บทที่ 375 หทัยขององค์จักรพรรดิ
บทที่ 375 หทัยขององค์จักรพรรดิ
เนื่องจากการสนับสนุนของเซี่ยเชียนในราชสำนัก เจียงหนิงจึงเร่งพาทหารที่เคยออกศึกที่ซีเป่ยออกเดินทางจากเมืองหลวง จากนั้นก็ส่งม้าเร็วส่งข่าวกลับไปยังซีเป่ย
ในการออกว่าราชการวันนี้ องค์จักรพรรดิไม่พอพระทัยกับการแสดงความคิดเห็นของตู้จงยิ่งนัก และเขายังต้องจัดเตรียมเสบียงเพื่อส่งให้กับทางชายแดน
ทุกวันนี้มีสาส์นกราบทูลราชการส่งจากเขตชายแดน น้อยมากที่จะบอกว่าเงินตราและเสบียงไม่เพียงพอ แต่กลับบอกว่าอาวุธเหล็กไม่เพียงพอ
หลังจากที่องค์จักรพรรดิทรงออกว่าราชการในรอบเช้าเสร็จ ก็ได้ตรัสเรียกเซี่ยเชียนมาเข้าเฝ้า
“ท่านขุนนาง ความคิดที่ท่านเสนอออกมาวันนี้นับว่าไม่เลวเลย ไม่กี่วันมานี้ตู้จงก็ได้เตรียมเสบียงจนเกือบจะเต็มแล้ว แต่ตอนนี้ทางชายแดนกลับเริ่มที่จะขาดแคลนอาวุธเหล็ก เรื่องนี้จะจัดการเยี่ยงไรดี”
เซี่ยเชียนขมวดคิ้วเบา ๆ ก่อนที่จะทูลถามขึ้น “สภาพอากาศทางซีเป่ยค่อนข้างแห้ง เป็นการยากที่เหล็กจะขึ้นสนิม เหตุใดพวกเขาจึงเริ่มทูลขออาวุธเหล็กจากราชสำนักกันเล่า?”
องค์จักรพรรดิทรงถอนพระทัย “ยังมีบางส่วนในซีเป่ยที่ท่านยังไม่ค่อยเข้าใจ…ครั้งที่แล้วที่ราชสำนักส่งอาวุธไปคือเมื่อสามปีที่แล้ว”
เซี่ยเชียนไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ราชสำนักผูกขาดอำนาจในการขุดแร่เหล็กและเกลือไว้ทั้งหมด นอกจากอาวุธสำหรับการทำสงคราม โดยปกติที่พวกเขาจะเข้มงวดมากแล้ว แม้แต่ตำแหน่งของเจียงหนิงในราชสำนักก็ยังอยู่เหนืออำนาจ และเขาเองก็ไม่เคยขออาวุธจากกองทัพทางซีเป่ยมาก่อน
โดยปกติองค์จักรพรรดิไม่ได้ทรงคิดอย่างนั้น แต่หลังจากทรงอ่านบันทึกการแจกจ่ายเหล็กที่ฝ่ายกลาโหมส่งมา ก็ตระหนักว่ามันเป็นการยากสำหรับกองทัพซีเป่ย
ค่ายทหารจะต้องเปลี่ยนศาสตราวุธเหล็กยกชุดอย่างน้อยทุกสองปี แต่กองทัพซีเป่ยนอกเหนือจากการสิ้นเปลืองไปในสงครามแล้ว ยังไม่ได้ทูลขอเบิกดาบหรือหอกซักด้ามเดียวจากราชสำนักมาราวสามปีแล้ว
ในช่วงไม่กี่วันมานี้ เซี่ยเชียนเห็นองค์จักรพรรดิทุ่มเทกับเรื่องการศึกในซีเป่ยเป็นอย่างมาก จึงทูลกล่าวด้วยเสียงอบอุ่น “ฝ่าบาทไม่จำเป็นจะต้องทุ่มเทให้กับเรื่องนี้ทั้งหมด ขุนนางเจ้ากรมกลาโหมถึงแม้จะมาจากหนึ่งในฝ่ายตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่มีอิทธิพล แต่อย่างไรเสียมันก็เป็นเพียงแค่หนึ่งจากหกฝ่ายเท่านั้น ทำไมฝ่าบาทจึงไม่ใช้งานเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเหลือบมองเซี่ยเชียนแล้วกล่าวว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าให้หลินเหรามาเตือนข้าว่าลู่หัวบุตรชายของขุนนางกรมกลาโหมกับเหมิงฉิงไปมาหาสู่กันตลอด ไยวันนี้เจ้าถึงให้ข้าใช้งานบิดาของเขากัน?”
เซี่ยเชียนส่ายหน้า “การเตรียมการให้พร้อมเป็นอีกหนึ่งเรื่อง และการไหว้วานคนก็เป็นอีกหนึ่งเรื่อง ใต้เท้าลู่เป็นคนที่มีความสามารถ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถเป็นขุนนางฝ่ายกลาโหมมาได้นานถึงเพียงนี้ หากเพียงเพราะความสัมพันธ์ระหว่างลู่หัวและท่านอ๋องน้อยเป็นเหตุให้ฝ่าบาทไม่ใช้งานฝ่ายกลาโหมเลยด้วยกลัวว่าจะมีปัญหาตามมา ก็อาจจะเป็นเรื่องเกินไปหน่อย”
จักรพรรดิหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยพึมพำ “ท่านเป็นคนที่เตือนข้า แต่วันนี้กลับมาบอกว่าถ้าไม่ใช้งานก็จะเกินไปหน่อย ท่านช่างมีเหตุมีผลเสียจริง ๆ”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากันอยู่ ต๋ากงกงก็เดินเข้าประตูมาอย่างเงียบ ๆ ได้เห็นองค์จักรพรรดิกำลังอ่านสาส์นกราบทูลก็อดยิ้มแล้วทูลถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “ฝ่าบาท สวีเหม่ยเหริน(1)มาถวายน้ำแกงพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะ…”
องค์จักรพรรดิขมวดคิ้ว โดยปกติเขาจะไม่พอพระทัยที่นางกำนัลจากตำหนักในเข้ามาในเวลาทรงงาน แม้แต่พระสนมลี่เฟยที่ทำน้ำแกงได้รสชาติดี นางเองก็ไม่เคยมาในเวลานี้เช่นกัน
เขากำลังจะตำหนิต๋ากงกง แต่ก็กลับได้สติขึ้นมา “เมื่อครู่ที่เจ้ากล่าว ใครมานะ”
ต๋ากงกงตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่สูงไม่ต่ำ “ทูลฝ่าบาทอีกครั้ง สวีเหม่ยเหรินพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิเหลือบมองเซี่ยเชียนโดยไม่รู้ตัว แล้วกล่าวกับต๋ากงกงว่า “ให้นางเข้ามา”
สวีเหม่ยเหรินนางนี้ก็คือสตรีที่เซี่ยเชียนเป็นคนส่งมา เดินทีนางเป็นสาวใช้จากจวนตระกูลเซี่ย
นางมีแซ่ว่าสวี เมื่อเข้าวังครั้งแรกได้เป็นไฉเหริน แต่หลังจากได้ถวายตัวแก่องค์จักรพรรดิแล้วนางก็ได้เลื่อนขั้นเป็นเหม่ยเหริน
ต๋ากงกงออกจากตำหนักไปด้วยความเคารพเพื่อเรียกหาใครสักคน องค์จักรพรรดิก้มพระเศียรลงอีกครั้งเพื่อเริ่มจัดการกับคดีความบนโต๊ะ
หลังจากที่แม่นางสวียกถาดเข้ามา เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง ได้แต่เพียงโบกมือเพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้นางวางของไว้ด้านนั้น
ภายในตำหนักเต็มไปด้วยความเงียบงัน
ต๋ากงกงผู้ซึ่งติดตามองค์จักรพรรดิมาหลายปีแล้ว ความสามารถในการสังเกตคำพูดคำจาของเขาจึงได้รับการฝึกฝนมาจนสมบูรณ์แบบ
ตอนนี้แค่เห็นว่าฝ่าบาทได้แต่ก้มหน้าก้มตาทรงงานบนโต๊ะ ก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่าความคิดของเขาไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่รู้ว่าคิดเรื่องใดอยู่
ต๋ากงกงจึงยิ้มแล้วทูลว่า “ฝ่าบาท น้ำแกงนี้ช่างกระตุ้นความอยากของกระหม่อมจริง ๆ ได้กลิ่นหอมลอยมาตั้งแต่ไกล แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของสวีเหม่ยเหรินนะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิเหลือบพระเนตรขึ้นมามองสตรีที่ยืนก้มหน้าเงียบ ๆ อยู่ทางด้านข้างและไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
เวลานั้นถึงเพิ่งสังเกตได้ว่าบนถาดที่สวีเหม่ยเหรินถือมามีชามลายครามสองใบ
“ให้นายท่านของเจ้าก่อนหนึ่งถ้วย” จักรพรรดิกล่าวขึ้นเบา ๆ
สวีเหม่ยเหรินทูลตอบรับเบา ๆ เช่นกัน
เซี่ยเชียนที่เดิมทีหลับตาอยู่ ครั้นได้ยินเช่นนั้นจึงเหลือบไปมองพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิ หัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากัน
หลังจากที่รอให้สวีเหม่ยเหรินตักน้ำแกงใส่ภาชนะเสร็จ จึงส่งให้กับเซี่ยเชียน ชายหนุ่มรับมาแล้วกล่าวว่า “ขอบพระทัยเหนียงเหนียงเป็นอย่างมาก”
นิ้วเรียวยาวของนางถูกความร้อนจากชามกระเบื้องลวกจนปลายนิ้วสั่นเล็กน้อย ทว่านางทำแค่เพียงหลับตาและไม่กล่าวอะไร
น้ำแกงมีรสชาติไม่เลว หลังจากที่เซี่ยเชียนดื่มหนึ่งชามก็ส่งชามให้กับต๋ากงกง แล้วทูลกับองค์จักรพรรดิว่า “ฝ่าบาท ถ้าไม่มีเรื่องอันใดแล้ว กระหม่อมขอทูลลา”
องค์จักรพรรดิเอ่ยรั้งเซี่ยเชียนเอาไว้ แล้วถามเรื่องอื่นขึ้นมาราวกับว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น “ท่านคิดว่า น้ำแกงของสวีเหม่ยเหรินเป็นอย่างไรบ้าง”
เซี่ยเชียนทูลตอบเบา ๆ “พอใช้ได้”
องค์จักรพรรดิทรงพระสรวล “หากท่านขุนนางที่รักว่าดีก็ดีตามนั้น สวีเหม่ยเหรินเป็นคนไม่เลว เช่นนั้นก็จะเลื่อนขั้นให้เป็นกุ้ยเหรินแล้วกัน”
สวีเหม่ยเหรินคุกเข่าคำนับ “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
การแสดงออกเช่นนี้ ต๋ากงกงมองดูแล้วก็ไม่สามารมองให้เข้าใจได้จริง ๆ
หากกล่าวว่าฝ่าบาททรงขุ่นเคืองพระทัยต่อต้นกำเนิดของสวีเหม่ยเหริน พระองค์คงจะไม่เลื่อนตำแหน่งของนางเพียงเพราะคำพูดของเซี่ยเชียน แต่หากจะกล่าวว่าฝ่าบาททรงไม่สนใจ ก็เห็นได้ว่าทรงมีพระทัยในเรื่องนี้อย่างชัดเจน
ต๋ากงกงลอบถอนหายใจ พระราชดำริขององค์จักรพรรดิครั้งนี้ เป็นเพียงเพราะว่ามีความเกี่ยวข้องกับใต้เท้าเซี่ย ก็เป็นไปได้ที่คนอื่นมองแล้วจะไม่เข้าใจ
เซี่ยเชียนที่ต้องการจะทูลลากลับถูกรั้งเอาไว้ ตรงกันข้ามกับแม่นางสวีและต๋ากงกง ที่เพิ่งจะถูกตรัสให้ออกไป
เวลานี้จึงมีเพียงแค่องค์จักรพรรดิและเซี่ยเชียนสองคนเท่านั้น
จักรพรรดิแสร้งทำเป็นสรวลแล้วกล่าวว่า “หลังจากที่พระสนมสวีเข้ามาในวัง ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับจวนตระกูลเซี่ยแม้เพียงครึ่งเดียว ปกติแล้วนางไม่เคยติดต่อกับราชองครักษ์หลินเหรา ท่านขุนนางส่งคนเข้ามาในวังครั้งนี้ ไม่ใช่ว่าส่งมาผิดหรือไม่”
เซี่ยเชียนทูลตอบด้วยน้ำเสียงเบา ๆ “ตั้งแต่ที่นางออกจากจวนไปก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยอีก ตอนนี้พระสนมสวีเป็นสนมของฝ่าบาท กระหม่อมไม่กล้าที่จะเกินเลย”
องค์จักรพรรดิตรัสต่อว่า “ได้ยินว่าท่านเข้าวังมา ยังนำน้ำแกงมาให้อีก ข้ารู้สึกว่าพระสนมสวียังคิดถึงเรื่องราวครั้งเก่า นับว่าเป็นสตรีที่ดีเลยทีเดียว ”
เซี่ยเชียนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วทูลถามอย่างตรงไปตรงมา “ฝ่าบาทให้กระหม่อมอยู่ต่อ เพียงเพราะจะสนทนากันในเรื่องนางสนมของฝ่าบาทอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ”
องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเซี่ยเชียนอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนเห็นสีหน้าของชายหนุ่มก็ดูสงบเป็นปกติ ก็ทรงสรวลออกมา
เขาส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไร ข้าคิดมากเกินไปเอง”
เดิมทีองค์จักรพรรดิไม่ได้มีพระอุปนิสัยขี้ระแวง แต่หลังจากครองราชย์มาเป็นเวลานาน พระองค์ก็คุ้นเคยกับกลอุบายทุกอย่างทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้แต่กับเซี่ยเชียน พระองค์ก็ยังต้องประคองสติให้ดี
เมื่อพระองค์ดำริถึงความตั้งใจเดิมของเซี่ยเชียนในการส่งคนเข้าวังมา พระองค์ก็โล่งพระทัย
จักรพรรดิทรงตักน้ำแกงให้พระองค์เองพลางเอ่ยชมชายหนุ่ม ในขณะที่กำลังเสวยนั้น พระองค์ก็ตรัสขึ้น “ตอนนี้ตำหนักหลังมีนางสนมน้อยลงแล้ว พระสนมจิ้งและพระสนมหลี่ทั้งสองต่างก็เถียงกันใต้จมูกข้าทุกวี่วัน ยังดีที่ไม่ได้มีเรื่องราววุ่นวายอะไร ไม่อย่างนั้นคงจะเป็นอะไรที่ไร้สาระ ครั้นเมื่อข้ารู้สึกเหนื่อยล้า ก็ไปนั่งข้าง ๆ พระสนมสวี ทำให้ข้ารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก”
เซี่ยเชียนทูลตอบเบา ๆ “ต้องมีสักวันหนึ่งที่ฝ่าบาทจะสามารถทำตามพระทัยได้ ไม่ต้องดูสีหน้าท่าทางของพวกขุนนาง ไม่ต้องกระทำเรื่องราวใดหรือต้องพบเจอกับใครที่ฝ่าบาทไม่โปรด”
องค์จักรพรรดิยกน้ำแกงขึ้นเสวยอีกครั้ง พลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นภายในพระทัย
เซี่ยเชียนเป็นคนเฉลียวฉลาด แค่มองดูก็เห็นถึงความสับสนในพระทัยขององค์จักรพรรดิได้
พระองค์ไม่สามารถไว้วางใจคนที่ออกมาจากจวนของเซี่ยได้อย่างสนิทใจ แต่ก็พบช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนและความสงบสุขที่นี่ จึงเกิดความคิดเพียงต้องการทดสอบ แต่พระองค์เองก็กลัวว่ามิตรภาพระหว่างพระองค์และขุนนางคนสนิทจะพบกับความยากลำบาก
หลังจากที่องค์จักรพรรดิทรงดื่มน้ำแกงจนหมดชามแล้วก็วางชามลายครามลง ทั้งยังกล่าวกับเซี่ยเชียนว่า “ท่านแม่ทัพยังบอกกับข้าก่อนการเดินทางว่าเขาต้องการพาหลินเหราไปซีเป่ยด้วย ข้ามองว่าตอนนี้เหยาเฉาเพียงคนเดียวก็สามารถทำหน้าที่ได้ดี ให้หลินเหราไปซีเป่ยเถิด ท่านจะว่าอย่างไร”
เซี่ยเชียนทูลตอบ “ฝ่าบาทตัดสินใจถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิทรงสรวลเบา ๆ “ท้ายที่สุดนั่นคือหลานชายของท่าน ท่านยินดีที่จะปล่อยให้เขาไปออกรบเช่นนี้ หากเขาเกิดเสียชีวิตขึ้นมาเล่า ถ้าเขาอยู่เคียงข้างข้าคงรู้สึกสบายและมั่นคง เพียงอีกไม่กี่ปีก็จะได้เลื่อนขั้นแล้ว จะน่าเชื่อกว่าไปซีเป่ยเพื่อพึ่งพาตำแหน่งทางการทหารหรือ”
เซี่ยเชียนเหลือบตามองแล้วทูลกล่าวด้วยความจริงจัง “การรบแบบสู้ตายถวายหัวเพื่อชาติและองค์จักรพรรดิเป็นความรับผิดชอบของหลินเหรา ฝ่าบาทไม่ต้องคิดมาก ปล่อยเขาไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเห็นว่าเซี่ยเชียนไม่ได้แสดงสีหน้าถูกบังคับขู่เข็ญ จึงโล่งพระทัยเและโบกพระหัตถ์ให้เขาออกจากวังได้
อำนาจของราชสำนักและเหล่าขุนนางกำลังจะเคลื่อนไหวในเร็ว ๆ นี้ และหลินเหราเองก็ควรจะลับกระบี่ของตนให้คมด้วยเช่นกัน…
………………………………………………………………………………………………………….
ตำแหน่งนางสนมขั้น 4 ชั้นเอก หนึ่งในตำแหน่งยี่สิบเจ็ดนางสนมชั้นสูง ประกอบด้วยตำแหน่ง เจียอวี๋ (婕妤) เหม่ยเหริน (美人) ไฉเหริน (才人) สามตำแหน่งนี้บรรจุตำแหน่งละเก้าคน
สารจากผู้แปล
มันมีอะไรบางอย่างที่สื่อถึงกันระหว่างท่านเซี่ยกับฝ่าบาทโดยมีสวีเหม่ยเหรินเป็นคนกลางนะคะ เห็นฝ่าบาทเรียกเซี่ยเชียนว่า 爱卿 ในฉบับจีนทีไรก็อดยิ้มอรุ่มเจ๊าะไม่ได้เลยสักครั้ง คำนี้มันเป็นคำเรียกขุนนางที่เป็นที่รักที่โปรดปรานน่ะค่ะ
ไหหม่า(海馬)