ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 466 เรื่องของความรู้สึก

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 466 เรื่องของความรู้สึก

บทที่ 466 เรื่องของความรู้สึก

“ฮ่า?” หลังจากตื่นตระหนก เหยาเอ้อหลางถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “พวกเขาคงไม่คิดว่าการพาหญิงสาวผู้หนึ่งเข้าวังจะสามารถพาเหล่าขี้ข้ายกโขยงติดตัวเข้าไปได้หรอกกระมัง?”

“ถึงอย่างไรสำหรับตระกูลหลี่แล้ว นับว่าเป็นเกียรติสูงสุดของตระกูลอยู่ดี” อาซือพูด

“เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ในวังหลายปีมานี้นอกจากสวีกุ้ยเฟยที่ให้กำเนิดองค์หญิงแล้ว ความงามของสตรีอื่นก็ค่อย ๆ โรยราไปตามกาลเวลาไม่มากก็น้อย พวกเขายังเพ้อฝันได้อีกหรือ?”

“ทุกคนที่เข้าวังก็ล้วนแล้วแต่เพ้อฝันเช่นนี้ไม่ใช่หรือ? แต่อย่างน้อยก็หนึ่งถึงสองปี พวกนางน่าจะเข้าใจ”

เหยาเอ้อหลางส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ในเมื่อฝ่าบาททรงไม่อยากมีทายาท ไม่รู้ว่าเหตุใดยังปรารถนาจะคัดเลือกนางสนมอีก ทุกปีที่มีการคัดเลือกคนเข้าไป ค่าใช้จ่ายในวังก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น พลอยให้เสบียงของเหล่าทหารที่ประจำการอยู่ชายแดนยืดเยื้อไปด้วย”

“เราคุยเรื่องนี้กันได้ด้วยอย่างนั้นหรือ” หลินจื้อยกมือขึ้นมาปิดปาก “เรื่องเสบียงของทหารปล่อยให้ฝ่ายกลาโหมจัดสรรปันส่วนเถิด ฝ่ายกลาโหมก็ถกเถียงกับในราชสำนักทุกวัน ตอนนี้ฝ่าบาทรับสั่งว่าหากมีวี่แววจะถกเถียงกันอีกก็ให้ไล่พวกเขาออกไปทะเลาะกันข้างนอก”

“เงินสวัสดิการของฝ่ายกลาโหมควรเป็นเรื่องแรกที่ต้องจัดสรรไม่ใช่หรือ?” เหยาเอ้อหลางขมวดคิ้ว

“พี่รอง คราวนี้ไม่ใช่ความผิดของฝ่ายพลเรือนนะ”หลินจื้อส่ายหน้า “ไม่เชื่อก็ถามเจี่ยงเถิงสิ ขุนนางฝ่ายเสบียงอาหารอย่างพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับกระทรวงฝ่ายพลเรือนค่อนข้างบ่อย ฝ่ายพลเรือนในตอนนี้ก็มีหน้าที่ค่อนข้างชัดเจนนัก”

เจี่ยงเถิงพยักหน้า “ตอนนี้เสนาบดีฝ่ายพลเรือนเป็นลูกหลานของครอบครัวที่ยากจนข้นแค้น นิสัยน่ารังเกียจ องค์จักรพรรดิจึงผลักไสไล่ส่งคนที่ไม่มีภูมิหลังครอบครัวผู้นี้มาดำรงตำแหน่งนี้ ซึ่งน่าจะแก้ไขปัญหากระทรวงฝ่ายพลเรือนได้เป็นอย่างดี”

“แต่เสนาบดีฝ่ายกลาโหมในตอนนี้เป็นอาวุโสที่ใกล้จะปลดเกษียณ ทั้งวันไม่เป็นอันทำงานเอาแต่คิดจะฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ก่อนกลับบ้านเกิด” หลินจื้อจึงพูดเสริมว่า “ก่อนหน้านั้นฝ่าบาททรงเห็นว่าเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อต้าเยี่ยนมานานหลายปีและก็คงทำต่อไปไม่ไหว ขอแค่เขาไม่ทำเกินไปจึงยอมปิดตาหนึ่งข้างเปิดตาหนึ่งข้าง”

ฟังจบ เหยาเอ้อหลางก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าชายแดนไม่มีอะไรแย่เสียอย่างนั้น อย่างน้อยทุกคนก็ใช้หมัดแก้ปัญหาอย่างเปิดเผย”

“พี่รอง ท่านอย่าพูดเช่นนี้สิ” หลินจื้อหยอกเย้า “ตอนนั้นข้าไม่ระวังจนเผลอยิงธนูทำร้ายท่าน ลับหลังท่านทำมึนตึงกับข้าอย่างไรบัดนี้ข้ายังจำได้ดี ข้าโตมาขนาดนี้แล้วยังไม่เคยรู้สึกผิดหวังเช่นนั้นมาก่อน ด้านการเล่นกับใจคน ข้าน้อมรับความพ่ายแพ้ ท่านอย่าถ่อมตนมากเกินนักเลย”

เจี่ยงเถิงจึงพูดต่อ “เจ้าเพิ่งมาก็เล่นงานถึงสองคนแล้ว ไม่มีการออมมือแต่อย่างใด ข้าไม่เชื่อว่ายามเจ้าประจำการอยู่ชายแดนจะใช้แค่ ‘หมัด’ แก้ไขปัญหา ‘อย่างเปิดเผย’เลย”

“ใช่ พี่รอง พี่ว่าในบรรดาพวกเรามีใครบ้างที่ไม่เคยกินลูกหมัดของจากมือของพี่?”

เหยาเอ้อหลางบีบมือจนเกิดเสียงดัง ‘กรอบแกรบ’ ออกมาในช่วงเวลาที่สำคัญ ก่อนจะแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้าจะมาสะสางบัญชีกับข้าใช่หรือไม่?”

คนแบบเขาหลังจากที่เรียนรู้ ‘ทักษะ’ กับอาจื้อไปแล้ว ก็ไปพัฒนาตัวเอง ไม่ได้กระหายเลือดมากนัก

“ไม่กล้า ไม่กล้า” เจี่ยงเถิงและหลินจื้อพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

เหยาเอ้อหลางก็ทนไม่ไหวเช่นกัน จึงได้เอ่ยเสียงเรียบออกไป “พวกเจ้าสองคนกล่าวหาว่าข้าชั่วร้าย ณ ที่แห่งนี้ คนที่ข้าไม่เคยรังแกก็มีถมเถไป ข้าขอถามอาซือหน่อย ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ข้าเคยปฏิเสธคำอ้อนวอนของนางหรือไม่เล่า”

อาซือกำลังนึกถึงเรื่องในร้าน ทันทีที่ได้ยินเหยาเอ้อหลางเอ่ยชื่อของตัวเอง จึงพูดขึ้นด้วยความฉงนว่า “พวกท่านแอบนินทาอะไรข้า?”

“ไม่มีอะไร!” เหยาเอ้อหลางรีบเอ่ยขึ้น “อาซือ เจ้ายังเหลือเวลาอีกนานเพียงใดถึงจะเข้าพิธีปักปิ่นได้ ข้ายังมีเวลาเตรียมสิ่งของให้แก่เจ้าหรือไม่?”

อาซือยกนิ้วมือขึ้นมานับ “ยังเหลือเวลาอีกสี่เดือนกว่า น่าจะมีเวลามากพอ”

“ไม่เป็นไรเอ้อเป่า เวลาไม่มากพี่รองเติมเต็มให้เจ้าได้อยู่แล้ว” หลินจื้อกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยงเถิงคล้อยตาม “ถ้าจะเติมเต็ม ต้องแสดงความจริงใจออกมามากหน่อยนะ”

เหยาเอ้อหลางมองทั้งสองคนแวบหนึ่ง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “หลังจากอาซือเข้าพิธีปักปิ่นก็ถือว่าเป็นสาวเต็มตัว มีคนที่ชอบพอแล้วหรือไม่เล่า พี่รองทาบทามให้เจ้าได้นะ”

“อย่าเลยพี่รอง” อาซือโบกสะบัดมือไปมา “อย่าว่าแต่ข้าจะไม่มีเลย ต่อให้ข้ามีก็ไม่กล้าให้พี่ไปหรอก”

“ไม่มีใช่หรือไม่?” เหยาเอ้อหลางพูดกับอาซือ แต่สายตากลับเสมองไปทางเจี่ยงเถิงอย่างมีความหมายแอบแฝงแวบหนึ่ง

เจี่ยงเถิงยังคงสีหน้าเดิม แต่ก็ยังไม่วายส่งยิ้มให้กับเหยาเอ้อหลาง จากการคาดเดาคร่าว ๆ ในใจ ไม่ได้เจอกับเจี่ยงเถิงมาสองปีพฤติกรรมเงียบขรึมยังคงลึกล้ำเช่นเคย

“พี่รอง อย่าว่าแต่ข้าเลย พี่ก็ด้วย อายุไม่น้อยแล้ว มีแม่นางที่ถูกใจบ้างหรือไม่เล่า?

อาซือรู้สึกเหมือนชักศึกเข้าบ้าน ครั้นเอ่ยถึงงานแต่งของเหยาเอ้อหลาง ก็รีบตะโกนเรียกเหยาซูที่กำลังคุยอยู่กับเจี่ยงฉีทันที “ท่านแม่ ท่านแม่รู้จักแม่นางที่มีอายุคราวเดียวกันในเมืองคนไหนบ้างหรือไม่เจ้าคะ พอดีพี่รองยังไม่มีผู้ใดดูแลอยู่ข้างกายเลยเจ้าค่ะ”

“เอ้อเป่า คิดทบทวนดูสิว่าบนเรือวันนี้ใครกันที่ช่วยเจรจาให้แก่เจ้า เจ้านี่มันกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคาจริง ๆ!” เหยาเอ้อหลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า

“เอ้อเป่า ถ้าเจ้าหมายถึงนายน้อยที่มีคุณสมบัติที่ดีในเมืองหลวง ข้าบอกได้สองคน แต่สตรีข้าไม่รู้จริง ๆ”

เหยาซูยิ้มพร้อมกับมองเหยาเอ้อหลาง “แต่ถ้าเอ้อหลางสนใจจริง ๆ ข้าดู ๆ ให้ได้นะ”

“ท่านอา ท่านควรไปพักได้แล้วขอรับ” เหยาเอ้อหลางยกมือยอมแพ้ “ท่านเตรียมเรื่องพิธีปักปิ่นให้แก่อาซือก็พอแล้วขอรับ เรื่องของข้าข้าจัดการเองได้ ไม่ต้องรบกวนท่านหรอกขอรับ”

เหล่าชนรุ่นหลังพูดคุยกันอย่างคึกคัก

หลินเหรามองไปทางเซี่ยเชียนที่ยังคงนั่งสันโดษท่ามกลางความคึกคักของครอบครัวเช่นนี้ แล้วพูดต่อ “ท่านน้า เหตุใดวันนี้ซานเป่าถึงไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเลยเล่าขอรับ?”

เซี่ยเชียนเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางเซี่ยเซินที่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จาอยู่ที่ไกล ๆ แล้วพูดว่า “ช่วงนี้อาเซินหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาค้นคว้าหนังสือโบราณ พักผ่อนน้อยนัก คงจะเหนื่อยกระมัง”

หลินเหรานึกถึงองค์รัชทายาทได้ทันใด หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทรงอักษรก่อนหน้านั้นองค์รัชทายาทก็เอาแต่หลบซ่อนตัวเงียบ ๆ จึงเอ่ยถามว่า “ช่วงนี้องค์รัชทายาทเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”

“หลังจากเรื่องในคราวนั้น องค์รัชทายาทก็สุขุมมากขึ้น ช่วงนี้กำลังศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับข้อวิจารณ์ด้านการเมืองอย่างจริงจัง ท่าทางของอาเซินจึงเงียบมากขึ้น ก่อนหน้านั้นขณะที่ข้ากำลังอ่านหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง เขาก็เกิดสนใจขึ้นมา เลยสงบจิตสงบใจขึ้นไม่น้อย” เซี่ยเชียนกล่าวชื่นชม

หลินเหราตอบรับหนึ่งเสียง นัยน์ตาลึกล้ำฉายแววเคร่งขรึม

“ช่วงนี้องค์รัชทายาทไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องของอาซืออีก”

เซี่ยเชียนมองเห็นถึงความกังวลของหลินเหรา จึงรีบเอ่ยขึ้น

“เช่นนั้นก็ดีแล้วขอรับ” หลินเหราทอดถอนใจ ปมคิ้วคลายออกอย่างเงียบ ๆ “เราเองก็ไม่อยากให้เอ้อเป่าเข้าวัง องค์รัชทายาททรงเป็นฝ่ายปล่อยวางก่อนยิ่งดี”

เซี่ยเชียนกลับส่ายหน้า “องค์รัชทายาทไม่ได้เอ่ยถึงก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยวาง สำหรับข้า เขาเอาเรื่องนี้ฝังรากลึกลงไปในจิตใจเสียแล้ว”

หลินเหราถึงกับปวดหัว “ท่านน้าขอรับ ท่านบอกเองว่าองค์รัชทายาทยังทรงอ่อนเยาว์นัก เหตุใดถึงตกหลุมรักเอ้อเป่าของเราเสียได้เล่า?”

หลินเหราโพล่งออกไปตามใจตัวเอง เดิมทีก็ไม่ได้คาดหวังให้คนที่มีหัวใจเย็นชาอย่างเซี่ยเชียนมาแสดงความคิดเห็นต่อความวุ่นวายใจเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าเซี่ยเชียนจะเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เรื่องความรู้สึกไม่มีใครเขาพูดกันหรอก ปล่อยให้มันเป็นโชคชะตาของพวกเขาเถิด”

หลินเหราเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ และเสมองออกไป…

…………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อยากรู้เลยว่าแม่นางคนไหนจะมาเป็นคู่ของพี่เอ้อหลาง

องค์รัชทายาทดูท่าจะไม่ปล่อยวางง่ายๆ นะคะ เห็นเงียบๆ แบบนี้อาจคิดแผนอยู่ก็ได้

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท