ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 423 ถ่ายทอดให้คนของตัวเอง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 423 ถ่ายทอดให้คนของตัวเอง

บทที่ 423 ถ่ายทอดให้คนของตัวเอง

เซี่ยเชียนวางหมากอย่างไม่เกรงใจ แต่ระหว่างที่เล่นไปแล้วสามถึงห้ารอบ ในที่สุดหมากตัวสีดำก็ถูกหมากตัวสีขาวล้อมไว้ ไม่สามารถหวนกลับมาเดินได้อีก

เมื่อหมากตานี้จบลง ทั้งสองคนก็เก็บหมากที่จบสิ้นแล้ว แม้จักรพรรดิจะทรงปราชัย แต่บนพระพักตร์กลับมีรอยแย้มสรวลด้วยสภาพพระทัยที่เบิกบานไม่เลวเลยทีเดียว

เซี่ยเชียนปรายตามองจักรพรรดิแวบหนึ่ง กระทั่งปลายนิ้วสัมผัสกับปลายนิ้วของเขาโดยไม่รู้ตัว เมื่อรู้สึกตัวก็รีบดึงกลับจากอีกฝ่าย

จักรพรรดิไม่ได้สนใจหมากตัวสีดำตรงหน้าอีก หากแต่จ้องเขม็งไปยังเซี่ยเชียน

กระทั่งเซี่ยเชียนเก็บหมากตัวสีขาวเสร็จสิ้น จึงเก็บหมากตัวสีดำของจักรพรรดิทั้งหมดลงกล่อง แล้วทูลเสียงเรียบว่า “ฝ่าบาทไม่เพียงแต่จะมีทักษะหมากล้อมที่ก้าวหน้าแล้ว รูปแบบการเล่นหมากล้อมก็เพิ่มมากขึ้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ไม่รู้ว่าเหตุใดจักรพรรดิถึงไม่ได้รู้สึกถึงการชื่นชมในน้ำเสียงที่เย็นชาของเขาเลยแม้แต่น้อย จึงตรัสด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าชนะเจ้าเลยพูดโอ้อวดได้ ถ้าเมื่อครู่ข้าไม่ยอมออมมือให้เจ้า บีบให้เจ้าต้องถอย ให้เจ้าแพ้เล่า?”

เซี่ยเชียนกลับส่ายหน้าและพูดอย่างจริงจังว่า “แพ้ชนะไม่สำคัญ เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ฝ่าบาททรงเดินหมากพลาดเอง แต่กลับยอมแพ้ต่อชัยชนะ กระหม่อมจึงดีใจอยู่ภายในพ่ะย่ะค่ะ”

นับตั้งแต่ตระกูลเซี่ยถูกกวาดล้าง เซี่ยเชียนก็เหมือนกับตายทั้งเป็น ไม่มีสิ่งใดที่จะดึงดูดความสนใจของเขาได้อีก

แต่บัดนี้เขาทุ่มเทแรงกายและแรงใจให้แก่ราชสำนัก เห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

เขาเปลี่ยนไปเพราะเหตุใด? เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง? จะย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่อบอุ่นอ่อนโยน และมีชีวิตชีวาในวัยเยาว์ใช่หรือไม่?

นิ้วพระหัตถ์ของจักรพรรดิสั่นโดยไม่อาจควบคุมได้ สุดท้ายไม่ได้ถามสิ่งใดต่อ เพียงเอ่ยขึ้นว่า “มันก็เป็นแค่หมากล้อมเท่านั้น หากท่านขุนนางดีใจที่ได้ชัยชนะ ต่อไปข้าจะให้เจ้าชนะตลอด”

เซี่ยเชียนส่ายหน้าเบา ๆ หางตาฉายความอบอุ่นแผ่วเบาชัดเจน

เหตุใดเขาถึงต้องดีใจเพราะชนะหมากล้อมด้วย? อารมณ์ฉุนเฉียวง่ายและพฤติกรรมที่รุนแรงของจักรพรรดิช่างคล้ายคลึงกับจักรพรรดิองค์ก่อนยิ่งนัก

ในใจของเซี่ยเชียนมีความกังวลมาตลอด ไม่มีช่วงใดที่ไม่กังวลว่าจักรพรรดิจะเดินตามรอยเท้าจักรพรรดิองค์ก่อน ยิ่งชราภาพมากขึ้นก็ยิ่งอ่อนไหวและหวาดระแวง สุดท้ายก็ตัดสินชี้ขาดตัวเอง สังหารทหารที่จงรักภักดีจนหมดสิ้น

กระทั่งเมื่อครู่ที่จักรพรรดิยอมออมมือในการละเล่นหมากล้อมโดยไม่ใส่ใจนั้น เขาเพิ่งตระหนักได้อย่างลึกซึ้ง ยามที่คนผู้นี้อยู่ต่อหน้าจักรพรรดิองค์ก่อน ย่อมแตกต่างกันโดยสมบูรณ์

หินก้อนใหญ่ในใจถูกวางลง เซี่ยเชียนรู้สึกสบายอกสบายใจไม่น้อย จากนั้นก็ทูลกับจักรพรรดิว่า “วันนี้หากฝ่าบาททรงอารมณ์ดี เหตุใดถึงไม่เล่นหมากล้อมอีกสักสองสามตาล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

จักรพรรดิหัวเราะ “ปกติข้ามักเป็นฝ่ายลากเจ้ามาเล่นหมากล้อม เจ้าก็เอาแต่ปฏิเสธ ตอนนี้ได้ลิ้มรสความหอมหวานของชัยชนะ เลยลากข้ามาเล่นเพราะไม่อยากวางมืออย่างนั้นสิ? ช่างเถอะ ๆ ตามใจเจ้าก็ได้!”

ทั้งสองคนเพิ่งจะหยิบหมากตัวสีขาวและสีดำออกมาไม่นาน แต่กลับได้ยินเสียงที่อ่อนนุ่มของต๋ากงกงระหว่างเล่นหมากล้อมดังขึ้น “ฝ่าบาท สวีกุ้ยเหริน[1] ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

……

สวีกุ้ยเหรินเดินกรีดกรายเข้ามาด้วยกิริยางดงาม ทำให้บรรยากาศในการเล่นหมากล้อมระหว่างจักรพรรดิและขุนนางถูกทำลายเสียหมดสิ้น

เซี่ยเชียนนึกขึ้นได้ว่าหลังจากที่จักรพรรดิตอบรับคำของต๋ากงกงแล้ว จักรพรรดิได้ทรงตรัสกับเขาด้วยเสียงต่ำประโยคหนึ่ง “สวีกุ้ยเหรินตั้งครรภ์แล้ว”

เซี่ยเชียนไม่เข้าใจความหมายของจักรพรรดิ

สวีกุ้ยเหรินเป็นนางสนมของจักรพรรดิ เขาอยากให้นางเข้ามาในตำหนัก แค่อนุญาตก็จบ เหตุใดถึงต้องอธิบายให้ตนฟังด้วย?

เซี่ยเชียนทำได้แค่นำคำพูดของจักรพรรดิมาเป็นเครื่องเตือนใจ

ถึงอย่างไรสวีกุ้ยเหรินก็เป็นคนในจวนของเขา บัดนี้ตั้งครรภ์แล้วบางทีเขายิ่งต้องหลีกเลี่ยง

เมื่อสวีกุ้ยเหรินทำความเคารพจักรพรรดิแล้ว เซี่ยเชียนก็ลุกขึ้นและทูลต่อจักรพรรดิว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมขอตัว”

ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉย ยังคงแสดงสีหน้าเย็นยะเยือกเช่นนั้น แต่จักรพรรดิกลับมีพระพักตร์เผือดลง และตรัสอย่างไม่สบอารมณ์ “เมื่อครู่ยังบอกอยู่มิใช่หรือว่าจะเล่นหมากล้อมต่อ เหตุใดพอนางมา เจ้าก็จะไปทันที? รู้เช่นนี้สู้ไม่ให้นางเข้ามาดีกว่า!”

สวีกุ้ยเหรินก้มหน้าลง โดยไม่กล่าวสิ่งใด

กลับเป็นเซี่ยเชียนที่ตกตะลึง รู้สึกว่าตัวเองนั้นเดาความหมายของจักรพรรดิผิดพลาดไป จึงได้นั่งลงอีกครั้ง

“เช่นนั้นกระหม่อมไม่ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหลุดขำออกมา ใบหน้าอันหล่อเหลาเปลี่ยนจากเคร่งขรึมเป็นสดใสฉับพลัน

เขาเพิ่งจะสนใจสวีกุ้ยเหริน จึงหันไปถามนางว่า “เจ้าไม่อยู่เฝ้าบำรุงครรภ์ในตำหนัก วิ่งมาหาข้าถึงที่นี่เพื่อเหตุใด?”

สวีกุ้ยเหรินไม่อาจพูดความจริงออกไปได้ว่าตัวเองนั้นได้ยินเรื่องที่เซี่ยเชียนจะมาเล่นหมากล้อมกับฝ่าบาท จึงอยากมาดูแลผู้เป็นนายของตัวเองจนอดใจไม่ไหว จึงได้แค่ทูลว่า “หม่อมฉันว่าง แล้วกระวนกระวายใจก็เลยเดินมาที่นี่โดยไม่รู้ตัว อยากเห็นว่าฝ่าบาททรงประทับอยู่หรือไม่เพคะ”

ตอนนี้นางตั้งครรภ์บุตรเพียงคนเดียวของตำหนักหลัง จะพูดจะทำสิ่งใดก็ดูมั่นใจไม่น้อย แค่จักรพรรดิมีความอดกลั้นกับนาง ดีกับนางกว่าเมื่อก่อน และดีกับนางมากกว่านางสนมคนอื่น

จักรพรรดิขมวดคิ้วแน่น ไม่นานก็คลายออก จากนั้นก็ขานเรียกต๋ากงกงที่อยู่ด้านข้าง “ไป ไปยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้สวีกุ้ยเหริน”

ต๋ากงกงรีบยกเก้าอี้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ด้านบนถูกปูด้วยเบาะรองที่หนาหนึ่งชั้น จากนั้นก็เลื่อนมาข้างกายจักรพรรดิตามการชี้นำของเขา

จักรพรรดิส่งสัญญาณให้สวีกุ้ยเหรินนั่งลงด้านหลังเขา แล้วหันไปตรัสประโยคหนึ่งว่า “ในเมื่อว่างนักก็ทำเสีย ดูข้าและนายท่านของเจ้าเล่นหมากล้อมก็พอ เรื่องเดียวที่ห้ามคือ ไม่อนุญาตให้ส่งเสียง”

ใบหน้าของสวีกุ้ยเหรินเผยรอยยิ้มออกมา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเบิกบานใจ แต่ก็ทำได้แค่พยักหน้า

เซี่ยเชียนได้ยินคำพูดของจักรพรรดิ จึงอดเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้ ครั้นเห็นจักรพรรดิไม่ได้สนใจคำว่า ‘นายท่านของเจ้า’ ที่ตนพ่นออกมา ในใจก็พลันรู้สึกหวิว ๆ

เขาส่งฝูสวีเข้าวัง เดิมทีแค่อยากให้นางถ่วงดุลอำนาจ คิดหาทางกำจัดบรรยากาศที่เลวร้ายของตำหนักหลังให้สิ้นซาก เป็นการดีที่จะให้จักรพรรดิได้กระจายอำนาจไปทางอื่น ไม่เคยคิดว่านับตั้งแต่ที่นางก้าวเข้ามา จะได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิ กระทั่งได้ตั้งครรภ์องค์ชาย

รัชทายาทองค์ปัจจุบันยังไม่สมบูรณ์ เดิมทีกุ้ยเฟยได้ให้กำเนิดองค์ชายรองออกมาแล้ว แต่ทั้งลูกชายและผู้เป็นแม่ได้จากไป ส่งผลให้ในวังหลวงไร้วี่แววของทายาทสืบสกุล

ตอนนี้มีเพียงแค่องค์ชายใหญ่ผู้เดียว แต่เพราะปัญหาเรื่องเท้า ทำให้ไม่สามารถสืบทอดบัลลังก์ได้

ถ้าสวีกุ้ยเหรินได้ให้กำเนิดรัชทายาทจริง ๆ คิดว่าคงจะแก้ปมในใจของจักรพรรดิได้

จักรพรรดิได้หยิบหมากสีดำขึ้นมาอีกครั้ง ส่งสัญญาณให้หมากตัวสีขาวของเซี่ยเชียนเปิดฉากเดินก่อน

เซี่ยเชียนวางเรื่องที่ตัวเองควรต้องปลดออกจากตำแหน่งขุนนางเพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัยหลังจากที่สวีกุ้ยเหรินให้กำเนิดรัชทายาทไว้ก่อน

เขาเก็บความรู้สึกเหล่านั้นไว้ จากนั้นก็วางหมากตัวที่หนึ่งลงบนกระดาน

ในยามที่ทั้งสองคนเริ่มแข่งขันกันนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็ถูกทิ้งไว้ด้านหลังโดยสมบูรณ์ มีแค่การวางหมากที่ดำเนินการไปอย่างรวดเร็วบนกระดานเท่านั้น ตัวหมากสีดำและสีขาวค่อย ๆ ปะทะกัน ทำให้มองเห็นถึงจิตสังหารอย่างลับ ๆ ระหว่างทั้งสองคน

สวีกุ้ยเหรินมีฐานะเป็นเพียงสาวใช้ แม้ว่าจะได้เรียนศิลปะทั้งสี่ของนักปราชญ์อยู่ในจวนเซี่ยไม่น้อย แต่ก็รู้เพียงผิวเผินเท่านั้น

ครั้นเห็นทั้งสองคนสู้กันอย่างดุเดือด ความเร็วในการวางหมากยิ่งเพิ่มระดับมากขึ้น จู่ ๆ สมองก็ไล่ตามไม่ทัน

หญิงสาวมองกระดานหมากล้อมครู่หนึ่ง และแล้วก็เริ่มวิงเวียนศีรษะ จึงอดปรายตามองเซี่ยเชียนอย่างเงียบ ๆ แวบหนึ่งไม่ได้

นายท่านยังคงมีสีหน้าเย็นยะเยือกดุจหิมะในฤดูเหมันต์ นัยน์ตาเรียวดุจหงส์คู่นั้นก็ยังนิ่งสงบและเย็นชาอย่างชัดเจน แต่กลับเปล่งประกายยิ่งกว่าอัญมณีทั้งหมดที่นางเคยเจอมา

สวีกุ้ยเหรินลอบมองเซี่ยเชียนอย่างจริงจัง แต่กลับได้ยินจักรพรรดิที่อยู่ข้างกายส่งเสียงฉับพลัน สร้างความตกใจให้นางอย่างมาก “อาเชียนอยากจะหวนเดินหมากใหม่หรือไม่? ข้าออมมือให้เจ้า”

บางทีอาจเพราะความสนใจทั้งหมดจมอยู่กับกระดานหมากล้อม จู่ ๆ จักรพรรดิก็ขานเรียกชื่อเล่นของเซี่ยเชียน

ครั้นเห็นจักรพรรดิไม่ได้พูดกับตน ในใจของสวีกุ้ยเหรินก็ผ่อนคลายลงอย่างฉับพลัน แล้วรีบหลุบตามองกระดานหมากล้อมต่อ ปิดบังพฤติกรรมที่แอบมองเซี่ยเชียนเมื่อครู่

กระทั่งได้ยินเซี่ยเชียนปฏิเสธ “ไม่เดินใหม่พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิยิ้มเยาะด้วยเสียงเบา “เช่นนั้นข้ากินล่ะนะ?”

เซี่ยเชียนไม่กล่าวสิ่งใด

สวีกุ้ยเหรินเบิกตามองหมากสีดำและสีขาวที่เดิมทีมีจำนวนเท่ากันบนกระดานหมากล้อม จากนั้นจักรพรรดิก็วางหมากตัวสุดท้ายลงไป จู่ ๆ ก็กลายเป็นฝ่ายล้อมหมากสีขาว เพียงอึดใจเดียวก็หมดสิ้นไม่มีเหลือ

เซี่ยเชียนมองกระดานหมากล้อมอย่างเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง หมากตัวสีขาวที่อยู่ปลายนิ้วถูกวางลงในกล่องอย่างแผ่วเบา นี่คือความหมายของการยอมแพ้

จักรพรรดิหัวเราะ น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเบิกบานใจ ปลายนิ้วแตะลงบนส่วนที่ว่างเปล่าบนกระดาน แล้วตรัสกับเซี่ยเชียนว่า “เจ้านะเจ้า วางหมากก็ต้องเป็นระเบียบสิ ข้าบอกเจ้าแล้วก่อนหน้านั้นไม่ใช่หรือ? อะไรที่กินก็ควรกิน หากเมื่อครู่กินข้าครึ่งกระดาน เจ้าก็คงไม่แพ้เช่นนี้”

เซี่ยเชียนครุ่นคิดตามความคิดของจักรพรรดิ จากนั้นก็พยักหน้าและทูลว่า “ฝ่าบาทตรัสถูกต้อง เมื่อเล่นมาถึงจุดนี้กระหม่อมทำได้แต่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิกลั้วหัวเราะ ส่ายพระพักตร์พลางตรัสว่า “แค่ต่อลมหายใจก็มีชีวิตรอดแล้ว เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าข้าจะปกป้องสถานการณ์เช่นนี้ ต่อไปก็เป็นเช่นนี้นะสิ? ขอแค่มีชีวิตรอด ก็มีความหวังที่จะพลิกกระดาน”

นิ้วมือของเซี่ยเชียนหยุดชะงักไปเล็กน้อย ลมหายใจขาดห้วงไปชั่วครู่

จักรพรรดิเพิ่งตระหนักได้ถึงคำพูดของตัวเอง ว่าอาจจะล้ำเส้นของเซี่ยเชียนเกินไป

เดิมทีเขาแค่พูดไปตามอารมณ์ของตัวเอง ไม่ได้มีความหมายอื่น

แต่กลับได้ยินเซี่ยเชียนตอบรับเสียงต่ำว่า “อื้อ”

จักรพรรดินึกถึงเหตุการณ์ที่เขาออกจากวังไปอย่างเงียบ ๆ หลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ ตั้งใจเสด็จไปยังจวนเซี่ยที่เคยถูกค้นตรวจภายใต้คำสั่งของจักรพรรดิองค์ก่อน

ความรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตมลายหายไป เหตุการณ์เพียงไม่กี่ปี แม้แต่ประตูใหญ่ของจวนเซี่ยก็พังทลาย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงวัชพืชสารพัดชนิดที่งอกแซมขึ้นมาตามช่องว่างของกำแพงสูงที่ถูกก่อด้วยอิฐสีเงิน

ในใจของเขารู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อย กลัวว่าจะเผลอไปกระตุ้นความทรงจำที่ไม่ดีของเซี่ยเชียน จึงรีบเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว จากนั้นก็เอ่ยถึงเกมหมากล้อมต่อ “แม้ว่าข้าจะไม่ค่อยมีเวลาว่างหลังจากที่ขึ้นครองบัลลังก์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่กลับรวบรวมตำราวิธีการเล่นหมากล้อมที่ยอดเยี่ยมที่สุดหลายเล่ม กลยุทธ์เมื่อครู่ก็เป็นเคล็ดลับในตำราหมากล้อมเหล่านั้น ถ้าท่านขุนนางสนใจ ข้าให้เจ้าได้นะ”

เซี่ยเชียนไม่ปฏิเสธ

จักรพรรดิจึงตรัสอีกว่า “นี่คือตำราศิลปะการต่อสู้ของข้า สำหรับบุรุษไม่ใช่สำหรับสตรี และส่งต่อไปยังคนของข้าเท่านั้น…”

เซี่ยเชียนปล่อยให้เขาพร่ำเพ้อไร้สาระ โดยที่ไม่ได้พูดแทรก แค่ตั้งใจฟังเป็นครั้งคราว และตอบรับเพียงไม่กี่คำ…

………………………………………………………………………………………………….

[1] กุ้ยเหริน (贵人 ) ตำแหน่งพระสนมในองค์จักรพรรดิ กุ้ยเหริน หมายถึง ผู้ทรงเกียรติ สามารถแต่งตั้งได้นับไม่ถ้วน

สารจากผู้แปล

ทำไมโมเม้นต์เรือหลวงตอนนี้มันทะลักทลายราวเขื่อนแตกเลยคะ? ลูกเรือไม่ต้องพงต้องพายกันแล้ว เรือแล่นยิ่งกว่าติดเครื่องยนต์อีกค่ะ

กุ้ยเหรินก็คือมาเป็นกัปตันเรือหลวงลำนี้สินะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท