ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 474 หึง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 474 หึง

บทที่ 474 หึง

“พี่อวี้ แบบนี้ดีหรือไม่?”

วันนี้หลินซือถามคำถามนี้เป็นครั้งที่ยี่สิบห้าแล้ว

ต่อให้อวี้อวี้จะอารมณ์ดีเพียงใดก็อดไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาที่เดิมทีมีอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว ครั้นได้ยินก็รีบฉวยสิ่งที่อยู่ในมือของหลินซือ จากนั้นก็ขัดเกลาออกมาเป็นแบบจำลองขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว แล้วโยนให้หลินซือ “ให้เจ้า อย่าถามอีก”

หลินซือมองไปทางหยกในมือด้วยสายตางงงัน มันไม่เหลือร่องรอยที่ตัวเองแกะสลักไว้โดยสมบูรณ์

“เฮ้ เจ้าเป็นอะไรไป?”

คนที่อยู่ข้างกายเงียบผิดปกติ อวี้อวี้จึงเหลือบมองแวบหนึ่ง แล้วรีบพรวดลุกขึ้นยืนเหมือนเจอศัตรู “ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเจ้าเลยนะ เหตุใดเจ้าถึงร้องไห้ มา ๆ มานี่มา เจ้าถามสิ เจ้าถามมาได้เลย หยุดร้องไห้ได้แล้ว”

ดวงตาของหลินซือแดงก่ำ นัยน์ตาดอกท้อกลมโตค่อย ๆ เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา นางพยายามกลอกตาไปมาเพื่อไม่ให้น้ำตาหลั่งริน

“ข้า” หลินซือสะอึกสะอื้น “ข้าไม่ถามแล้ว ไม่รบกวนพี่อวี้แล้ว” นางพูดขณะที่ลุกขึ้นเตรียมเดินจากไป

อวี้อวี้รีบขวางนางไว้ จากนั้นก็พูดเสียงทุ้มต่ำเช่นนี้เป็นครั้งแรก “เจ้าถาม ข้าขอให้เจ้าถามได้ไหม? ใช่ว่าเจ้าจะไร้ความสามารถ ข้าอารมณ์ไม่ดีเอง อีกอย่างเมื่อครู่ก็อยู่ในช่วงสำคัญ ดังนั้นเลยแสดงท่าทางเบื่อหน่ายกับเจ้า”

“เจ้าหยุดร้องไห้ได้แล้ว” อวี้อวี้จนปัญญาโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำตาของสตรี จากนั้นก็หยิบมีดแกะสลักออกมาด้วยความปวดหัวก่อนยื่นไปตรงหน้าของหลินซือ “เรามาเริ่มเลยดีไหม? งานของข้าตรงนี้เสร็จแล้ว วันนี้ข้าจะสอนเจ้าเอง”

หลินซือปาดน้ำตา แล้วพยักหน้าอย่างหดหู่ใจ

เถิงเอ๋อกำลังวุ่นกับการกลับเข้ารับราชการตำแหน่งเดิมในสองวันนี้ ไม่ง่ายเลยที่จะเจียดเวลามาหาหลินซือที่ร้านหยกอวี้ฝู ทว่ากลับเห็นเอ้อเป่าของเขาถูกบุรุษอีกคนโอบกอด อีกทั้งชายผู้นั้นยังจับมือของเอ้อเป่าอีกด้วย!

“ตรงนี้ควรเป็นเช่นนี้ เจ้าแกะอย่างไรของเจ้ากัน”

“ข้าทำไม่เป็น พี่ต้องมีความอดทนสิ” น้ำเสียงของหลินซือโต้กลับไปอย่างอ่อนใจ

เจี่ยงเถิงรู้สึกว่าสมองของตัวเองกำลังจะระเบิด ครั้นเขาได้สติกลับมา ก็พรวดพราดเข้าไปคว้าตัวของบุรุษผู้นั้นขึ้นมาแล้วกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใด?”

อวี้อวี้ที่เดิมทีกำลังสอนการวางองศาของมีดแกะสลักให้กับหลินซือ จู่ ๆ ก็ถูกกระชากตัวขึ้นจนมีดที่อยู่ในมือเกือบบาดคนผู้นี้ เขาจึงรีบเอี้ยวมือหลบเลี่ยง จากนั้นก็มองไปยังหลินซือที่กำลังอ้าปากค้างด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม “ศัตรูของตระกูลเจ้ามาแก้แค้นถึงที่นี่เลยหรือ?”

“พี่อาเถิง?” หลินซือขานเรียกโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะตระหนักได้ถึงสิ่งของที่ตั้งใจจะให้เจี่ยงเถิงประหลาดใจในมือของตัวเอง จึงรีบเก็บสิ่งของชิ้นนั้น แล้วดึงมือของเจี่ยงเถิงที่กำลังจับคอเสื้อของอวี้อวี้ “นี่ช่างแกะสลักคนใหม่ของข้า ชื่อว่าอวี้อวี้ เมื่อครู่เขากำลังสอนข้าแกะสลักอยู่”

นัยน์ตาของอวี้อวี้มองทั้งสองคนสลับไปมา จนพอรู้คร่าว ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงได้กะพริบตาใส่หลินซืออย่างขี้เล่น

หลินซือแทบรู้สึกปวดขมับทันใด

ยามที่เจอกันครั้งแรก นางคิดว่าอวี้อวี้จะเป็นผู้มีฝีมือที่สุขุม ไม่ชอบพูดคุยกับผู้อื่น จมอยู่ในโลกของตัวเองทุกวัน

ทว่าตลอดหลายวันที่ได้ไปมาหาสู่กัน นางได้พบว่าอวี้อวี้ในยามนั้นนับตั้งแต่กลั้นใจออกมาจากร้านหยกในเมืองหลวง บัดนี้ได้ระบายอารมณ์อย่างเต็มที่ ชายหนุ่มที่ร้ายกาจนิด ๆ จึงมีนิสัยเปิดเผย มักจะหาโอกาสแกล้งนางเสมอ

เจี่ยงเถิงเห็นหลินซือซ่อนบางอย่างตั้งแต่เมื่อครู่ ยามนี้พวกเขาสองคนยัง ‘เล่นหูเล่นตา’ ราวกับไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วย ความโกรธในใจก็ยิ่งทวีคูณ

เจี่ยงเถิงปล่อยคอเสื้อของอวี้อวี้อย่างหยาบคาย จากนั้นก็มองไปทางหลินซือแวบหนึ่งโดยไม่พูดไม่จา ก่อนหมุนตัวแล้วเดินจากไป

“คนรักเจ้า หึงเจ้าแล้ว” อวี้อวี้กล่าวเยาะเย้ย

“อะไร ท่านอย่าพูดจามั่วซั่ว”

หลินซือถลึงตาใส่อวี้อวี้แวบหนึ่ง แล้วรีบวิ่งตามเจี่ยงเถิงไปทันที “พี่อาเถิง รอข้าด้วย!”

นี่เป็นครั้งแรกที่เจี่ยงเถิงไม่หยุดรอหลินซือ เขายังคงเดินต่อไปข้างหน้าด้วยความหดหู่ใจ

หลินซือจึงทำได้แค่เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น จนคว้าแขนเสื้อของเจี่ยงเถิงได้ในที่สุด

“พี่อาเถิง ข้าแค่กำลังเรียนรู้วิธีการแกะสลักกับพี่อวี้เท่านั้น”

หลินซืออธิบายด้วยอาการเหนื่อยหอบ

“พี่อวี้?” เจี่ยงเถิงกระตุกมุมปากเยาะเย้ยอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

แม้จะมองไม่เห็น แต่เขาก็รู้สึกว่าการแสดงออกของตัวเองช่างโหดร้ายมาก

เจี่ยงเถิงรู้เห็นทุกสิ่งอย่างในอดีตของหลินซือจนทะลุปรุโปร่ง เท่าที่รู้ก่อนหน้านั้นหลินซือไม่เคยรู้จักอวี้อวี้ผู้นั้นแน่นอน

ปรากฏว่าเพียงสองสามวันที่ตัวเองไม่อยู่ เอ้อเป่าได้รู้จักกับคนผู้นี้ ทั้งยังเรียกเขาว่า ‘พี่’ อย่างสนิทสนมด้วย?

หลินซือไม่ได้สังเกตถึงอันตรายในน้ำเสียงของเจี่ยงเถิง ยังคงอธิบายอย่างคนโง่เขลา “ก็คนที่เจอเมื่อครู่ เขาชื่ออวี้อวี้ เป็นช่างแกะสลักที่เก่งมากคนหนึ่ง ชื่อของเขามีคำว่า ‘อวี้ (หยก)’ ตั้งสองคำ คงต้องมีโชคชะตาที่เกี่ยวกับหยกใช่ไหมเล่า?”

เจี่ยงเถิงไม่ได้รู้สึกถึงโชคชะตาอะไรทั้งนั้น เขาตอบรับด้วยน้ำเสียงเย็นชา แล้วหันกลับเตรียมจากไป

“เฮ้ พี่อาเถิง ท่านอย่าเพิ่งไปสิ” หลินซือรีบรั้งอีกฝ่ายไว้

ขณะที่เจี่ยงเถิงเตรียมจะสะบัดมือของหลินซือนั้น จู่ ๆ ก็เห็นรอยช้ำใต้เล็บของมือที่กำลังจับแขนเสื้อของตัวเอง จึงรีบคว้ามือเจ้าตัวแล้วขมวดคิ้วโดยพลัน “เอ้อเป่า นี่เจ้าเป็นอะไร?”

“อ่า?” เมื่อเห็นท่าทีเป็นกังวลของเจี่ยงเถิง หลินซือยังคิดอยู่เลยว่าตัวเองไปได้รับบาดเจ็บเมื่อใด ปรากฏว่าเป็นรอยช้ำที่ถูกกระแทกก่อนหน้านั้น เลยพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ก่อนหน้านั้นข้าช่วยพี่อวี้ยกกล่อง ไม่ระวังเลยกระแทกมันเข้า”

พี่อวี้ พี่อวี้นั่นอีกแล้ว

ความหึงหวงในใจของเจี่ยงเถิงกำลังปะทุขึ้นมา เขาปล่อยมือของหลินซือด้วยสายตาเย็นชา

หลินซือไม่ทันสังเกตเห็น ทั้งยังพูดกับเจี่ยงเถิงเพราะคิดว่าตัวเองฉลาด “พี่อาเถิง พี่คงไม่ได้จะสนใจในวิชาแกะสลักหรอกนะ? ถ้าเป็นเช่นนั้นพี่ต้องไปคุยกับพี่อวี้เองนะ”

เจี่ยงเถิงครุ่นคิดอย่างชั่วร้าย ‘ถ้าไปคุยกับเขา ข้าคงได้คว้ามีดแทงเขาเป็นการสั่งสอนแน่’

“เอ้อเป่า เจ้ารู้ว่าข้าเองก็แกะสลักเป็น เหตุใดถึงไม่มาให้ข้าสอนเจ้า?”

สายตาที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาของเจี่ยงเถิงได้จับจ้องมาที่หลินซือไม่ให้นางบ่ายเบี่ยง “ถึงกระนั้นเขาก็เป็นช่างแกะสลัก อาศัยวิชาในการเลี้ยงชีพ ไม่มีทางเผยเคล็ดลับออกมาทั้งหมดแน่นอน แต่ข้ายอมเปิดเผยทั้งหมด อีกอย่างเราสองคนก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ตามหลักเหตุผลเจ้าควรจะมาหาข้าไม่ใช่หรือ?”

“คง…คงพูดเช่นนี้ไม่ได้” หลินซือตะกุกตะกัก “พี่อวี้ไม่ใช่คนเช่นนั้น อีกอย่างช่วงนี้ท่านก็ยุ่งมากด้วย ข้าจะไปรบกวนท่านได้อย่างไร?”

“สำหรับข้า เรื่องของเอ้อเป่าไม่เคยนับเป็นการรบกวน หรือว่าข้าไม่เคยบอกกับเอ้อเป่า?” มือของเจี่ยงเถิงที่วางอยู่บนไหล่ของหลินซือได้กระชับแน่นขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ “หรือว่าเอ้อเป่าจะตีตัวออกห่างข้าเพราะคนผู้นี้?”

“ไอหยา ไม่ใช่! เหตุใดท่านถึงคิดเช่นนี้ พี่อาเถิง?”

หลินซือรู้สึกได้ถึงไหล่ที่ถูกบีบแน่นขึ้นจนหวาดกลัวต่อเจี่ยงเถิงที่เป็นเช่นนี้ นัยน์ตาจึงแสดงความหวาดหวั่นออกมาอย่างอดไม่ได้ “พี่เป็นพี่ชายที่เติบโตมาด้วยกันกับข้า เหตุใดข้าต้องตีตัวออกห่างท่านเพราะคนนอกด้วยเล่า?”

หลินซือเองก็คิดเช่นกัน เพราะหยกที่อยากจะแกะสลักให้กับเจี่ยงเถิงจึงได้บากหน้าไปขอร้องให้อวี้อวี้สอนแกะสลักให้ตัวเอง เรื่องแบบนี้จะให้เจี่ยงเถิงสอนได้อย่างไร? ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นถูกเจี่ยงเถิงเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเห็นความสัมพันธ์กับอวี้อวี้ดีกว่า นี่มันคือการใส่ร้ายกันชัด ๆ!

ส่วนเจี่ยงเถิงที่สังเกตเห็นท่าทางหลบเลี่ยงสายตาเมื่อครู่ของหลินซือ ความเคลืบแคลงใจก็ชนะในที่สุด ความโกรธพลันมลายลง เขาปล่อยมือก่อนจะกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้านึกขึ้นได้ว่าวันนี้ยังมีงานที่ยังไม่ได้จัดการ ต้องขอตัวกลับก่อน”

เมื่อกล่าวจบ ก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก

“พี่อาเถิง!”

เจี่ยงเถิงได้ยินเสียงเรียกของหลินซือดังขึ้นจากด้านหลัง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้หันกลับไป…

……………………………………………………

สารจากผู้แปล

พี่เถิงเค้าหึงแล้วอาซือเอ๊ย​ กลิ่นน้ำส้มคลุ้งเลย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท