ชัดเจน จึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

ใครจะคิดว่าอาซือเองก็ยิ่งประหลาดใจมากกว่าเหยาซู “ท่านแม่ ท่านแม่เคยบอกกับข้า ตอนนั้นพวกเรายังอยู่ที่บ้านท่านตากับท่านยาย ท่านเพิ่งจะคลอดซานเป่า พวกเราออกมาจากบ้านตระกูลหลิน ท่านบอกกับข้าและท่านพี่ว่ามะเขือม่วงที่คนรวยกินล้วนนำไก่ไปตุ๋นกับมะเขือม่วง เช่นนี้มะเขือม่วงจึงจะมีรสชาติของไก่…. ”

เหยาซูจึงรู้ขึ้นมาทันทีทันใด

ตอนนั้นหญิงสาวเองก็มีเรื่องพูดคุยกับเด็ก ๆ มากมายจนตนเองก็จำไม่ได้ เมื่อนึกถึง ‘มะเขือม่วงรสไก่’ ก็นึกถึงฉากจัดงานเลี้ยงอันหรูหราในวรรณกรรม ‘ความฝันในหอแดง’ ขึ้นมาได้

หญิงสาวกลั้นหัวเราะจนรู้สึกว่าท้องของตนเจ็บปวดไปหมด “ใช่ ใช่ ใช่ เอ้อเป่าพูดได้ถูกต้อง นอกจากนั้นยังมีของดีรสชาติอีกมากมาย รอให้เจ้าได้เงินมาก็จะได้ให้พี่เถิงลิ้มลองดู”

อาซือพยักหน้าอย่างตั้งใจ สมองน้อย ๆ ของเด็กหญิงเริ่มคิดถึงอนาคตของตนแล้ว

……………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เอ็นดูอาซือจังเลยค่ะ อยากได้เงินเยอะ ๆ เพราะต้องการรักษาพี่เถิงให้หาย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท