บทที่ 425 การสิ้นพระชนม์ขององค์ชายรอง
บทที่ 425 การสิ้นพระชนม์ขององค์ชายรอง
อีกด้านหนึ่ง เหยาเฉาที่กำลังโกรธฉุนเฉียวต่อหน้าคนภายนอกก็ได้กลับมาถึงจวนเหยา เรื่องแรกที่ทำคือตรงไปยังเรือนของเหยาซูทันที
เหยาซูที่ปิดประตูไม่ยอมออกไปข้างนอกมาโดยตลอด บัดนี้ไม่ได้นอนหลับอยู่บนเตียงอย่างที่ผู้อื่นคาดเดาไว้ แต่กำลังเย็บปักถักร้อยอยู่ในมือ นั่งปักด้ายอย่างนิ่งสงบอยู่ในศาลา
ยามที่เหยาเฉาเดินเข้ามาใกล้นางนั้น นางเพิ่งจะได้สติกลับมา จึงเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มบาง ๆ ให้เขา “พี่รอง”
ชายหนุ่มกวาดตามองลายปักในมือของเหยาซูแวบหนึ่ง แล้วประเมินด้วยรอยยิ้ม “สีสันของแมวตัวนี้งดงามมาก การเคลื่อนไหวของมันดูมีชีวิตชีวา ก่อนหน้านั้นน้องไม่เคยชอบเย็บปักไม่ใช่หรือ? ดูจากตอนนี้ ระดับการเย็บปักของอาซูคงเพิ่มขึ้นแล้วสิ“
เหยาซูลูบไปบนลูกแมวสีส้มที่กำลังเล่นม้วนเส้นด้ายอยู่บนผ้าลายปักนั้น ครั้นสัมผัสถึงความหยาบที่นูนเว้าไม่สม่ำเสมอภายใต้ปลายนิ้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้ถึงนึกหนังกำพร้าที่ตายด้านบนฝ่ามือของหลินเหราขึ้นมาฉับพลัน
ชายหนุ่มเคยชินกับการทำงานหนัก มักจะจับดาบจับคันศรอยู่บ่อยครั้ง ฝ่ามือจึงได้มีสัมผัสเช่นนั้น
ทว่ายามที่ฝ่ามือใหญ่ของเขากอบกุมมือของตน กลับรู้สึกปลอดภัยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหยาซูจึงอดเอ่ยถามเสียงต่ำไม่ได้ “พี่รอง อาเหราเขา…”
เหยาเฉาคลี่ยิ้ม เพราะพับเก็บความดีใจอันบริสุทธิ์บนใบหน้าที่หล่อเหลานั้นไม่ได้ จากนั้นก็เอ่ยกับเหยาซูด้วยเสียงเบาว่า “พี่รองกำลังจะบอกข่าวดีเรื่องนี้กับเจ้าพอดี อาเหราฟื้นแล้ว”
ลมหายใจของเหยาซูถี่ขึ้นทันใด มือที่เดิมทีกำลังลูบอยู่บนผ้าลายปักนั้นก็ได้กำหมัดขึ้นโดยไม่รู้ตัว กระทั่งนางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “จริงหรือ?”
เหยาเฉาลูบไปบนศีรษะของผู้เป็นน้องสาว แล้วเอ่ยกับนางอย่างแผ่วเบา “พี่รองจะโป้ปดเจ้าไปทำไม? ถ้าไม่ใช่เพราะอาเหราฟื้นแล้ว ใต้เท้าเซี่ยไม่มีวันให้ข้าไปเยี่ยมเขาหรอก ยามอยู่หน้าประตูจวนเซี่ยเมื่อครู่ ข้าและใต้เท้าเซี่ยได้ทำการแสดงละครฉากหนึ่ง เกรงว่าตอนนี้คนอื่นคงคิดว่าเราบาดหมางกันแล้ว”
เขาพยายามจะอธิบายสถานการณ์ในตอนนี้ให้เหยาซูฟัง แม้จะไม่ถูกหมาป่าเจ้าเล่ห์ฝูงนั้นจ้องมองเหมือนเมื่อหนึ่งเดือนก่อน แต่กลับไม่อาจปกปิดความจริงกับเหยาซูได้
ทว่าตอนนี้หัวใจของเหยาซูกลับลอยละล่องไปหาหลินเหราเรียบร้อยแล้ว นางไม่สนใจสิ่งรอบตัว นอกจากซักถามแต่ข้อมูลของหลินเหรา “วันนี้เขาฟื้นแล้วจริง ๆ หรือ? อาการบาดเจ็บบนร่างกายดีหมดแล้วใช่หรือไม่? แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
เหยาเฉาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนคล้ายกับปลอบโยน “อย่าเพิ่งร้อนใจ อาซู อย่าเพิ่งร้อนใจ เขาเพิ่งฟื้น สติสัมปชัญญะยังกลับมาไม่เต็มที่เป็นเวลากว่าครึ่งถ้วยชาอุ่น ทว่านี่เป็นลางดี หมอที่รักษาเขาก็เป็นหมอที่ดีของจวนเซี่ย คอยดูแลเขาตลอด เพราะฉะนั้นเจ้าวางใจได้”
เหยาซูผ่อนคลายลงทันใด หัวใจที่เป็นกังวลมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็กลับลงมาอยู่ในตำแหน่งเดิมได้อย่างสงบสุข
นางไม่มีกะจิตกะใจจะปักผ้าต่อ รู้สึกแค่ว่าอารมณ์ที่สงบสุขก่อนหน้านั้นของนาง เป็นเพียงภาพลวงตาที่บังคับให้นางต้องสงบลง แต่สิ่งที่ซ่อนลึกอยู่ภายในคือความกังวลที่ไม่รู้จบ
เหยาซูพึมพำกับตัวเอง “เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว ดีแล้ว เขาไม่เป็นอะไร เป็นความโชคดีที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
เหยาเฉาลูบศีรษะเหยาซูด้วยความเจ็บปวด กระทั่งเอ่ยกับนางด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “อีกสองสามวัน รอให้อาเหราอาการมั่นคงกว่านี้ ข้าค่อยพาเจ้าไปเยี่ยมเขาอย่างเงียบ ๆ สักครั้ง”
ในอกของเหยาซูก่อเกิดสัมผัสที่คล้ายกับกระแสไฟฟ้า มันแล่นวาบไปตามแขน กระจายไปจนถึงปลายนิ้ว ส่งผลให้ปลายนิ้วที่ซีดขาวนั้นสั่นระริก ลมหายใจของนางเริ่มปั่นป่วนเล็กน้อย
นางปรายตามอง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความดีใจระคนกับความกังวล กระทั่งเอ่อล้นออกมาจากดวงตาดอกท้อที่สุกสกาวคู่นั้น ทำให้รู้สึกเทือนใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เหยาเฉาพยักหน้า “พี่รองจะคิดหาทางเอง”
ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงสีหน้าที่ทุกข์ใจอีกแม้แต่น้อย ซึ่งเหยาซูรู้แก่ใจดี ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติเพียงเล็กน้อยของนางล้วนแต่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นทั้งนั้น
รอก่อนเถิด ขอแค่รู้ว่าเขาปลอดภัยดี จะเร็วกว่านี้หรือช้าไปหนึ่งวัน แล้วอย่างไรเล่า?
ขอแค่เหมิงฉิงถูกจับ นางก็จะได้อยู่กับเขาไปตลอดชีวิตแล้ว
…
เหยาซูข่มความกลุ้มใจและความกังวลไว้ในใจ หลินเหราต้องผ่านช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดเช่นกัน
หลายวันมานี้เขาฟื้นติดต่อกันหลายครั้ง ระยะเวลาที่ฟื้นก็เริ่มนานมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากที่พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดมาจากความมืดมิดที่ไร้ขอบเขต เห็นได้ชัดว่าเขามีความเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม
วันนี้ยามที่เซี่ยเชียนมาเยี่ยมเขา หลินเหราก็ฟื้นพอดี
อีกฝ่ายยืนอยู่ปลายเตียง น้ำเสียงยังคงเรียบเฉยและเย็นชา แต่ในสายตากลับฉายแววกังวลเล็กน้อย “วันนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง? ร่างกายมีแรงบ้างหรือไม่?”
หลินเหราได้รับบาดเจ็บนับไม่ถ้วนทั่วทั้งร่างกาย ส่วนที่สามารถคร่าชีวิตที่สุดน่าจะเป็นบาดแผลจากลูกธนูที่อยู่ห่างจากหัวใจเพียงหนึ่งนิ้วเท่านั้น ซ้ำศีรษะยังได้รับการกระทบกระเทือนอีกด้วย
และเป็นเพราะเหตุผลที่สองที่ทำให้เขาสลบไสลไม่ฟื้นเป็นเวลาเกือบสองเดือน
เพราะนอนหลับอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน ร่างกายที่เคยแข็งแรงของเขาซูบผอมลงมากทีเดียว แม้ใบหน้าจะดูไม่ค่อยมีน้ำมีนวลสักเท่าไร แต่ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายขึ้นอย่างชัดเจน
“วันนี้รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณท่านน้ามากขอรับ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
สองน้าหลานต่างก็ไม่ใช่คนที่พูดมากนัก หลังจากที่เซี่ยเชียนแสดงความกังวลของเขาออกมา ก็ไม่รู้ว่าต้องพูดสิ่งใดต่อ แค่หยิบยกเรื่องอื่นมาพูดกับหลินเหรา “ได้หลักฐานมาแล้ว ถึงตอนนั้นแค่โจมตีอีกฝ่ายโดยไม่ทันตั้งตัว กวาดล้างพรรคพวกของเหมิงฉิงให้เรียบ เสร็จสิ้นทุกอย่างเจ้าก็คงจะได้กลับไปรักษาตัว”
หลินเหราตอบรับเพียงหนึ่งเสียง
ทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบงัน แต่แล้วจู่ ๆ พลันได้ยินเสียงอันสดใสของเด็กน้อยดังออกมาจากนอกห้องหนังสือ เอาแต่ขานเรียก ‘ท่านปู่เซี่ย’ อยู่ตลอด
หลินเหราตื่นตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อได้สติกลับมาจึงได้เข้าใจว่านั่นคือเสียงของซานเป่า
ไม่นานหญิงสาวผู้อ่อนโยนก็เข้าไปปลอบโยนซานเป่า เพียงชั่วครู่ความเงียบก็กลับเข้าสู่ห้องหนังสืออีกครั้ง
จู่ ๆ เซี่ยเชียนก็พูดขึ้น “ถ้าเจ้านอนจนเบื่อแล้ว ข้าจะหาเหตุผลให้อาซูมาเยี่ยมซานเป่าในจวน และถือโอกาสเจอเจ้าสักครั้ง”
เมื่อเอ่ยถึงเหยาซู ใบหน้าของหลินเหราก็มีการตอบสนองทันใด
ดวงตาของเขาเปล่งประกายอย่างชัดเจน ไม่นานก็ต้องหลุบมองต่ำอีกครั้ง แล้วส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ให้เป็นไปตามที่ท่านน้ากล่าวไว้เถิดขอรับ รอให้จับกุมพรรคพวกของเหมิงฉิงให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะถือว่าปลอดภัยโดยแท้จริง เวลานี้หลักฐานยังไม่ถึงมือของฝ่าบาท ถ้าต้องการรักษาไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด จะดึงดูดความสงสัยของอีกฝ่ายไม่ได้เด็ดขาด”
ครั้นเซี่ยเชียนเห็นเขากล่าวเช่นนี้ จึงไม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะให้เหยาซูมาที่นี่อีกแต่อย่างใด
ความจริงแล้วในใจส่วนลึกของหลินเหรา นอกจากเหตุผลนี้แล้ว เรื่องที่ไม่ยอมอีกอย่าง คือการที่เหยาซูจะต้องมาเห็นสภาพของตัวเองในตอนนี้
เขาสัญญากับนางว่าจะกลับไปอย่างปลอดภัย แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาซูบผอมไม่เหลือชิ้นดีก็ช่างเถอะ แม้แต่สติสัมปชัญญะก็ยังไม่สมบูรณ์ ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาจะรู้สึกวิงเวียนศีรษะ และพูดไม่ได้
หากให้อาซูมาเห็นเขาในสภาพนี้ เกิดเป็นกังวลจนน้ำตาร่วงขึ้นมาจะทำอย่างไร?
ไม่สู้รอให้เขารักษาตัวก่อน…
อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอนางในสภาพนี้
เซี่ยเชียนย่อมไม่รู้ความคิดในใจของหลินเหรา เขาอยู่เป็นเพื่อนหลินเหราครู่หนึ่ง แล้วรีบออกไปจัดการเรื่องของตัวเอง
จดหมายที่เหมิงฉิงแอบติดต่อกับพวกต่างแดน หลินเหราใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายซ่อนมันไว้ในซีเป่ย
ตอนนี้เขาได้ส่งคนไปนำมาโดยเร็วที่สุด หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ไม่นานเรื่องนี้ก็คงจะยุติลงในที่สุด
ส่วนในราชสำนัก สมุนของเหมิงฉิงได้ถูกทำลายไปกว่าครึ่ง ส่วนเหล่าขุนนางที่มักจะติดต่อกับเหมิงฉิงเป็นประจำ ยังมีคนที่สามารถสั่นคลอนเขาได้อยู่ หนึ่งในนั้นคือเจ้ากลาโหม
ในที่ประชุม จักรพรรดิตั้งใจฟังรายงานจากเหล่าขุนนาง ไม่นานก็มีความบาดหมางระหว่างข้าหลวง เดี๋ยวก็ให้เข้าร่วมเรื่องนี้ เดี๋ยวก็ให้เข้าร่วมเรื่องนั้น แม้แต่เซี่ยเชียนก็ยังถูกกล่าวหาหลายกระทง อาทิเช่น ‘ไม่เคารพกฎระเบียบ’ แล ‘ปลุกระดมพลคนชั่ว’
ในยามที่มีข้าหลวงบางคนด่าสาดเสียเทเสียเหมิงฉิง กลับไม่ได้ดูสะดุดตาถึงเพียงนั้น
ข้าหลวงผู้นั้นรุดหน้าหนึ่งก้าว แล้วอ้าปากทูลด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความฮึกเหิมว่า “กราบทูลฝ่าบาท เหมิงฉิงคือลูกบุญธรรมของรัชทายาทองค์ก่อน ไม่สมกับที่ได้รับความโปรดปรานของฝ่าบาทและยิ่งใหญ่เกรียงไกร เพิกเฉยต่อความเป็นความตายของผู้อื่น เป็นความผิดร้ายแรง ไม่สามารถให้อภัยได้พ่ะย่ะค่ะ!”
เหมิงฉิงตื่นตกใจโดยพลัน ส่วนจักรพรรดิก็เลิกพระขนงสูง
จักรพรรดิยังทรงแสดงอากัปกิริยาเกียจคร้าน น้ำเสียงก็ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นสูง ทั้งตำหนักต่างก็ได้ยิน “เมื่อครู่ท่านขุนนางกำลังว่ากล่าวขุนนางเซี่ยไม่ใช่หรือ? พูดไปพูดมา ฉิงเอ๋อร์ของข้าดันมีประเด็นนี้ไปด้วย มิรู้ว่าเจ้าไปเอาเหตุผลนี้มาจากที่ใด? ต้องรู้ก่อนว่า การประจานเชื้อพระวงศ์เช่นนี้ ข้าสามารถลงโทษเจ้าได้”
นับตั้งแต่บรรพบุรุษสถาปนาต้าเยี่ยนขึ้น ต่างก็มีแต่ความโอบอ้อมอารีต่อข้าหลวง กระทั่งให้อิสระในการวิจารณ์แก่ข้าหลวงเหล่านี้ นับตั้งแต่การโน้มน้าวจักรพรรดิ ไปจนถึงการลงมติไม่ไว้วางใจเหล่าขุนนาง นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมจักรพรรดิถึงได้ปวดเศียรเวียนเกล้ากับคนกลุ่มนี้นัก จนไม่สามารถลงโทษพวกเขาได้โดยง่าย
สีหน้าของข้าหลวงผู้นั้นเคร่งขรึมลง เหมือนกับไม่ต้องการไว้หน้าผู้ใดทั้งนั้น สำหรับคนประเภทนี้นั้นรักศักดิ์ศรียิ่งกว่าชีวิต
ครั้นเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่คาดคิดไว้ จึงเอ่ยอย่างจริงจังว่า “กระหม่อมไม่อยากให้ฝ่าบาททรงถูกผู้อื่นหลอกลวงพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิดูเหมือนจะขุ่นเคืองไม่น้อย ขณะที่กำลังจะอ้าปากตำหนิ ก็เห็นเหมิงฉิงคุกเข่าลง พร้อมกับโพล่งออกไปว่า “ได้โปรดฝ่าบาททรงตัดสินด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางในราชสำนักต่างรู้ดี จักรพรรดิไม่มีรัชทายาทสืบสกุล ย่อมมีความโปรดปรานท่านอ๋องเป็นพิเศษ
บัดนี้สวีกุ้ยเหรินแห่งตำหนักหลังได้ตั้งครรภ์แล้ว ไม่รู้ว่าความโปรดปรานนี้ จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
กระทั่งเห็นจักรพรรดิตรัสกับเหมิงฉิงว่า “ฉิงเอ๋อร์ลุกขึ้นเถิด ข้าเป็นลุงของเจ้า ก็ต้องหาความยุติธรรมให้เจ้าอยู่แล้ว”
เหมิงฉิงยังคงคุกเข่าเช่นนั้น จักรพรรดิจึงหันไปตรัสกับคนที่ลงมติไม่ไว้วางใจ “ว่ามาสิ เพราะเหตุใดถึงได้พูดเช่นนี้?”
ขุนนางลั่นวาจาดังก้องกังวานยิ่งครั้นเปรียบเทียบกับเสียงโวยวายของผู้ที่กล่าวหาเซี่ยเชียนเมื่อครู่ เพราะคำพูดที่รุนแรงดั่งพายุฝนที่โหมกระหน่ำได้โจมตีในส่วนที่จักรพรรดิเกลียดชังที่สุด “กราบทูลฝ่าบาท! กระหม่อมทราบมาว่า การสิ้นพระชนม์ขององค์ชายรอง มีความเกี่ยวข้องกับเหมิงฉิงพ่ะย่ะค่ะ!”
ทันทีที่สิ้นสุดประโยคนี้ เสียงฮือฮาก็ดังขึ้น
………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จวนเซี่ยการละครนี่เอง แผนการช่างล้ำลึกยิ่งนัก
เอาล่ะ ท่านอ๋องน้อยจะแก้ข้อกล่าวหานี้อย่างไรดีน้า ตัวหมากเบี้ยที่มีอยู่กำลังโดนกินเงียบ ๆ แล้วนะ
ไหหม่า(海馬)