ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 379 สะใภ้ใหญ่ตั้งครรภ์อีกครั้ง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 379 สะใภ้ใหญ่ตั้งครรภ์อีกครั้ง

บทที่ 379 สะใภ้ใหญ่ตั้งครรภ์อีกครั้ง

เวลาล่วงเลยมาสี่ห้าวันแล้ว

เหยาซูปรึกษากับเหยาเฟิงเรื่องการเดินทางลงใต้อีกครั้ง

วันนี้เหยาซูและสะใภ้ทั้งสองนั่งดื่มชาเป็นเพื่อนแม่เฒ่าเหยา เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้

แม่เฒ่าเหยาทอดถอนหายใจ “รู้ว่าข้าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรจะห้ามเจ้าสองคนพี่น้องแล้ว เพียงแต่ว่าอาซู กิจการดีแล้วก็เสริมให้ดีขึ้นอีกได้ แต่อย่าเอาตัวเองลงไปทำงานหนักเกินไป”

หญิงสาวยังไม่ทันจะเอ่ยปาก สะใภ้ใหญ่ยิ้มกล่าวเพื่อช่วยให้น้องสามีหลุดพ้นการหว่านล้อม “ท่านแม่ ดูท่านพูดเข้า มีใครไม่รู้บ้างว่าอาซูเชื่อฟังท่านมากที่สุด ในทางกลับกันการเดินทางลงใต้ไม่ได้ยากลำบากอะไร ระหว่างทางก็มีพี่ใหญ่คอยดูแล ไม่อดอยากแน่นอนเจ้าค่ะ ท่านวางใจเถอะ”

สะใภ้รองเองก็กล่าวขึ้น “ใช่เจ้าค่ะ อาซูมีนิสัยรักอิสระ ถ้าหากว่ารั้งนางเอาไว้ จะทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกวิตกกังวลนะเจ้าคะ”

แม่เฒ่าเหยามองสะใภ้ทั้งสองของตน ก็อดที่จะตำหนิไม่ได้ “เอาละ พวกเจ้าไม่กี่คนพยายามหาเหตุผลมาอธิบายให้กับคนแก่อย่างข้า ท้ายที่สุดแล้วมันสมเหตุสมผลหรือไม่”

เหยาซูคว้าแขนผู้เป็นมารดาเอาไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และกล่าวขึ้นอย่างร่าเริง “ท่านแม่ พี่สะใภ้ทั้งสองพูดแทนข้า ไม่ดีหรือเจ้าคะ”

แม่เฒ่าเหยาแสร้งเบิกตากว้าง “อายุตั้งยี่สิบกว่าแล้ว ยังมาออดอ้อนแม่อยู่อีก หากเด็ก ๆ มาเห็นเข้าจะว่าอย่างไร”

พูดจบก็อดที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้

สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองก็พูดคุยสิ่งดี ๆ กับเหยาซูมาแล้วก็ไม่น้อย นางเกลี้ยกล่อมแม่เฒ่าเหยาด้วยรอยยิ้ม ในใจไม่มีความรู้สึกคัดค้านแม้แต่น้อย

หญิงชรานั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ มองดูหญิงสาววัยเยาว์ที่รายล้อมอยู่ข้างตน อีกคนสวยกว่าอีกคน ภายในใจก็อดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ “อาจวน อาเวย และอาซู พวกเจ้าก็ต่างเป็นลูกของข้า วันข้างหน้าถ้าพ่อแม่อายุมากขึ้น ก็ต้องมีวันที่ข้าไม่สามารถดูแลพวกเจ้าได้ ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่พวกเจ้าก็ล้วนเป็นคนในตระกูลเดียวกัน ระหว่างทางที่เหลือก็ต้องดูแลกันและกัน เข้าใจไหม?”

จู่ ๆ หัวใจของเหยาซูก็รู้สึกชาวาบ ส่วนทางฝั่งพี่สะใภ้สองคนของตระกูลเหยารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

สะใภ้รองอดทนไม่ไหวจึงกล่าวขึ้น “ท่านแม่ วันที่มีความสุขเช่นนี้ เหตุใดจึงพูดอะไรที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดใจเล่าเจ้าคะ พวกเราก็หวังให้ท่านอยู่เลี้ยงดูพวกต้าหลาง เอ้อหลาง ให้เติบใหญ่”

คำพูดนี้ ทำให้ทุกคนแม้กระทั่งแม่เฒ่าเหยาเองก็หัวเราะออกมา

เหยาซูเองก็หัวเราะจนต้องเอนศีรษะไปพิงไหล่ของผู้เป็นแม่ “ท่านแม่ ข้ากับพวกพี่สะใภ้อารมณ์ดีเยี่ยงนี้ พวกเด็ก ๆ ตั้งแต่เล็กจนโตจะต้องคอยช่วยเหลือกันแน่ ท่านวางใจเถอะเจ้าค่ะ”

แม่เฒ่าเหยาพยักหน้า รอยยิ้มภายในดวงตาไม่ได้จางหายไป “พวกเด็ก ๆ เป็นคนดี ข้าเองก็อยากจะอยู่ดูพวกเขาเติบโต แต่งงานและมีกิจการเป็นของตัวเอง เกรงว่าข้าจะไม่อาจอยู่ถึงเวลานั้นได้”

กล่าวเช่นนั้น แม่เฒ่าเหยาตบแขนของเหยาซู เพื่อบอกให้นางยืนขึ้น

แม่เฒ่าเหยามองสะใภ้ใหญ่ หญิงชรายิ้มแล้วกล่าวว่า “เมื่อเช้าเจ้าบอกเรื่อง ๆ ดีกับข้า เจ้าบอกกับอาซูกับอาเวยด้วยสิ ทำให้พวกเขามีความสุข”

สะใภ้รองรู้สึกอ่อนไหวกับสิ่งนี้ขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็เหลือบมองท้องของพี่สะใภ้ใหญ่

เหยาซูยังไม่เข้าใจจึงคลี่ยิ้ม “ท้ายที่สุดพี่สะใภ้ใหญ่มีเรื่องอะไรหรือ ทำไมถึงบอกท่านแม่ก่อน แล้วปิดบังพวกเราเล่า”

ใบหน้าของสะใภ้ใหญ่เผยให้เห็นรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น นางใช้มือลูบไปที่ท้องแล้วกล่าวขึ้นเบา ๆ “เรื่องนี้ข้าเองก็เพิ่งรู้เมื่อเช้านี้…”

เมื่อมองสีหน้าของหญิงสาว และสิ่งที่แม่เฒ่าเหยาเอ่ยขึ้นเมื่อครู่ เหยาซูยังมีอะไรไม่เข้าใจอีกหรือ

ทันใดนั้นนางก็ดึงเเขนของพี่สะใภ้ใหญ่ หญิงสาวยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “พี่สะใภ้ใหญ่! พี่สะใภ้ใหญ่! บ้านของพวกเราจะมีเด็กเพิ่มขึ้นอีกแล้วใช่ไหม?”

ไม่รอให้พี่สะใภ้ใหญ่ได้เอ่ยพูด แม่เฒ่าเหยาก็กล่าวอย่างโกรธเคือง “อาซู! ปล่อยพี่สะใภ้ เจ้าทำให้นางตกใจหมด เหตุใดจึงกระโดดโลดเต้นเหมือนอาซือเช่นนี้เล่า”

สะใภ้ใหญ่ส่ายหัว “ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะท่านแม่”

ภายในใจของเหยาซูดีใจมาก หญิงสาวหันไปคุยกับพี่สะใภ้รองอีกครั้ง ทั้งสองเริ่มทายกันว่าเด็กในครรภ์ของพี่สะใภ้ใหญ่จะเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง…

แม่เฒ่าเหยายิ้มแล้วสนทนากับพวกเขาอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะบอกให้พวกเขากลับไป

ระหว่างทางเหยาซูและพี่สะใภ้ใหญ่พูดคุยเกี่ยวกับการดูแลทารกในครรภ์ ไม่ได้สังเกตว่าปกติสะใภ้รองที่มีชีวิตชีวา ครั้งนี้ได้แต่ฟังพวกเขาสนทนากันเงียบ ๆ โดยที่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

……

ตกกลางคืน เหยาเฉากลับบ้านมาถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว

ชายหนุ่มไม่ต้องการที่จะปลุกภรรยาและลูก จึงตัดสินใจที่จะนอนอยู่นอกห้อง แต่เมื่อเห็นว่าตะเกียงไฟในห้องยังสว่างอยู่ ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปในห้องพลางคิดว่าอาเวยลืมดับไฟหรือไม่

แต่เมื่อกำลังจะเข้าห้อง ก็เห็นหญิงสาวนั่งอยู่ใต้แสงตะเกียง จึงเกิดความรู้สึกงุนงง

ภายในจิตใจของเหยาเฉารู้สึกขบขัน ชายหนุ่มค่อย ๆ เดินไปด้านหลังเซียงเวยเงียบ ๆ หลังจากนั้นก็กอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนแล้วกล่าวด้วยเสียงเบา ๆ “ดึกขนาดนี้ทำไมยังไม่นอน กำลังนั่งคิดอะไรอยู่ หรือว่าคิดถึงสามีอยู่ใช่หรือไม่”

เซียงเวยสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาและก็ไม่ได้หันกลับไปมอง

เหยาเฉารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงรีบปล่อยภรรยาของตนแล้วเดินไปข้างหน้าภรรยาก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้น “เป็นอะไรไป นอนไม่หลับใช่ไหม หรือว่ามีเรื่องใดรบกวนใจ?”

เซียงเวยยังคงไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่จ้องมองเหยาเฉาด้วยแววตาสั่นไหว

ดวงตาคู่ที่สวยงามค่อย ๆ แดงขึ้น หยาดน้ำสีใสพลันไหลรินลงมา ดูเหมือนว่าก่อนหน้านั้นร้องไห้มาแล้ว

แม้ว่าภรรยาของเขาจะพยายามปกปิดมันอย่างเต็มที่ แต่ชายหนุ่มก็ดูออก

ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ ภรรยาของตน เขาจับมือที่เรียวยาวที่อยู่บนตักของเซียงเวย แล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่อ่อนโยน “อาเวย เกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าบอกข้าได้ไหม”

หากชายหนุ่มไม่สังเกตเห็น บางทีเขาอาจจะสับสนตลอดทั้งคืนว่าเซียงเวยก็ไม่ได้เป็นอะไร

เมื่อได้เสียงเสียงที่อบอุ่นของชายหนุ่มที่ตนรัก หญิงสาวก็ทนไม่ได้อีกต่อไป ดวงตาก็กลับมาแดงเรื่ออีกครั้ง

เซียงเวยเป็นคนเข้มแข็ง ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าเหยาเฉามาก่อน

เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงปฏิเสธที่จะกล่าวอะไร สีหน้าของชายหนุ่มก็เริ่มกลัดกลุ้มใจขึ้นมา จึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงเบา ๆ “หรือเป็นเพราะว่าช่วงนี้ข้ากลับบ้านมาดึกเกินไป เลยไม่มีเวลาให้เจ้ากับลูก อาเวย ข้าขอโทษ ข้าไม่ดีเอง…”

เซียงเวยสูดจมูกและน้ำตาก็ร่วงลงมาราวกับไข่มุกที่ร่วงจากสาย

“ไม่ใช่เรื่องนั้น”

หญิงสาวส่ายหัว

เหยาเฉาตื่นตระหนกเล็กน้อย จึงรีบคว้าแขนเสื้อแล้วเช็ดน้ำตาให้ภรรยา กล่าวขึ้นว่า “เอาละ เอาละ ข้าไม่ดีเองที่ทำให้เจ้าเสียใจ เจ้าหยุดร้องไห้ก่อน เเล้วบอกข้าว่าเพราะเหตุใด ถ้าข้ารู้เหตุผลแล้ว เจ้าจะตีข้าหรือจะด่าข้า ก็แล้วแต่เจ้าเลย”

เซี่ยงเวยมองสามีที่อยู่กับนางมาตลอดหลายปีทั้งน้ำตา หญิงสาวเพียงแค่เอ่ยขึ้นอย่างเบา ๆ “ใครจะอยากด่าอยากตีท่านกัน!”

ชายหนุ่มยิ้ม ใบหน้าขาวนวลราวกับดวงจันทร์ที่สดใสหลังจากเมฆสีดำได้สลายไป ทำผู้มองขาดสติไปครู่หนึ่ง

เซียงเวยพูดด้วยความโมโห “ใครใช้ให้ท่านยิ้ม!”

เหยาเฉาหยุดยิ้มทันใด

ชายหนุ่มกำลังจะเริ่มพูด เซียงเวยก็กล่าวขึ้น “ใครอนุญาตให้ท่านพูด!”

ชายหนุ่มปิดปากอย่างเชื่อฟัง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เซียงเวยขมวดคิ้ว “ท่านทำหน้าบูดบึ้งทำไม”

เหยาเฉาตอบ “เจ้าไม่ให้ข้าพูด ไม่ให้ข้ายิ้ม ทั้งยังร้องไห้เงียบ ๆ คนเดียว…ในฐานะสามีนอกจากนั่งดูเจ้าร้องไห้ ข้าจะทำอะไรได้อีกเล่า”

เซี่ยงเวยไม่ได้พูดอะไร

เหยาเฉาเอ่ยมุกตลกเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าภรรยาของตนไม่หงุดหงิดแล้วจึงดึงแขนทั้งสองข้างของนางขึ้น แล้วกล่าวถามขึ้นอีกครั้ง “วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ปกติเจ้าไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าข้า”

สะใภ้รองเหยากัดริมฝีปากล่าง แล้วกล่าวขึ้นเบา ๆ “ก็ไม่ได้มีอะไร เพียงแต่ว่าพี่สะใภ้ใหญ่ตั้งภรรภ์ เดิมทีข้าไม่ได้มีความสุขอะไรมากมาย แต่กลับมีความสุขมากขึ้น ความรู้สึกภายในใจก็มากขึ้นเรื่อย ๆ”

นางกับเหยาเฉาเป็นเช่นนี้มาตลอด ภายในใจมีความคิดอะไรก็จะพูดออกมาอย่างเปิดเผย

เหยาเฉาได้ยินเช่นนั้น แทนที่จะหัวเราะเยาะจิตใจที่อ่อนไหวของภรรยาตามอย่างที่เซียงเวยจินตนาการไว้ ชายหนุ่มกำมือของนางและกล่าวขึ้นเบา ๆ “อาเวย ข้าเข้าใจแล้ว สองปีมานี้ ข้ามาเป็นขุนนางในเมืองหลวงแล้วปล่อยให้เจ้าอยู่คนเดียว เป็นข้าที่ละเลยเจ้าเอง เเม้ตอนนี้เราจะอยู่ด้วยกันแต่ข้ากลับไม่มีเวลาให้เจ้าเลย”

ฟังชายหนุ่มกล่าวความในใจของตนออกมา เซียงเวยเองก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ น้ำตาจึงได้เริ่มไหลรินอีกครั้ง

เหยาเฉาเช็ดน้ำตาให้ภรรยาแล้วกล่าวขึ้น “เรื่องของลูกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป พวกเรายังอายุไม่มากยังมีโอกาสที่จะมีลูกได้อีก แต่ว่าเจ้าลิงเอ้อหลาง ยังทำให้เจ้าเป็นกังวลใจไม่พออีกหรือ ถ้าหากว่ามีเอ้อหลางน้อยอีกหนึ่งคน เกรงว่าพวกเขาจะพลิกหลังคาบ้านออกมาเล่นเสียกระมัง”

แก้มของสะใภ้รองแดงขึ้น หญิงสาวเมินหน้าหนี “ใครจะอยากมีลูกกับท่านกัน ไปมีกับคนอื่นนู่น! สาวใหญ่สาวน้อยในเมืองหลวงค่อย ๆ แอบอ้างชื่อของท่านลับหลังข้า ขนาดตอนที่ออกไปทำงานตั้งแต่เช้า ยังมีคนรอแอบมองท่านอยู่ที่ทางแยก!”

สีหน้าของชายหนุ่มหมดหนทาง กำลังนึกว่าภรรยาของตนกำลังกล่าวถึงใคร และแก้ต่างให้ตัวเอง “เจ้ากำลังพูดถึงแผงขายซาลาเปาหรือไม่? พวกเขาขายอาหารเช้า…”

อาเวยเพียงแค่กล่าวขึ้นว่า “คนขายอาหารเช้าจำชื่อท่านได้ชัดเจนขนาดนี้เชียวหรือ”

เหยาเฉาอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “เจ้าลืมไปแล้วหรือ ตอนที่ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าครั้งที่แล้วลืมเอาเงินไปด้วย ข้าเลยบอกเขาว่าบ้านอยู่ตรงไหน และให้นางไปเอาเงินที่บ้าน”

เซียงเวยครุ่นคิด แล้วก็นึกถึงเรื่องนี้ได้ หลังจากนั้นนางก็นั่งลงที่ด้านข้าง ๆ แล้วไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

เหยาเฉารู้ว่าตอนนี้ภรรยาของตนอารมณ์ยังไม่ค่อยดี ชายหนุ่มจึงไม่ยึดติดกับเรื่องนี้นัก จึงกล่าวขึ้นอย่างอบอุ่น “เอาละ เลิกน้อยใจข้าได้แล้ว ดีไหม พี่ใหญ่จะมีลูกแล้ว อาเวย ข้าเองก็อยากมีลูกสาว…”

เซียงเวยมองตาชายหนุ่ม อดที่จะเอ่ยขึ้นไม่ได้ “ท่านบอกว่าอยากมีลูกสาวก็จะได้ลูกสาวหรือ ถ้าลูกสาวมีนิสัยถอดแบบจากเอ้อหลางออกมาเล่า ท่านจะไม่ทิ้งให้ข้าเลี้ยงหรือ”

“ฮ่า ๆ” เหยาเฉาหัวเราะ “ถ้าเป็นลูกชายข้าก็ชอบ ใครจะปล่อยทิ้งให้เจ้าเลี้ยง พวกเราช่วยกันเลี้ยงตั้งแต่เขายังเป็นทารกขาว ๆ อ้วน ๆ ให้เติบโตขึ้นอย่างไรเล่า”

เซียงเวยเองก็หัวเราะออกมา

ชายหนุ่มสังเกตว่าเหยาเอ้อหลางไม่ได้นอนกับแม่ของเขาวันนี้ และไม่รู้ว่าถูกนางส่งตัวออกไปหรือว่าอย่างไร

เหยาเฉาเห็นว่าภรรยาของตนก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ชายหนุ่มจึงค่อย ๆ จูบไปที่ริมฝีปากของหญิงสาว แล้วการจุมพิตนั้นก็เริ่มลึกซึ้งขึ้น…

เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนที่เซียงเวยจะตื่น ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ แล้วออกไปทำงานที่วัง

หลังจากที่ชายหนุ่มไปแล้ว หญิงสาวก็พลิกตัวขึ้นมากอดหมอนที่ซ้อนนางอยู่เงียบ ๆ แล้วก็เผลอหลับไปอีกครั้ง

หลังจากที่หญิงสาวหลับไปแล้ว เมื่อแสงแดดเริ่มแยงตา เสียงของเอ้อหลางก็ดังลั่นทั่วทั้งลานบ้าน ไม่รู้ว่าเขาตะโกนด้วยเหตุใด

“เอ้อหลาง!”

หญิงสาวตะโกนขึ้น หลังจากนั้นนางจึงรู้ตัวว่าเสียงของตนแหบแห้งเล็กน้อย

เด็กชายกระโจนเข้าไปในบ้านพร้อมกับเนื้อตัวสกปรกมอมแมม และเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านแม่ ท่านตื่นได้แล้ว ”

เซียงเวยได้ลุกขึ้นนั่งแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเห็นลูกชายอยู่ในสภาพจนตรอก นางก็พลันขมวดคิ้วมุ่นแล้วเอ่ยถามว่า “เช้าแบบนี้เจ้าไปวิ่งซนที่ไหนมา”

เหยาเอ้อหลางตอบด้วยความคึกคัก “วันนี้อาจื้อชวนข้าไปจวนตระกูลไป๋ขอรับ ได้ยินมาว่าจวนตระกูลไป๋มีน้องสาวตัวน้อยอายุราว ๆ อาซือ บ้านของนางยังมีสระน้ำขนาดใหญ่ พวกเราจะไปตกปลากัน…”

พูดพลางก็ยื่นมือออกไปในอากาศ สะใภ้รองรู้สึกปวดหัวไม่น้อย

หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ไปตกปลา ไปในสภาพอย่างตอนนี้ของเจ้า จะมีประโยชน์อันใด”

เอ้อหลางกล่าวขึ้นอย่างไม่สนใจ “พวกเราไปจับไส้เดือนมาขอรับ”

สะใภ้รองเชื่อว่าคำว่า ‘พวกเรา’ มีเพียงแค่เหยาเอ้อหลางหนึ่งคนแน่นอน

หญิงสาวก้าวลงจากเตียง พลางสอนลูกชาย “อาซือไม่ชอบไส้เดือน ต้าหลางเองก็จะไม่ตามเจ้าที่ชอบก่อกวน ข้าเห็นว่าช่วงนี้เจ้าประหลาดพิกล เมื่อคืนข้าก็ได้คุยกับท่านพ่อเจ้าแล้ว ได้เวลาดูแลเจ้าให้เป็นอย่างดีแล้ว”

เอ้อหลางหัวเราะ โดยไม่ปฏิเสธ

เซียงเวยรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็กล่าวออกมาว่า “เอาละ รีบไปล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า ไปเป็นแขกของบ้านอื่นต้องมีมารยาท เข้าใจไหม”

เรื่องความตั้งใจของตระกูลไป๋ที่จะแต่งงานกับอาจื้อ ครอบครัวตระกูลเหยาตระหนักดีถึงเรื่องนี้ พี่สะใภ้รองเหยาจึงเอ่ยกำชับเอ้อหลางอีกสองสามคำ เพราะกลัวว่าลูก ๆ ของพวกเขาจะเล่นสนุกกันเกินไปและจะทำให้เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ร้องไห้

“อื้ม อื้ม” เหยาเอ้อหลางตอบกลับ เด็กชายเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็หยิบไส้เดือนแล้วออกจากประตูทันที

………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

คู่ของพี่เฉาน่ารักจังค่ะ กลัวจะน้อยหน้าคู่พี่ใหญ่สินะ เลยตัดสินใจทำน้องให้เอ้อหลางกันทันทีเลย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท