บทที่ 443 งานเลี้ยงในวัง
บทที่ 443 งานเลี้ยงในวัง
ระหว่างทางกลับบ้าน หลินซือก็นึกถึงสมุดบัญชีที่ได้ดูไปตอนเช้า จึงเอ่ยถามกับไป๋หรูปิง “พี่ไป๋ วันข้างหน้าท่านอยากทำกิจการกับข้าหรือไม่?”
เนื่องจากบิดาของไป๋หรูปิงมีลักษณะนิสัยสบาย ๆ ไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมภายในบ้าน ดังนั้นไป๋หรูปิงจึงได้ช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายและกิจการเล็ก ๆ ของที่บ้านตั้งแต่เด็ก ครั้นได้ยินหลินซือกล่าวเช่นนี้ เด็กสาวจึงเกิดความสนใจขึ้นมา
“เอ้อเป่ามีความคิดอะไรบ้างไหม?”
ไป๋หรูปิงรู้ดีว่าเหยาซูมีความอัจฉริยะด้านการค้า จึงคิดว่าเหยาซูคงจะแนะนำอะไรบางอย่างให้นาง จึงได้รีบถามขึ้น
หลินซือส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ยังไม่มี เพียงแต่ว่าวันนี้ข้าช่วยท่านแม่ดูสมุดบัญชี จึงรู้สึกว่ามันน่าสนใจ ถ้าหากว่าพี่ไป๋มาทำร่วมกับข้า ข้าจะได้สมทบเงินลองเปิดร้านดูก่อน”
“ใช่ว่าจะไม่ได้นะ” ไป๋หรูปิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “วันนี้ข้าเห็นที่ดินดี ๆ และยังไม่ได้ถูกปล่อยเช่าร้านค้า พวกเราลองทำร้านเล็ก ๆ กันก่อนก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นสองวันนี้ข้าจะไปลองถามดู” หลินซือมีจิตใจกระตือรือร้นอยากจะทำขึ้นมา “อีกทั้งตอนนี้แม่ของข้าอยู่ที่บ้าน หากไม่เข้าใจอะไรพวกเราคงไปถามนางได้”
ทั้งสองคนคุยกันอย่างสนุกสนานตลอดทาง ท้ายที่สุดเมื่อถึงเวลาที่ต้องจากกันต่างก็ไม่รู้ควรทำอย่างไร จึงนัดพุดคุยกันใหม่ในวันพรุ่งนี้
โดยเฉพาะอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลินซือได้ตั้งใจจะคุยกับไป๋หรูปิงเรื่องการเปิดร้าน เรื่องพิธีปักปิ่นนั้นไม่คิดถึงแล้ว เจี่ยงเถิงเองก็หายไป ถึงแม้จะยุ่งมาก แต่ก็กลับรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
เพียงแต่หลินซือรู้สึกผ่อนคลายได้ไม่กี่วัน ในวันนี้ที่นางกลับมาจากข้างนอกด้วยอาการเหนื่อยล้า เด็กสาวก็เห็นเหยาซูรอนางอยู่ในลาน
“ท่านแม่ ดึกขนาดนี้แล้ว เกิดเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?” หลินซือกล่าวพลางหาวขึ้น
“อีกสักพักก็จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว ในวังจะจัดงานไหว้พระจันทร์ มีข่าวมาก่อนหน้านี้แล้วสองสามวัน แต่ช่วงกลางวันนี้ข้าหาเจ้าไม่เจอ ก็เลยต้องมารอตอนกลางคืน” เหยาซูกล่าว
“ไหว้พระจันทร์?” หลินซือนับนิ้วคำนวณ เด็กหญิงกล่าวขึ้นอย่างตกใจ “เช่นนั้นก็คือวันมะรืนนี้แล้วน่ะสิเจ้าคะ!”
“ถูกต้อง ข้าเกรงว่าถ้าวันนี้ไม่คุยกับเจ้า ก็คงไม่เจอเจ้าเลยจนถึงวันไหว้พระจันทร์”
หลินซือยิ้มด้วยความเขินอาย เด็กสาวรีบวิ่งเข้าไปนั่งข้างเหยาซู แล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ สองวันมานี้ข้ามีเรื่องต้องทำมากมาย!”
เมื่อฟังหลินซือเล่าถึงแผนการเปิดกิจการ เหยาซูเองก็รู้สึกตกใจ “เอ้อเป่า ได้สิ คาดไม่ถึงว่าพวกเจ้าสองคนเริ่มลงมือทำเป็นครั้งแรก แล้วจะสามารถทำได้ดีเช่นนี้”
“เยี่ยมยอดไปเลยใช่ไหมเจ้าคะ”
หลินซือส่ายศีรษะอย่างภาคภูมิใจ ราวกับตนเป็นลูกแมวแสนหยิ่งมาอ้อนวอนขอคำชม
“เยี่ยมยอดมาก ลูกสาวแม่สุดยอดมาก” เหยาซูลูบศีรษะของลูกสาว นางเองก็อดที่จะยิ้มและกล่าวชื่นชมออกมาไม่ได้
เพียงพริบตาเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็มาถึง หลินซือสวมชุดกงจวงที่แสนจะยุ่งยากรุ่มร่าม จนเด็กสาวรู้สึกว่ากำลังถูกมัดไว้ด้วยเชือกป่านที่สุดแสนจะอึดอัด
เนื่องจากก่อนหน้านี้เหยาซูออกไปทัศนาจร ดังนั้นนี่จึงนับว่าเป็นครั้งแรกที่หลินซือเข้าวังพร้อมกับเหยาซู
เดิมทีเด็กสาวรู้สึกคึกคักเป็นอย่างมาก เพียงแต่ยังไม่ทันจะถึงประตูวัง หลินซือก็รู้สึกว่าตนเองหายใจไม่ออก
“ท่านแม่ พวกเราต้องอยู่ในวังนานแค่ไหนเจ้าคะ?” หลินซือกล่าวด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย
“โดยปกติแล้วก็จะราว ๆ หนึ่งชั่วยาม” เหยาซูกล่าวปลอบ “หลังจากพิธีเสร็จแล้ว ถ้าหากว่ารู้สึกไม่สบายตัวก็หาข้ออ้างออกไปก็ได้ ไปสถานที่ที่ข้าบอกเจ้าให้รอ เมื่องานจบลงแม่จะไปรับเจ้า”
หลินซือพยักหน้า เหยาซูผ่อนสายรัดเอวให้กับบุตรสาว แล้วทั้งคู่ก็มาถึงประตูวัง
ในวังไม่สามารถนั่งเกี้ยวได้ หลินซือจึงรีบออกมาจากเกี้ยวที่ทำให้นางรู้สึกอึดอัด เด็กสาวสูดหายใจรับอากาศบริสุทธิ์เข้าไปลึก ๆ จึงรู้สึกว่าตนเองสามารถมีชีวิตต่อได้
“อาซือ?”
หลินซือได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เด็กสาวรีบหันหลังกลับด้วยความตกใจ “พี่อาเถิง! ท่านเองก็มางานไหว้พระจันทร์หรือ?”
เจี่ยงเถิงพยักหน้า จู่ ๆ ก็กล่าวขึ้นมา “อาซือ วันนี้เจ้าสวยมาก”
“แต่ใส่ชุดนี้แล้วรู้สึกอึดอัดจนเหมือนจะตายเลย” หลินซือมีความสุขอยู่ครู่หนึ่งเนื่องจากคำชมของเจี่ยงเถิง แต่อีกสักพักนางก็กลับมาหดหู่อีกครั้ง“ถ้าความสวยงามเกิดจากการต้องแต่งชุดที่อึดอัดเช่นนี้ เช่นนั้นข้าขอไม่สวยเสียยังจะดีกว่า จริงด้วย พี่อาเถิง ในงานพวกเราสามารถนั่งด้วยกันได้หรือไม่?”
เจี่ยงเถิงส่ายหน้า “พวกเจ้าจะต้องไปตำหนักในที่จัดขึ้นโดยฮองเฮา ล้วนเป็นสตรีเข้าร่วมทั้งสิ้น พวกข้าจะอยู่อีกทางด้านหนึ่ง ซึ่งจัดขึ้นโดยฮ่องเต้ ล้วนแต่เป็นเหล่าขุนนางเข้าร่วม”
“อ๋อ” หลินซือพยักหน้าด้วยความผิดหวัง “เช่นนั้นก็ดีเลย”
“อาซือ” จู่ ๆ เจี่ยงเถิงก็มีสีหน้าที่จริงจังขึ้น เด็กหนุ่มกดเสียงลง “ข้าได้ยินมาว่างานเลี้ยงในครั้งนี้องค์รัชทายาทเป็นคนเสนอให้จัดขึ้น เจ้าต้องระวังให้ดี พยายามอยู่กับฮูหยินและท่านแม่ทัพไว้ ถ้าหากเขาเข้าหาเจ้า ก็อยู่ให้ห่างจากเขาเอาไว้”
เวลานั้นเหยาซูที่ไปส่งเทียบเชิญก็ได้กลับมา เจี่ยงเถิงโค้งคำนับนางด้วยความเคารพ ก่อนที่เขาจะจากไป
“เอ้อเป่า เจี่ยงเถิงพูดอะไรกับเจ้าหรือ?” เหยาซูเห็นหลินซือมีการแสดงออกที่ผิดแผกไป จึงได้เอ่ยถามขึ้นมา
หลินซือไม่ต้องการให้เหยาซูเป็นกังวลใจ เด็กสาวจึงส่ายหน้า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะท่านแม่ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
หลินซือปฏิเสธที่จะบอก เหยาซูเองก็ไม่อยากถามให้มากความ จึงพาเด็กสาวไปเข้าไปในตำหนักเฟิงหมิงของฮองเฮา
เนื่องจากจวนของท่านแม่ทัพช่วงนี้กำลังได้รับความสนใจ ทันทีที่สองแม่ลูกปรากฏตัว พวกนางต่างก็เป็นจุดสนใจของทุกคนทันใด
แต่ละคนไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จัก เคยพบหรือไม่เคยพบ ต่างก็กลายเป็นคนคุ้นเคยกัน โดยเฉพาะเหยาซูที่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนในวงการค้าขาย ถ้าไม่เช่นนั้นนางเองคงจะรับมือไม่ไหวเช่นกัน
หลินซือไม่ต้องการพูดคุยหรือแสร้งทำเป็นเคารพนอบน้อมกับคนที่นางไม่รู้จัก เด็กสาวจึงนั่งอยู่ด้านหลังเหยาซูอย่างเชื่อฟัง เมื่อมีคนมาสนทนากับนาง เด็กสาวก็เพียงแค่ยิ้มขึ้นและไม่ได้กล่าวอะไร
คนพวกนั้นก็จะเข้าใจและถอยออกไป ไม่เสียเวลากับนาง
เพียงแต่กลับมีคนกล้าเข้าหามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะบ้านที่มีบุตรชายอายุใกล้เคียงกับหลินซือและยังไม่ได้แต่งงาน
หลินซือไม่สามารถรับมือกับความกระตือรือร้นของพวกเขาได้ เหยาซูสัมผัสได้ถึงแววตาร้องขอความช่วยเหลือจากลูกสาวของนาง จึงรีบเข้าไปแยกคนที่อยู่คนข้างหน้าของตนออก หญิงสาวก็รีบเข้าไปหาอาซือ เหยาซูกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ดังขึ้น “ฮูหยินผู้นี้ อาซือของพวกเรามีคนในใจแล้ว เด็ก ๆ จิตใจอ่อนไหว ท่านอย่าทำให้นางต้องลำบากใจเลย”
ประโยคนี้ทำให้เกิดคลื่นนับพันลูก ฮูหยินของแต่ละบ้านที่ต่างก็ถาโถมเข้ามาล้วนหยุดการเคลื่อนไหวลง ในที่สุดหลินซือก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เอ้อเป่า ออกไปรอข้างนอกเถอะ หลังจากที่เราจัดการกับคนพวกนี้เสร็จเราจะกลับบ้านกัน”
เหยาซูเองก็เริ่มรู้สึกรำคาญขึ้นมาเล็กน้อย หญิงสาวกดเสียงต่ำกล่าวกับหลินซือ
หลินซือรู้สึกราวกับว่าได้รับการปลดปล่อย เด็กสาวจึงมองหาช่องทางและรีบปลีกตัวออกไปในที่สุด
วันนี้คือวันที่สิบห้า แต่น่าเสียดายที่มีเมฆมาก กลางคืนจึงเต็มไปด้วยความมืด เมื่อหลินซือเดินผ่านทางเข้า นางก็รู้สึกว่าบริเวณโดยรอบช่างมืดมน กิ่งก้านต้นไม้และสิ่งที่คล้ายคลึงกันถูกลมพัดปลิวไสว เกิดเสียงราวกับมีคนกำลังตามอยู่ข้างหลัง
หลินซือสัมผัสขนลุกชันบนแขนของตนพลางก้าวขึ้นบันไดอย่างเงียบเชียบ
นี่มันไม่ถูกต้อง หลินซือหยุดลงทันที เด็กสาวฟังออกว่าเสียงที่ตามหลังนางมานั้นไม่ใช่เสียงลมพัดต้นไม้แต่เป็นเสียงฝีเท้า มีคนตามนางมา!
………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เข้าใจถึงความลำบากในการแต่งชุดกระโปรงกรุยกรายรุ่มร่ามแสนอึดอัดเข้างานเลี้ยงเลยค่ะ แถมเหล่าป้า ๆ น้าๆ ก็คอยจะมาจับคู่กับลูกตัวเองอีก
ใครตามหลังอาซือมากันนะ
ไหหม่า(海馬)