ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 475 ปลอบใจ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 475 ปลอบใจ

บทที่ 475 ปลอบใจ

“เฮ้ เป็นอะไรไป เจี่ยงเถิงดื่มสุราย้อมใจเป็นด้วยหรือ?”

เหยาเอ้อหลางนั่งอย่างองอาจอยู่เบื้องหน้าของเจี่ยงเถิงที่สั่งสุรามาหนึ่งเหยือก ครั้นเห็นท่าทางหดหู่ใจก็อดปากพล่อยไม่ได้

เจี่ยงเถิงส่งสายตาดุดันไปทางเหยาเอ้อหลาง สายตานั้นทำให้เหยาเอ้อหลางหัวเราะลั่น ก่อนจะยกเหยือกสุราชนกับจอกของเจี่ยงเถิง “ขอโทษน้องข้า ข้าขอดื่มหมดจอกแสดงความเคารพ”

ครั้นเหยาเอ้อหลางได้ดื่มสุราหนึ่งจอกย้อมใจ ในที่สุดความกลัดกลุ้มใจตลอดทั้งวันก็ผ่อนคลายลง จากนั้นก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แล้วเคาะโต๊ะ “มีปัญหาอะไรกับเอ้อเป่า? ว่ามาสิ”

เจี่ยงเถิงมองไปทางเหยาเอ้อหลางแวบหนึ่ง โดยไม่ได้พูดสิ่งใด

“อย่ามองข้าเช่นนี้ นอกจากเอ้อเป่าแล้วจะมีผู้ใดทำให้เจ้าแสดงท่าทางนี้ได้อีก?” เหยาเอ้อหลางพูดด้วยรอยยิ้ม

“เหยาเอ้อ” เจี่ยงเถิงดื่มสุราหนึ่งจอก หรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้าว่าสุดท้ายแล้วเอ้อเป่าจะอยู่กับข้าหรือไม่?”

“แล้วจะมีใครอีกเล่า?” เหยาเอ้อหลางตะลึงงันกับคำถาม สุดท้ายก็มองไปทางเจี่ยงเถิงอย่างคาดไม่ถึง “เจ้าคือเจี่ยงเถิงจอมเจ้าเล่ห์ผู้นั้นหรือไม่? เจ้าเป็นอะไรถึงได้ถามคำถามเช่นนี้?”

“ไม่มีอะไร” เจี่ยงเถิงขมวดคิ้ว “แค่รู้สึกว่าเด็กสาวไร้เดียงสาและใจดีอย่างเอ้อเป่า ใครให้ลูกกวาดก็ล่อลวงนางได้แล้ว ถ้าคราวต่อไปข้าต้องไปดูงานต่างถิ่นอีกหนึ่งเดือน กลับมาพบว่านางตกลงปลงใจกับชายอื่นไปแล้ว ข้าจะทำอย่างไรกัน?”

เหยาเอ้อหลางหลุดหัวเราะทันใด “พวกเจ้าสองคนนี่นะ ความรักทำให้โลกกลายเป็นสีชมพูจริง ๆ เจ้าในสายตาของเอ้อเป่าดูสุภาพอ่อนโยน สง่างามดุจหยกอันล้ำค่า ส่วนเอ้อเป่าในสายตาของเจ้าเป็นเด็กสาวที่ไม่เข้าใจอะไรเสียเลย แต่เจ้าคิดว่าลำพังเด็กสาวที่ไร้เดียงสาผู้นี้ จะสามารถดูแลร้านค้าที่ไม่มีแรงสนับสนุนของตัวเองให้เจริญรุ่งเรืองได้หรือไม่เล่า?”

เจี่ยงเถิงคิดไม่ออกว่าจะตอบกลับอย่างไร นอกจากกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ว่า “มันไม่เหมือนกัน”

“ไม่เหมือนกันอย่างไร?” เหยาเอ้อหลางถามกลับ

เจี่ยงเถิงพูดไม่ออก ยกสุราดื่มด้วยความอึดอัดใจ

เหยาเอ้อหลางไม่พูดสิ่งใดอีก แค่ดื่มเป็นเพื่อนเขาจอกแล้วจอกเล่า

“เหยาเอ้อ วันนี้ข้าไปร้านหยกอวี้ฝู เจอใครคนหนึ่งด้วย” ครั้นเจี่ยงเถิงดื่มจนหนำใจแล้ว ก็เริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้อีกฝ่ายประดุจพี่ชายของตัวเองได้ฟัง

เหยาเอ้อหลางฟังอย่างตั้งใจตั้งแต่ต้น แต่กลับยิ่งฟังก็ยิ่งเบื่อหน่าย เพราะความสัมพันธ์หลายสิบปีเลยทำให้เขาไม่ตัดบทเจี่ยงเถิง

“เจ้าทำอะไร!” จู่ ๆ เจี่ยงเถิงก็ถูกเหยาเอ้อหลางดึงแก้มให้หลุดพ้นจากอารมณ์เศร้าหมองในพริบตาเดียว แล้วมองอีกฝ่ายด้วยแววตาโกรธเคือง

“ข้าเห็นเจ้าเปลี่ยนไป” เหยาเอ้อหลางปล่อยมือจากแก้มของเจี่ยงเถิงแล้วกลับไปนั่งที่ตนเอง “เพราะเรื่องนี้เลยทำให้เจ้าต้องมาดื่มสุราเช่นนี้? ข้าประเมินเจ้าสูงไปเสียแล้ว”

เจี่ยงเถิงกลอกตาใส่เหยาเอ้อหลางแวบหนึ่ง ก่อนจะยกจอกเตรียมดื่ม

เหยาเอ้อหลางกลับชิงจอกของเขาอย่างรวดเร็ว “เมื่อครู่ข้าคิดว่าเจ้าเห็นเอ้อเป่ากับคนอื่นกำลังพลอดรักกัน เลยทำให้เจ้าดื่มหนักเช่นนี้ ปรากฏว่าเรื่องเล็กน้อยดุจขนไก่แค่นี้ ถ้าเจ้าไม่ใช่พี่น้องของข้า ข้าคงด่าเจ้าเปิงไปแล้ว”

“ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่เจ้าชอบถูกผู้อื่นโอบกอด เจ้าคงไม่เข้าใจความรู้สึกของข้าหรอก” เจี่ยงเถิงพูดอย่างหดหู่ใจ

“ใครโดนโอบกอด? คงไม่ได้หมายถึงหลินซือที่กำลังเรียนแกละสลักกับอวี้อวี้ผู้นั้นหรอกกระมัง? เจ้าใจแคบเกินไปแล้ว เจี่ยงเถิง”

เหยาเอ้อหลางเก็บจอกไว้ข้างตัว ป้องกันไม่ให้เจี่ยงเถิงแย่งไป “เป็นเพราะเจ้ายุ่งแต่กับงานจนสายตัวแทบขาดในสองวันนี้ เลยทำให้เจ้าเป็นบ้าเช่นนั้นรึ?”

“อีกอย่าง เอ้อเป่าไม่ใช่คนที่ชอบแกะสลัก เจ้าว่าเหตุใดนางถึงต้องเรียนแกะสลักเรื่องพวกนี้กับอวี้อวี้เล่า ทั้งยังแอบเรียนลับหลังเจ้าอีก นั่นเพราะเหตุใดเล่า?”

เจี่ยงเถิงตะลึงงันไป ในที่สุดสมองที่กำลังมึนเมาและเลอะเลือนเพราะฤทธิ์สุราก็พลันคิดตาม “กำลังจะบอกว่า เอ้อเป่ากำลังเตรียมของขวัญให้ข้าอย่างนั้นสิ?”

เหยาเอ้อหลางแสยะยิ้มเย็นเยียบ “เจ้าก็ลองคิดดี ๆ แล้วกัน จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเอ้อเป่าและเจ้าเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่วัยเยาว์ ก็คงจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตจนแยกจากกันไม่ได้ไปแล้ว จะถูกบุคคลที่สามเข้าแทรกง่าย ๆ เช่นนี้หรือไร”

เจี่ยงเถิงไม่สนใจประโยค ‘ถ้าไม่ใช่เพราะ’ ของเหยาเอ้อหลาง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเอ้อเป่ากำลังวางแผนสร้างความประหลาดใจให้กับเขา

ก่อนหน้านั้นตัวเองเคยให้จี้หยกกับเอ้อเป่า ดังนั้นเอ้อเป่าจึงอยากให้หยกที่แกะสลักเองแก่เขา

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความโกรธเคืองในใจของเจี่ยงเถิงก็สลายไป สีหน้าพลันเบิกบานใจ ใบหน้าอันหล่อเหลาได้เผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

ครั้นเห็นสหายที่มักมีแผนการอยู่ในใจแสดงสีหน้าโง่เขลาเช่นนี้ เหยาเอ้อหลางก็จับจ้องอย่างอดไม่ได้ ก่อนเลื่อนจอกสุราของอีกฝ่ายกลับไป “ดื่มเสีย หยุดยิ้มได้แล้ว ขืนยิ้มอีกข้าคงสงสัยว่าเจ้าอาจจะโง่จริง ๆ”

ก่อนหน้านั้นเจี่ยงเถิงใช้สุราย้อมใจ ตอนนี้สภาพจิตใจดีขึ้นจึงไม่อยากดื่มอีก ครั้นเห็นเหยาเอ้อหลางดื่มสุราอึกใหญ่จึงออกความเห็น

“เจ้าอย่าดื่มเยอะนักสิ ครั้นเมาข้าก็ต้องแบกเจ้ากลับ เจ้าตัวหนักจะตายไป” เจี่ยงเถิงกล่าวอย่างรังเกียจ

เหยาเอ้อหลางอ้าปากตาค้าง คาดไม่ถึงว่าเจี่ยงเถิงจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเร็วเพียงนี้ จึงตบโต๊ะและชี้ไปยังเจี่ยงเถิง “เจ้ายังเป็นคนอยู่ไหม เจี่ยงเถิง? ใช้เสร็จก็ทิ้ง นี่ยังเป็นพี่น้องกันอยู่หรือไม่?”

“ถึงกระนั้นข้าก็ไม่มีเวลาไปส่งเจ้าหรอกนะ เจ้าอย่าดื่มเยอะเกินไป ประเดี๋ยวข้าต้องไปพูดกับเอ้อเป่าให้รู้เรื่อง มิเช่นนั้นข้ากลัวว่าผู้อื่นจะฉกฉวยโอกาสนี้ไป” เจี่ยงเถิงทิ้งท้ายด้วยวาจาลำบากใจเบา ๆ

“เห็นคนรักดีกว่าสหาย เห็นคนรักดีกว่าสหาย!” เหยาเอ้อหลางตกใจกับความไร้ยางอายของเจี่ยงเถิง จึงยกจอกขึ้นดื่มเพื่อข่มความตกใจนั้นไว้

“จริงสิ วันนี้เจ้านัดข้าออกมาไม่ใช่หรือไร?”

ในที่สุดเจี่ยงเถิงก็นึกถึงเรื่องที่ถูกตัวเองโยนทิ้งไว้ “เกิดอะไรขึ้น?”

“เจ้าเพิ่งนึกออกหรือ?” เหยาเอ้อหลางแสยะยิ้ม “ข้าคิดว่าเจ้าจะนึกออกหลังจากที่เจ้าออกเรือนกับเอ้อเป่าไปแล้วเสียอีก”

“หยุดเพ้อเสียที พูดมา” เจี่ยงเถิงเคาะโต๊ะเร่งรัด เขาไม่ปรานีกับพี่ชายที่รู้ใจเมื่อครู่อีกแต่อย่างใด

เหยาเอ้อหลางทำได้แค่วางจอกสุราลง แล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “วันนี้ข้าเข้าวัง ไปเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท”

“องค์รัชทายาท องค์รัชทายาทถูกกักขังอยู่ไม่ใช่หรือ?”

เจี่ยงเถิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ จากนั้นก็มองไปทางเหยาเอ้อหลางด้วยความสงสัย “เจ้าคงไม่ได้แอบไปตำหนักตะวันออกใช่หรือไม่? การเข้าพบองค์รัชทายาทที่ถูกกักขังชั่วคราวนับว่าเป็นความผิดร้ายแรง ระวังไว้หากพ่อเจ้ารู้เข้า เจ้าจะโดนถลกหนัง”

“เจ้าช่วยพูดเรื่องดี ๆ หน่อยได้หรือไม่?”

เหยาเอ้อหลางพ่นลมหายใจด้วยความขุ่นเคือง บิดาเขาไม่ทำหรอก แต่จะให้มารดาเขาทุบเขาแทนนะสิไม่ว่า!

เฮ้อ ต้องบอกว่าอารมณ์ของมารดาในตอนนี้เริ่มไม่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เก็บอารมณ์แค่ยามที่อยู่ต่อหน้าบิดาของตนเท่านั้น

เขาเอ่ยต่อ “วันนี้อาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ขององค์รัชทายาทได้รับบาดเจ็บ ท่านพ่อไม่มีเวลา จึงเสนอให้จักรพรรดิทรงรับสั่งให้ข้าไปสอนแทนหนึ่งคาบ”

“แล้วคิดว่าอย่างไร? ตอนนี้องค์รัชทายาทสบายดีหรือไม่? สภาพจิตใจของจักรพรรดิดีขึ้นบ้างหรือไม่?”

ปากของเจี่ยงเถิงพ่นคำถามสารพัดออกมาอย่างต่อเนื่อง

“หยุด หยุด หยุด ข้าไปครึ่งวัน ไฉนเลยจะรู้มากมายเพียงนั้น?

เหยาเอ้อหลางยกมือขึ้นห้ามปราม “แต่ครั้นเปรียบเทียบกับกิริยาของเจ้า ตอนนี้องค์รัชทายาททรงเติบโตขึ้นมาก ข้าไปตำหนักตะวันออกได้ครึ่งวัน นอกจากเรื่องการเรียนของเขาแล้วก็ไม่เคยพูดสิ่งใดกับข้าเลยสักคำเดียว”

“ทั้งยังไม่ถามเรื่องของเอ้อเป่าด้วย”

เหยาเอ้อหลางช่วยเสริม

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” เจี่ยงเถิงลูบปลายคาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

จากที่เหยาเอ้อหลางพูดมา สถานการณ์ที่ดีที่สุดคือการที่องค์รัชทายาทปล่อยเอ้อเป่าไป ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้กระจ่างจนเป็นนักปราชญ์ ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดคือเขายังนึกถึงเอ้อเป่าเป็นธรรมดา แค่มันฝังลึกอยู่ภายในจิตใจ

แต่จะเป็นอย่างไรนั้น เจี่ยงเถิงต้องได้เจอองค์รัชทายาทด้วยตัวเองถึงจะมองออก!

…………………………………….

สารจากผู้แปล

เคลียร์นะอาเถิง​ อาซือไม่รักไม่ทำขนาดนี้หรอก

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท