ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 413 เด็ก ๆ เล่นกัน

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 413 เด็ก ๆ เล่นกัน

บทที่ 413 เด็ก ๆ เล่นกัน

คนเราหากความคิดหยั่งรากลึกลงไปในก้นบึ้งของหัวใจแล้ว ย่อมกระทบจิตใจได้ง่ายดาย และจมอยู่ในนั้นเป็นเวลาเนิ่นนาน

เหยาซูก็เป็นเช่นนี้

นับตั้งแต่ที่เหยาซูป่วย ความคิดที่จะเดินทางไปซีเป่ยยังคงตามหลอกหลอนนางมาตลอด ระหว่างที่นั่งอยู่ในห้องนอน ก็เอาแต่ครุ่นคิดว่าจะออกเดินทางอย่างไร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไปถึงซีเป่ยแล้ว นางจะหาตัวหลินเหราได้อย่างไร?

ระหว่างที่ล้มป่วย เหยาซูได้เขียนจดหมายไปยังซีเป่ยหลายฉบับ ถ้าหลินเหรามีโอกาสได้เห็น ย่อมรู้แผนการของนางอย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่เคยตอบกลับมาเลยสักครั้ง…

เรื่องที่เหยาซูอยากไปซีเป่ย มีเพียงอาซือเท่านั้นที่รู้ ในช่วงสองวันนี้เด็กหญิงตัวน้อยจึงอยู่ข้างกายผู้เป็นแม่ไม่ห่าง ใครจูงไปไหนก็ไม่ไป

“อาซือ วันนี้พี่เถิงมาหานะ เจ้าไม่ไปเล่นเป็นเพื่อนเขาหน่อยหรือ?”

อาซือได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นแม่ และถามว่า “วันนี้ท่านแม่จะไปไหนเจ้าคะ?”

ครั้นเหยาซูเห็นนางตามติดแจเหมือนตังเมก็อดขบขันในใจไม่ได้ ก่อนจะพูดว่า “วันนี้แม่ไม่ได้ไปไหน อยู่แต่ในจวน อยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้าไม่ดีหรือ?”

อาซือคล้ายจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็พยักหน้าและตอบกลับว่า “ดีเจ้าค่ะ”

เรื่องที่เหยาซูไม่รู้แน่ชัดคือ เดิมทีอาซือคิดว่าที่เถิงเอ๋อมาวันนี้ เป็นแผนการของเหยาซู เพื่อให้นางหาโอกาสหลบหนีไป

แต่ครั้นได้ยินเหยาซูบอกว่าจะไม่ไปไหน หินก้อนใหญ่ในใจของอาซือจึงร่วงหล่นลงพื้น

หลังจากเด็กน้อยอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ก็ออกไปกินอาหารเช้ากับเหยาซู กระทั่งได้ยินคนรับใช้เข้ามารายงาน บอกว่าคนในจวนเจี่ยงมาถึงแล้ว

เด็กทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้เจอกันหลายวัน อาซือรีบรุดหน้าออกไปต้อนรับอยู่หน้าประตูทันที วันนี้นางได้เห็นเถิงเอ๋อขี่ม้ามา จึงอดตะโกนเรียกเขาด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “พี่เถิง!”

เถิงเอ๋อมีสุขภาพร่างกายดีขึ้นมากนับตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ไม่ได้ป่วยบ่อยเพียงนั้นแล้ว จึงไม่ต้องหยุดพักตลอดเวลาเหมือนอย่างเคย

ร่างกายของเขาดูสูงขึ้นไม่น้อย ตอนนี้สามารถขี่ม้าที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีตัวหนึ่งได้ ซึ่งแลดูโตเป็นหนุ่มขึ้นมากทีเดียว

เมื่อเห็นอาซือจากที่ไกล ๆ เถิงเอ๋อก็คลี่ยิ้ม “อาซือ”

เด็กหญิงรอเขามาหยุดอยู่หน้าของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “เหตุใดพี่เถิงไม่นั่งรถม้าแล้วเจ้าคะ?”

เขาลงจากหลังม้า เดินมาข้างกายของอาซือแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ช่วงนี้ฤดูสารทอากาศเย็นสบาย ไม่ได้ร้อนอบอ้าวเหมือนกับฤดูร้อน จึงไม่ต้องนั่งรถม้า”

วันนี้เถิงเอ๋อสวมชุดสีน้ำเงินทั้งตัว ชายเสื้อสั้น แขนเสื้อถูกมัดไว้ ครั้นเห็นแล้วสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันอบอุ่นที่ลดน้อยลง แต่เพิ่มความองอาจผ่าเผย

อาซือมองพิจารณาเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าครู่หนึ่ง ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “พี่เถิงในชุดนี้ดูหล่อเหลายิ่งนัก ขี่ม้าก็มีสง่าราศี ไว้ข้าขี่ม้าเป็น เราค่อยไปขี่ม้าเล่นในชานเมืองด้วยกัน ดีหรือไม่?”

เถิงเอ๋อจูงม้าให้คนรับใช้ของจวนเหยา จากนั้นเด็กทั้งสองคนก็เดินเคียงบ่าเคียงไหล่เข้าไปในจวน กระทั่งเขาตอบรับไปว่า “ท่านแม่ของข้ายังเลี้ยงม้าแดงอีกตัว ถ้าเจ้าชอบ มาเล่นที่บ้านข้าได้นะ”

ดวงตาคู่นั้นของอาซือเปล่งประกาย ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก “เยี่ยมไปเลย! เราสัญญากันแล้วนะเจ้าคะ?”

เถิงเอ๋อพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “สัญญา”

เรื่องที่เถิงเอ๋อไม่ได้บอกอาซือก็คือม้าแดงที่เขาบอก เป็นม้าที่เขาเตรียมไว้ให้อาซือแต่แรกแล้ว

เขาบอกกับเจี่ยงฉีว่าอยากขี่ม้า จึงให้มารดาของตนไหว้วานคนให้เตรียมม้าสองตัว ใหญ่หนึ่งตัว เล็กหนึ่งตัว

อาซือยิ่งคิดก็ยิ่งเบิกบานใจ นางไม่เคยสนใจอยากขี่ม้ามาก่อน แต่เมื่อเห็นท่าทางขี่ม้าของพี่เถิง ตัวเองจึงอยากขี่ม้าขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

เด็กสาวดึงแขนเสื้อของเถิงเอ๋อพลางถามซ้ำอีกครั้ง “ม้าแดงตัวนั้นใหญ่แค่ไหนหรือ? เชื่องหรือไม่? ข้าจะขี่ได้จริง ๆ หรือ?”

เถิงเอ๋อพูดอย่างอารมณ์ดี “ก็เล็กกว่าตัวที่ข้าเพิ่งขี่เมื่อครู่เท่าหนึ่ง นิสัยอ่อนโยน ท่านแม่เลี้ยงตั้งแต่ยังไม่เชื่อง วันหน้าเจ้าค่อยไปจวนของข้า และจะได้เป็นเจ้าของมัน”

อาซือเบิกตากว้างจนเกือบจะถลนออกมา “พี่เถิงพูดจริงหรือ?”

ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กน้อยเปล่งประกาย งดงามยิ่งกว่าน้ำพุใสที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา

เด็กชายพยักหน้า แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “พี่เถิงไม่มีทางหลอกเจ้า ถ้าอาซือชอบ ข้าจะให้ม้าตัวนั้นกับเจ้า”

อาซือยิ้ม แก้มอันผุดผ่องทั้งสองข้างเผยลักยิ้มบุ๋มลึกออกมา ครั้นเถิงเอ๋อเห็นแล้วก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ พยายามยับยั้งใจไม่ให้ยื่นมือออกไปกดลักยิ้มของนาง

ที่เด็กหญิงดีใจไม่ใช่เพราะม้าที่ตัวเองได้รับ แต่เพราะคำพูดของเถิงเอ๋อ

อะไรก็ได้ขอแค่นางชอบ ก็พร้อมจะยกม้าตัวนั้นให้นาง…

อาซือครุ่นคิด ต่อให้พี่เถิงไม่ให้ม้า ไม่ว่าจะให้สิ่งของอะไร นางก็ล้วนแต่ดีใจทั้งสิ้น

เด็กหญิงลืมตัวดึงแขนเสื้อของเถิงเอ๋อตลอดทาง ทว่าเถิงเอ๋อก็ไม่ได้เตือนอะไร ปล่อยให้นางลากตัวเองเข้าไปในลานเล็กต่อไป

แสงแดดในฤดูสารทไม่ได้ร้อนระอุนัก เหยาซูนั่งอยู่บนม้าหินอ่อนในลานบ้าน กำลังศึกษาบันทึกการเดินทางเล่มหนึ่ง

ตรงหน้าของนางมีขนมและชาดอกไม้วางอยู่ บนม้าหินอ่อนถูกปูด้วยเบาะรองนั่งที่อ่อนยวบ ดูจะสบายมากทีเดียว

ครั้นเห็นเด็กทั้งสองคนเดินเคียงบ่าเคียงไหล่เข้ามา เหยาซูก็วางม้วนตำราโบราณในมือลง

เถิงเอ๋อเดินเข้าไปใกล้ แล้วพูดอย่างสุภาพว่า “ท่านอาซูขอรับ”

เหยาซูมองไปทางเขาแวบหนึ่ง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สองสามวันนี้ข้าเหมือนจะมึนงง ไม่รู้เป็นอะไร? ดูท่าทางเถิงเอ๋อจะสูงไม่น้อยเชียวนะ?”

อาซือไม่รอให้คนข้างกายได้พูด ชิงพูดก่อนว่า “ท่านแม่! ท่านแม่มองดูดี ๆ สิ พี่เถิงสูงขึ้นมาก สูงกว่าท่านพี่อีกเจ้าค่ะ”

เรื่องที่ผู้ใหญ่มักชอบทำที่สุด คือการสั่งให้พวกเด็ก ๆ หันหลังชนกันเพื่อเปรียบเทียบความสูง เหยาซูก็ไม่ได้รับข้อยกเว้น

หญิงสาวออกคำสั่งทันที “พวกเจ้าลองยืนเทียบกันก็รู้แล้ว เมื่อสองสามวันก่อนอาซือเพิ่งจะเทียบกับอาจื้อไป ข้าขอดูหน่อยสิว่าเจ้าจะถึงระดับไหนของเถิงเอ๋อ…”

อาซือและเถิงเอ๋อยืนเทียบกันอย่างว่าง่าย เหยาซูมอบแวบหนึ่งแล้วคลี่ยิ้ม “เถิงเอ๋อสูงขึ้นจริง ๆ ด้วย อาซือสูงระดับหัวคิ้วของอาจื้อ แต่กลับสูงถึงเพียงระดับจมูกของเถิงเอ๋อ”

เถิงเอ๋อหมุนตัวกลับไป จากนั้นก็ดึงมือของอาซือไว้แล้วพูดกับเหยาซูว่า “ข้าอายุมากกว่าอาจื้อ ย่อมสูงกว่าเขาเป็นธรรมดาขอรับ”

เหยาซูเห็นลูกสาวแสนโง่เขลาของตัวเองถูกเจ้าตัวจูงมือไว้เช่นนั้น จึงกลั้วหัวเราะ พร้อมกับพยักหน้า ใบหน้าแสดงสีหน้าจนปัญญา จากนั้นพวกเขาก็ไป

นาวพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “วันนี้พวกเจ้าจะทำสิ่งใด?”

เถิงเอ๋อมองไปทางอาซือแวบหนึ่ง เหมือนกับตั้งใจฟังอาซือ

เด็กหญิงพยักพเยิดหน้า มองเข้าไปในดวงตาของผู้เป็นแม่และถามนาง “วันนี้ท่านแม่ไม่ออกไปข้างนอกใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

เหยาซูแตะบันทึกการเดินทางบนโต๊ะ และพูดว่า “แม่ไม่หลอกเจ้าหรอก วันนี้ไม่ออกไปไหน”

ดวงตาคู่นั้นของอาซือโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว ก่อนจะพยักหน้าและพูดว่า “เช่นนั้นข้าและพี่เถิงไปจับปลาหลังจวนนะเจ้าคะ! ป้าสะใภ้รองเลี้ยงปลาไว้ในสระน้ำไม่ใช่หรือ? รอข้าจับปลาได้สองสามตัว ข้าจะนำปลามาให้ท่านแม่ตุ๋นน้ำแกงสำหรับคืนนี้”

เหยาซูยิ้ม แล้วส่ายหน้าพลางพูดว่า “แล้วแต่พวกเจ้า แต่ระวังตัวด้วยนะ อย่าลงไปลึกมากนัก อากาศเย็นเช่นนี้เปียกน้ำแล้วจะไม่สบายเอาง่าย ๆ”

เด็กทั้งสองคนตอบรับหนึ่งเสียง อาซือพาเถิงเอ๋อไปหยิบยืมแหอวนจากคนหลังจวน

วันนี้เหยาซูรู้สึกเหนื่อยล้า เดิมทีไม่ได้ตั้งใจจะเคลื่อนไหวตัวนัก โชคดีที่เด็กทั้งสองคนพากันไปเล่นเอง นางจึงได้มีเวลาพักผ่อน จึงหยิบม้วนตำราโบราณบนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง

สำนวนการเขียนของนักเขียนบันทึกดูราบเรียบ แต่ความรู้สึกของประเพณีในเนื้อหาช่างน่าสนใจไม่น้อย

เนื้อหาที่นักเขียนจรดปลายปากกาคือซีเป่ย

อาซือและเถิงเอ๋อไปหยิบยืมแหอวน ตะกร้าไม้ไผ่ จากนั้นก็พากันไปในสระน้ำทันที

ครั้นเถิงเอ๋อเห็นท่าทางกระตือรือร้นของนาง ก็อดเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจไม่ได้ “เหตุใดวันนี้อาซือถึงได้อยากมาจับปลาล่ะ?”

เด็กสาวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดว่า “ก็เพราะพี่รองน่ะสิ เลยถือโอกาสตอนที่เขาไม่อยู่ เรามาจับปลาตัวใหญ่ในสระน้ำนี้ให้หมดเกลี้ยงเลย เมื่อเขากลับมาจะได้โกรธ”

เถิงเอ๋อยิ้ม จากนั้นก็รับตะกร้าสานจากมือของอาซือ แล้วเอ่ยถามเธออย่างไม่คิดอะไร “เอ้อหลางยั่วโมโหเจ้าอีกแล้วหรือ?”

อาซือแบะปาก แล้วบ่นพึมพำ “พี่รองน่ารังเกียจที่สุด ข้าจะสั่งสอนความเอาแต่ใจของเขา”

เถิงเอ๋อเห็นอาซือไม่ลงรายละเอียด จึงไม่ได้ถามมากความนัก แค่ช่วยนางจับปลา แล้วเดินไปยังริมสระน้ำ

หลังจวนของนางไม่ถือว่าใหญ่นัก สระน้ำแห่งนี้เหมือนกับสระบัวที่ตระกูลไป๋สามารถแล่นเรือสัญจรได้ เพียงแต่มันเล็กกว่าเล็กน้อย แต่สามารถเลี้ยงปลาได้เหลือเฟือ

ริมสระเป็นพุ่มไม้ยาว ทั้งยังเขียวชอุ่มไม่น้อย มีก้อนหินปูอยู่บนพื้นรอบหนึ่ง ดูน่าจะตั้งใจสร้างให้คนสามารถเหยียบขึ้นไปได้

อาซือพาเถิงเอ๋อเดินไปบนเส้นทางอย่างคุ้นเคย จากนั้นก็เริ่มจัดการแหอวน

เถิงเอ๋อไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่เขาก็ไม่อยากให้เด็กหญิงต้องเหนื่อย จึงรับแหอวนไปจากมือของนาง และพูดว่า “อาซือบอกสิว่าต้องทำอย่างไร เดี๋ยวข้าทำเอง”

อาซือพยักหน้า แล้วยื่นแหอวนให้แก่เถิงเอ๋อ ส่วนตัวเองก็นั่งอยู่บนก้อนหินที่สะอาด ๆ ก้อนหนึ่งอยู่ด้านข้าง

“พี่เถิง พี่คลี่แหอวนออกมาก่อน เราค่อยโยนลงไปในสระน้ำ ถ้ามันพันกันจะจับปลาไม่ได้…”

น้ำเสียงอันไพเราะเสนาะหูของนางที่ดังเข้ามาในหูของเถิงเอ๋อ เหมือนกับสายลมที่ไม่หนาวไม่ร้อนเกินไปในฤดูสารท เย็นสบายกำลังดี

เห็นได้ชัดว่าเป็นคำพูดที่ฟังดูจู้จี้ หากเป็นผู้อื่นพูด เถิงเอ๋อคงจะทนฟังไม่ได้แม้แต่คำเดียว แต่ครั้นเป็นเด็กหญิงพูด กลับทำให้รู้สึกเพลิดเพลินมากเสียอย่างนั้น

เพื่อจะให้นางได้พูดมากขึ้น เถิงเอ๋อจึงตั้งใจทำแหอวนพันกัน อาซือจึงลุกขึ้นยืนในที่สุด จากนั้นก็เดินมาตรงหน้าเขา และตำหนิเสียงเบาว่า “พี่เถิง เหตุใดพี่ถึงได้โง่เง่าเต่าตุนเช่นนี้! เอามาให้ข้า ขืนพันกันอีก วันนี้เราคงจับปลาไม่ได้แน่!”

เด็กชายจึงถือโอกาสยื่นแหอวนที่มัดกันเป็นปมในมือของตัวเองออกไปครึ่งหนึ่ง ส่วนเขาก็ดึงอีกข้าง ครั้นเห็นอาซือตวัดนิ้วชี้อย่างชำนาญ ไม่นานก็แก้ปมในส่วนที่เขาตั้งใจทำให้พันกันได้สำเร็จ

เถิงเอ๋อยิ้ม แล้วพูดว่า “อาซือเก่งที่สุดเลย ฉลาดและมีไหวพริบ มิน่าเล่าเจ้าถึงได้แก้ปริศนาเก้าห่วงของข้าได้อย่างง่ายดาย”

เด็กหญิงทำตัวมีประโยชน์มาก จากนั้นก็คว้ามือของเถิงเอ๋อมาแกว่งไปแกว่งมา “เอาละ! เราเตรียมแหอวนเสร็จแล้ว วางอาหารปลาลงในอวน รอให้ปลามากิน… แต่บอกไว้ก่อนนะ ข้าไม่มีเรี่ยวแรงเพียงนั้น อีกประเดี๋ยวคงต้องให้พี่เถิงดึงแหแล้วล่ะ”

เด็กชายพยักหน้า

……………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อาซือร้ายกาจ แถมเจ้าคิดเจ้าแค้นด้วย ใครทำเจ็บโดนโต้กลับแบบเจ็บกว่าหลายเท่า

ตัวเท่านี้คิดจีบน้องทางอ้อมแล้วเหรอเถิงเอ๋อ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท